ตอนที่ 477 ผู้ยิ่งใหญ่จากใต้ทะเล
กองเรือจากใต้สมุทรดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันไปมอง
“นี่มันเรือรบของพวกเผ่าทะเลไม่ใช่หรือ?”
“กองเรือรบของชาวทะเล?”
“กล้าดีอย่างไรถึงได้ปรากฏตัวในน่านน้ำของจักรวรรดิ? หรือว่าพวกมันอยากจะประกาศสงคราม?”
“คงไม่ใช่กระมัง พวกเขาหยุดจอดแล้ว…”
สีหน้าของเหล่ามือกระบี่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าชาวทะเลกลุ่มนี้มีจุดประสงค์ใดกันแน่ แต่การที่เรือรบของชาวเผ่าทะเลแล่นเข้ามาในน่านน้ำของจักรวรรดิเป่ยไห่ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกตึงเครียดและวิตกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เรือรบของชาวเผ่าทะเลมีธงสีเขียวที่ทำจากสาหร่ายใต้สมุทร มันมีความยาวหลายสิบเซี๊ยะ เวลาที่ผืนธงโบกสะบัดตามแรงลม ก็จะมีลักษณะคล้ายกับมังกรสีเขียวกำลังเคลื่อนไหวอย่างไรอย่างนั้น
ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนกุ้งก้ามกราม ยืนถือหอกอยู่ทั้งสองข้างฝั่งของกราบเรือกระดูกวาฬ พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะที่หลอมขึ้นมาจากแร่โลหะชนิดพิเศษ มันเป็นแร่ที่ได้มาจากวัตถุดิบในธรรมชาติ เมื่อโคจรพลังลมปราณใส่ลงไปแล้ว ชุดเกราะเหล่านี้ก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเห็นนักรบของชาวเผ่าทะเลด้วยตาของตนเอง
“นั่นมัน… มนุษย์กุ้งใช่ไหมนะ?”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูงในระหว่างที่สังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง
มนุษย์กุ้งเหล่านี้มีลักษณะแตกต่างไปจากชาวทะเลที่เป็นพ่อค้า ซึ่งขึ้นไปหากินและทำธุรกิจอยู่บนแผ่นดินใหญ่ ชาวทะเลที่เป็นพ่อค้าจะมีลักษณะเหมือนมนุษย์มากกว่านายทหารเหล่านี้ มนุษย์กุ้งนอกจากจะสวมใส่ชุดเกราะแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็ยังห่อหุ้มด้วยเปลือกที่หนาหนัก หลินเป่ยเฉินไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเปลือกเหล่านี้มีความแข็งแกร่งมากมายเพียงใด
และนายทหารมนุษย์กุ้งแต่ละคนก็มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายในระดับที่ไม่ต่ำต้อย
ทว่า สิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากมนุษย์ก็คือ
ชาวเผ่าทะเลทุกคนมีพลังปราณธาตุน้ำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็สังเกตเห็นเฒ่าทะเล
บัดนี้ เฒ่าทะเลสวมใส่ชุดเกราะอ่อนสีเขียว ร่างกายของเขาดูบึกบึนมากขึ้น ลักษณะท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเหมือนเป็นแม่ทัพใหญ่ เปลี่ยนแปลงไปราวกับกลายเป็นคนละคนยามอยู่บนแผ่นดินชายฝั่ง
แต่ผู้ที่สะดุดสายตาหลินเป่ยเฉินมากที่สุด กลับเป็นหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างเฒ่าทะเล
นางมีผิวพรรณขาวผ่องราวกับไข่มุก แม้ว่าท้องทะเลในยามนี้ยังคงมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา แต่เส้นผมสีเขียวของนางก็ยังคงเป็นประกายสว่างไสว หญิงสาวนางนี้สวมใส่เสื้อคลุมตัวนอกสีดำ ลักษณะการแต่งกายคล้ายกับเป็นนักบวชหญิงของชาวเผ่าทะเล และเห็นได้ชัดว่าที่ด้านหลังของเสื้อคลุมมีหมวกคลุมศีรษะถูกพับเก็บไว้
ใบหน้าที่สวยงามสมบูรณ์แบบของนางสัมผัสกับสายลมและสายฝน ยิ่งเพิ่มพูนความศักดิ์สิทธิ์ และทำให้ผู้ที่จ้องมองหลายคนต้องก้มหน้าหลบสายตาโดยไม่มีสาเหตุ
“ผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่ในระดับเดียวกับเฒ่าทะเล แสดงว่าคงมีสถานะไม่ต่ำต้อย ว่าแต่พวกเขามาที่นี่ทำไมกันนะ?”
หลินเป่ยเฉินคิดดังนั้นก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ให้ตายสิ
พวกเขาจะมาทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการประลองของติงซานฉือกับจูปี้ฉีส่งเสียงดังไปรบกวนความสงบสุขของพวกวังบาดาลเข้า กองทัพเรือของชาวเผ่าทะเลจึงปรากฏตัวออกมาเอาเรื่องพวกเขาแล้ว
มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
ก็ในเมื่อมีการลงนามในสัญญาสงบศึกว่าต่างฝ่ายต่างจะไม่รบกวนกันและกันเด็ดขาด แล้วการที่อาจารย์ของเขากับกระบี่สุราโลหิตต่อสู้กันเสียงดังโครมครามไปทั่วน่านน้ำขนาดนี้ มันจะไม่ไปรบกวนความสงบสุขของชาวทะเลได้อย่างไร? เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่แปลกใจเลยที่บรรดาเหล่าชาวเผ่าทะเลจะรู้สึกไม่พอใจ…
หลินเป่ยเฉินรู้สึกวิตกกังวล และดาวน์โหลดปืนอินทรีหิมะมาถืออยู่ในมือเพื่อเตรียมพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาหากสถานการณ์พลิกผัน แต่เด็กหนุ่มก็หวังว่าตนเองคงไม่ต้องใช้งานปืนกระบอกนี้ เพราะเฒ่าทะเลนั้นถือว่าเป็นคนรู้จักและเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของเขาเช่นกัน
…และอีกอย่าง การยิงปืนแต่ละครั้งก็มักจะส่งเสียงดังแสบรูหูด้วย
ถ้ามีที่เก็บเสียงปืนก็คงยอดเยี่ยมกว่านี้
สงสัยเขาคงต้องกลับไปหาดูในแอป Taobao สักหน่อยแล้ว
ในจังหวะนั้น…
“กองเรือรบของชาวเผ่าทะเลมาปรากฏตัวโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ไม่ทราบว่าพวกท่านมีความต้องการอันใด?” บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง คุณชายเหลียนซานกระโดดขึ้นมายืนอยู่ที่หัวเรือ เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วผืนน้ำจากการโคจรพลังลมปราณส่งเสริม “ข้ามีนามว่าเหลียนซาน เป็นตัวแทนจากเมืองเฉียนหาว บัดนี้เป็นการประลองกันระหว่างมือกระบี่ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองท่าน หากมีสิ่งใดรบกวนชาวเผ่าทะเลไปบ้าง วอนพวกท่านได้โปรดให้อภัย!”
น้ำเสียงของคุณชายหนุ่มค่อนข้างสุภาพ
“องค์หญิงของข้าเพียงอยากมาดูการประลอง… เชิญพวกท่านประลองกันต่อไปเถิด”
เสียงของเฒ่าทะเลดังตอบกลับมาสะท้อนไปทั่วน่านน้ำเช่นกัน
หลังจากนั้น
องค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์ทะเลก็หมุนตัวไปพูดอะไรบางอย่าง แล้วเรือรบกระดูกวาฬลำอื่นที่จอดอยู่ด้านหลัง ก็ค่อยๆ จมตัวลงไปใต้มหาสมุทรอีกครั้ง
เมื่อเรือลำอื่นหายลับไปจากสายตาแล้ว นางก็เดินขึ้นมาบนบริเวณยอดหัวเรือของตนเอง
หญิงสาวคนนี้ไม่สวมใส่รองเท้า เท้าเปล่าทั้งสองข้างของนางขาวเนียนราวกับหิมะ ทุกครั้งที่นางก้าวเดินออกมาข้างหน้า จะเกิดคลื่นพลังสีขาวพริ้วไหวเป็นระลอก เช่นเดียวกับบนผืนน้ำที่เกิดกระแสคลื่นไปกับทุกจังหวะการก้าวเท้าของนางเช่นกัน!
เฒ่าทะเลเดินตามหลังมาไม่ห่าง
บัดนี้ กองทัพเรือรบของชาวเผ่าทะเลได้หายลับไปจากสายตาผู้คนแล้ว หลงเหลือก็แต่เพียงเรือขององค์หญิงลำเดียวเท่านั้นที่ยังลอยลำอยู่บนผืนน้ำ
“ข้าแค่อยากมาเฝ้าดูการประลองก็เท่านั้น…”
เมื่อหญิงสาวพลิ้วกายออกมาจากลำเรือ ผืนน้ำบริเวณนั้นก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นปีศาจทะเลหน้าตาน่ารักน่าชังตัวหนึ่ง มันกระโดดขึ้นมารองรับน้ำหนักตัวของนางเอาไว้ องค์หญิงแห่งท้องทะเลยิ้มแย้มอย่างดีใจพร้อมกับกล่าวว่า “เชิญทุกท่านประลองกันต่อได้เลย…”
แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“เสียงเพราะจังเลยแฮะ”
หลินเป่ยเฉินอดอุทานออกมาไม่ได้
องค์หญิงท่านนี้มีหน้าตาเหมือนคนอายุเพียง 20 ปีเศษ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับนักพรตหญิงชิน สตรีทั้งสองนางนี้ต่างก็มีความสวยงามไม่แพ้ใครในใต้หล้า และเสียงขององค์หญิงแห่งท้องทะเลนางนี้ ก็ช่างไพเราะเสนาะหูเสียเหลือเกิน
นักพรตหญิงชินพลันหันขวับมาถลึงตาจ้องมองเด็กหนุ่ม
แววตาแบบนี้มัน…
บอกไม่ได้เหมือนกันว่านักพรตหญิงชินกำลังคิดอะไรอยู่
แต่ที่แน่ๆ ก็คือหลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเขาต้องเอาตัวรอดเสียแล้ว
“ทว่า ถึงเสียงนางจะไพเราะก็จริง แต่ก็ยังไพเราะสู้เสียงของท่านนักพรตหญิงชินไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวเลยขอรับ”
เด็กหนุ่มรีบพูดอย่างลื่นไหล
นักพรตหญิงชินส่งเสียงดังหึในลำคอและไม่พูดอะไรเลยสักคำ
หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนกับว่าองค์หญิงแห่งท้องทะเลได้หันหน้ามองมาทางเขาด้วยเช่นกัน ดวงตาของนางจับจ้องมองมาเป็นเวลาทั้งสิ้น 6 วินาทีกับอีก 30 เศษเสี้ยววินาทีเห็นจะได้
ไม่ทราบว่านางมองอะไรของนาง?
เขานี่มันหล่อเหลาถึงขนาดที่นางต้องจ้องมองอย่างละสายตาตาไม่ได้เชียวหรือ?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดด้วยความกลุ้มใจในความหล่อเหลาของตนเอง ทว่าเขาก็ต้องรีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง และตั้งสมาธิอยู่ที่การประลองระหว่างติงซานฉือกับจูปี้ฉีอีกครั้ง
บนเสาน้ำกลางอากาศ
กระบี่สุราโลหิตจูปี้ฉีกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งหลังเกิดความลังเลเล็กน้อยเมื่อเห็นการปรากฏตัวของชาวเผ่าทะเล
“ติงเล่ย ข้าจะส่งเจ้าลงนรกเดี๋ยวนี้”
พลัน จูปี้ฉีโคจรพลังลมปราณลงไปที่กระบี่สายฟ้าพิโรธอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น หลินเป่ยเฉินเห็นว่าสายเลือดจากบาดแผลบนแขนของจูปี้ฉีได้ไหลซึมลงไปที่กระบี่หินสีม่วง ลวดลายอักขระบนตัวกระบี่ระเบิดประกายเจิดจ้า แล้วกระบี่ที่เคยเป็นสีม่วงก็กลับกลายเป็นสีแดงฉาน ราวกับว่านี่คือกระบี่ที่ถูกจุ่มลงไปในถังโลหิตก็ไม่ปาน!
พลังลมปราณในร่างกายของจูปี้ฉีกลับเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิม
นี่คือสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว
ติงซานฉือถอนสายตากลับมาจากองค์หญิงแห่งท้องทะเล
สูดหายใจลึกๆ
แล้วความคิดฟุ้งซ่านก็ถูกปัดเป่าออกไปจากหัวสมอง
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ติงซานฉือคิดว่าตนเองปิดตายหัวใจได้สำเร็จแล้ว ต่อให้พบหน้านางอีกครั้งก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่เป็นเพราะหลินเป่ยเฉินคนเดียวที่ทำให้ติงซานฉือเริ่มกลับมาเป็นคนที่มีหัวใจเหมือนมนุษย์ปกติอีกครั้ง อารมณ์ความรู้สึกของเขาปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และในขณะนี้ ติงซานฉือก็ไม่คิดมาก่อนว่าตนเองจะยังคงมีความรู้สึกในหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนในอดีตไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ก็เพียงเท่านั้น เขาไม่สมควรว้าวุ่นใจอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ประเสริฐ นี่คือกระบวนท่าที่ 3 นับเป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่จะส่งเจ้าไปสู่โลกหลังความตาย”
ติงซานฉือระเบิดเสียงหัวเราะกึกก้องท้องฟ้า
จิตวิญญาณแห่งนักสู้ที่อดีตเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนไม่เคยรู้สึกในตัวเองมานานแล้ว พลันอาบล้นไปทั่วจิตใจอีกครั้ง
เส้นผมสีดำของเขาปลิวไสว
ระดับพลังของติงซานฉือดูเหมือนจะยิ่งสูงส่งมากขึ้น
กระบี่คุณธรรมที่ลอยตัวอยู่ด้านหลังเพิ่มความรวดเร็วจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันคล้ายกลับกลายเป็นเพียงดาวตกดวงหนึ่ง ติงซานฉือสามารถควบคุมกระบี่ด้วยการยกมือเพียงข้างเดียว เมื่อเขาวาดมือไปมาในอากาศ กระบี่คุณธรรมก็บินฉวัดเฉวียนสร้างเป็นค่ายกลกระบี่รอบทิศทาง เปิดเผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในระดับที่หลินเป่ยเฉินไม่คาดคิดมาก่อน
เด็กหนุ่มเบิกตาโตโดยไม่รู้ตัว
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
“จะโจมตีก็โจมตีเสียทีเถิด ท่านอาจารย์”
“มัวแต่ควงกระบี่อวดองค์หญิงอยู่ได้ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพอองค์หญิงปรากฏตัวขึ้นมา ท่านถึงทำตัวไม่เหมือนเดิมนะ?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่อาจารย์ของตนเองเขม็ง
กระบวนท่าในครั้งนี้ ต้องเป็นกระบวนท่าที่ 3 จากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรแน่นอน
มันเป็นกระบวนท่าที่โจมตีด้วยการแอบแฝงในภาพลวงตา
แต่ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง…
ครืน!
ได้ยินเสียงของการระเบิดพลังดังสนั่นหวั่นไหวทั่วท้องทะเล
ในที่สุด มือกระบี่นามกระเดื่องแผ่นดินทั้งสองท่านนี้ ก็ระเบิดพลังระดับสูงสุดของตนเองออกมาแล้ว
นี่คือกระบวนท่าไม้ตาย นี่คือการปลดปล่อยพลังเพื่อปลิดชีพฝ่ายตรงข้าม
ภายใต้การจ้องมองของผู้ชมหลายสิบชีวิตกลางท้องทะเล ติงซานฉือกับจูปี้ฉีก็ได้ลอยตัวพุ่งเข้าหากัน
แล้วคลื่นพลังจากการระเบิดที่มีความรุนแรงราวกับระเบิดปรมาณูก็แผ่กระจายไปรอบบริเวณ