บทที่ 48 ลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือหนุ่มเจ้าเสน่ห์
หลินเป่ยเฉินยกมือกุมศีรษะ ร่ำร้องด้วยใบหน้าเหยเกว่า “ข้าก็ถามจริงจังนะขอรับ ทำไมพวกเราต้องสานสัมพันธไมตรีอะไรนั่นด้วย?”
ติงซานฉือมีสีหน้าเหมือนคนที่ความดันโลหิตพุ่งขึ้นสูงจนเส้นเลือดในสมองใกล้แตกตาย
การพูดคุยธุระกับเจ้าแกะดำ ทำให้เขาปวดหัวได้เสมอ
แต่เมื่อนึกได้ว่าฉู่เหินผู้เป็นอาจารย์หัวหน้าชั้นปีฝากความหวังไว้ที่เด็กหนุ่มคนนี้ ติงซานฉือจึงต้องข่มใจเก็บอาการปวดหัว และคิดถึงแต่เพียงประโยชน์ส่วนรวมของสถานศึกษากระบี่ที่สามเท่านั้น…
ติงซานฉือพยายามสงบจิตใจ
เขายกมือนวดขมับอย่างแรงอยู่นานสองนาน เมื่อใจเย็นลงแล้วจึงได้อธิบายว่า
“ความจริง จุดประสงค์ของการจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ ไม่ได้มีขึ้นเพื่อให้พวกเจ้าได้กินอิ่มหนำสำราญ แต่มันมีขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ศิษย์ต่างสถาบันได้ทำความรู้จักกัน นี่คือโอกาสดีที่สุดที่พวกเจ้าจะได้สร้างพันธมิตร เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวของเจ้าเองตลอดการแข่งขันในอีก 10 วันข้างหน้า”
“แต่การแข่งขันมันวัดกันที่ใครเก่งสุดก็ชนะไม่ใช่หรือขอรับ”
“มันคือการทดสอบวิสัยทัศน์ ความเป็นผู้นำ และความยืดหยุ่นของเจ้าต่างหาก สิ่งที่เจ้าทำทุกอย่าง สิ่งที่เจ้าพูดทุกคำ ล้วนอยู่ในหูตาของผู้ดูแลค่ายทั้งสิ้น จงอย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาด”
ติงซานฉืออธิบายด้วยความอดทน
หลินเป่ยเฉินขยุ้มผ้าเช็ดมือขึ้นมาเช็ดปากตนเอง “หมายความว่า การแข่งขันที่แท้จริง เริ่มขึ้นตั้งแต่งานเลี้ยงรอบกองไฟนี้แล้วสินะขอรับ”
ติงซานฉือส่ายหน้า “ไม่ใช่ ถ้าจะพูดตามตรง มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เจ้าเดินเข้ามาในค่ายแห่งนี้แล้วต่างหาก”
“สรุปว่า งานเลี้ยงรอบกองไฟไม่ได้มีขึ้นเพื่อให้พวกเราได้รับประทานอาหารเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันมีขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเราได้ตามหาคู่หู สร้างพันธมิตรระหว่างการแข่งขัน เพื่อวางแผนร่วมมือ วางกลยุทธ์ทำลายคู่แข่ง ในขณะเดียวกันก็วางแผนทำลายกันเอง…ใช่ไหมขอรับ?”
พูดไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าตนเองฉลาดขึ้นมาในพริบตา
ติงซานฉือได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี
รับประทานอาหารครั้งสุดท้ายบิดาเจ้าเถอะ
ตอนแรกเจ้าแกะดำก็พูดเหมือนเข้าใจทุกอย่าง แต่ทำไมประโยคท้ายสุดมันถึงได้ออกทะเลไปไกลอย่างนั้น?
แต่อย่างน้อย ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มพอจะเข้าใจจุดประสงค์โดยรวมแล้ว
ติงซานฉือกัดฟันตอบกลับไปว่า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบตัว
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตอนที่งานเลี้ยงเริ่มขึ้น มู่ซินเยว่ อู๋เสี่ยวฟางและเยว่หงเซียงก็หายตัวไปเลยแฮะ
หลินเป่ยเฉินสอบถามผู้เป็นอาจารย์ว่า “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ยัยคุณหนูงูพิษแซ่มู่กับเจ้าคนทรยศแซ่อู๋ ก็คงกำลังไปประจบขอเข้าเป็นพวกยอดอัจฉริยะของสถาบันอื่นๆ อยู่ใช่ไหมขอรับ?”
ติงซานฉือมีสีหน้าแปลกพิกลขึ้นมาแล้ว
ชื่อเล่นที่หลินเป่ยเฉินเรียกขานเพื่อนร่วมสถาบันมันช่าง…โหดร้าย…ไม่น้อยเลย
“ถูกต้อง” อาจารย์ชรากล่าวต่อด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “คิดว่าคนอื่นจะมาทำตัวเรื่อยเปื่อยเหมือนเจ้าหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นจิบ แล้วตอบว่า “อาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ทำไมเราต้องไปตีสนิทกับคนจากสถาบันด้วยขอรับ? เราควรจะสามัคคีกันไว้เป็นหนึ่งเดียว ถึงจะทำให้สถานศึกษากระบี่ที่สามของเราชนะได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าสองคนนั้นถึงเลือกไปตีสนิทคนจากสถาบันอื่น? ทำไมไม่รวมกลุ่มอยู่กับข้าเหมือนเดิมเล่า?”
“ยังไม่รู้ตัวใช่ไหมว่าทำไมพวกเขาถึงไม่อยากคบหาเจ้า?” ติงซานฉือไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว “ความจริง ทุกอย่างมันเป็นตรงกันข้ามกับที่เจ้าพูดมาทั้งหมด”
แล้วอาจารย์ชราก็อธิบายอีกยืดยาวว่า “ศิษย์จากสถาบันเดียวกันมักจะเป็นคู่แข่งกันเสมอ พวกเขาต่างก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ไม่สามารถสงบศึกกันได้ แม้จะเป็นเวลาชั่วคราวก็ตาม ดังนั้น ทุกคนจึงยินดีร่วมมือกับศิษย์จากสถาบันอื่น พวกเขาจะแลกเปลี่ยนข้อมูล เพิ่มข้อได้เปรียบให้ตัวเอง แถมยังได้ขัดขาคู่แข่งร่วมสถาบันอีกด้วย”
“ตราบใดที่สามารถเป็นผู้ชนะการทดสอบครั้งนี้ได้สำเร็จ ก็จะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของสถาบันแต่เพียงผู้เดียว นี่เท่ากับสามารถกดหัวคู่แข่งให้อยู่ใต้เท้าตัวเองได้ในเวลาเดียวกัน มีใครบ้างที่ไม่ต้องการ?”
หลินเป่ยเฉินคิดตามก็อ้าปากค้าง “อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
จริงด้วยสิ
การทำตัวตีสนิทกับคนแปลกหน้า มันง่ายกว่าทำตัวเป็นศัตรูอยู่แล้ว
เพราะเหตุนี้ โลกมนุษย์ถึงได้มีนักต้มตุ๋นเต็มไปหมด
เรื่องนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกอย่าง ตั้งแต่ใช้สำหรับรับมือผู้คนที่ไม่พึงประสงค์ ใช้สำหรับการแก้ปัญหาระดับประเทศ ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นระหว่างตอนอยู่บ้านหรือตอนเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นระหว่างลงมือก่อเหตุปล้นฆ่าหรือวางเพลิง การตีสนิทคนแปลกหน้าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
“แต่คนของสถานศึกษากระบี่หลวงคงดูถูกศิษย์จากที่อื่นอยู่ไม่น้อยนะขอรับ” หลินเป่ยเฉินกล่าวเสริม “พวกเขาคงผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายแน่นอน ถึงไม่ต้องร่วมมือกับสถาบันอื่นๆ พวกเขาก็สามารถชนะได้ด้วยความสามารถของตัวเองอยู่แล้ว”
ติงซานฉือตอบด้วยการส่ายศีรษะอีกครั้ง “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว มีเพียงอัจฉริยะหนึ่งในร้อยเท่านั้น ที่จะสามารถชนะการแข่งขันได้ด้วยตัวคนเดียว 100 เปอร์เซ็นต์ บุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้…แต่เจ้าจงจำเอาไว้ว่า ยิ่งเป็นยอดอัจฉริยะที่เก่งกาจมากแค่ไหน ในสถาบันยิ่งมีการแข่งขันสูงมากเท่านั้น แม้แต่ในสถานศึกษากระบี่หลวงก็ไม่มีข้อยกเว้น ลองคิดดูให้ดี ในเมื่อแม้แต่เจ้าเองก็มีปัญหากับเพื่อนร่วมสถาบันระหว่างสอบคัดเลือก แล้วทำไมพวกเขาถึงจะไม่มี?”
เมื่อได้ยินดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็ตระหนักแล้วว่า ตนเองมีความคิดตื้นเขินมากเกินไป
ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยการแข่งขัน
การสอบคัดเลือกรอบสุดท้ายครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันธรรมดา
แต่มันคือสงครามแห่งการเอาตัวรอด ที่เต็มไปด้วยหลุมพรางและการวางแผนอันแยบยล
เดี๋ยวก่อนนะ
งั้นแบบนี้ใครฉลาดสุดก็ได้เปรียบไม่ใช่หรือไง?
หลินเป่ยเฉินแอบบ่นอยู่ในใจด้วยความหงุดหงิด
ปรากฏว่าการสอบคัดเลือกหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง แทบไม่ต่างจากการเอาสัตว์มีพิษโยนเข้ามาให้อาศัยอยู่รวมกลุ่มกันเลยสักนิด
อาณาจักรทะเลเหนือประกาศไว้เนิ่นนานแล้วว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับการศึกษามากที่สุด เพราะไม่อยากให้บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่เรียนจบไปเก่งแต่ด้านวิชาการต่อสู้เท่านั้น แต่ศิษย์ทุกคนต้องมีความสามารถหลากหลาย มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่แข็งแกร่ง มีความสามารถรอบตัว และที่สำคัญคือต้องมีความเป็นผู้นำ
ถ้าจะมองในมุมนั้น การเข้าค่ายสอบครั้งนี้ ก็เป็นเหมือนสิ่งที่จะช่วยคัดเลือกจอมยุทธ์คุณภาพรุ่นต่อไปได้เป็นอย่างดี
หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มแฉ่งอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อนนะ สุดยอดอัจฉริยะนกกระเรียนในฝูงไก่คนนั้นที่อาจารย์พูดถึง อาจารย์หมายถึงข้าใช่ไหม?”
ติงซานฉือตอบทันทีว่า “เจ้าเอาอะไรมาพูด? มันจะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร ข้ากำลังพูดถึงหลิงเฉิน ยอดเทพธิดาน้อยผู้ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งต่างหาก”
“แล้วก็ไม่บอก” หลินเป่ยเฉินระบายลมหายใจฟึดฟัด “ช่างมันเถอะขอรับ ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หันกลับไปก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร ไม่สนใจอาจารย์ชราที่ยืนมองตาปริบๆ อยู่ด้านข้างอีกเลย
ติงซานฉือยืนรออยู่นานสองนาน ก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า “แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับมาหน้าตาเฉย “ก็ไม่ทำอะไรหรอกขอรับ”
“ที่อาจารย์อุตส่าห์อธิบายให้เจ้าฟังเมื่อสักครู่นี้…ไม่ได้เข้าหูเจ้าบ้างเลยหรือ?”
ติงซานฉือพยายามสะกดกลั้นความเดือดดาลไม่ให้แสดงออกมา
“อาจารย์อาจคิดว่าตนเองมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ท่านยังลืมเลือนไปข้อหนึ่งนะขอรับ” หลินเป่ยเฉินพูด “ปัญหาสำคัญในตอนนี้ก็คือ ข้ามีภาพลักษณ์เลวร้ายมาก ข้าคือเจ้าโหลยโท่ยประจำสถาบัน ยังจะมีใครอยากมาร่วมทีมกับคนห่วยแตกอย่างข้าอีกหรือ?”
ติงซานฉือไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วจริงๆ
เพราะสิ่งที่หลินเป่ยเฉินตอบออกมา ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
อาจารย์ชราไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรเหมือนกัน ได้แต่พยายามให้กำลังใจกลับไปว่า
“อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะลองพยายามดูก่อน”
แต่น้ำเสียงของติงซานฉือฟ้องชัดว่า แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินพูดไปพลางกินไปพลางว่า “นี่ข้าก็กำลังเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่นะขอรับ ต้องให้ท้องอิ่มก่อน ข้าถึงมีเรี่ยวแรงไปทำอย่างอื่นได้ เมื่อข้ามีเรี่ยวแรงแล้ว ข้าก็จะไปโปรยเสน่ห์…ไม่สิ ข้าก็จะไปสานสัมพันธไมตรีกับสหายต่างสถาบัน อาจารย์ไม่เชื่อมือข้าหรือ? รอให้ข้ากินอิ่มเสียก่อนเถิด รับรองว่าแม้แต่เทพธิดาน้อยผู้ครองตำแหน่งอันดับ 1 คนนั้น ก็หนีข้าไม่รอดแน่ วะฮ่าๆๆ”
ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “หากเจ้าสามารถผูกมิตรกับหลิงเฉินได้จริงๆ ข้ายอมกินอาหารทั้งโต๊ะนี้ให้ท้องแตกตาย”
“เดี๋ยวก่อนสิขอรับ…นี่อาจารย์ดูถูกข้าขนาดนี้เชียวหรือ?” หลินเป่ยเฉินรีบโต้แย้งด้วยความไม่พอใจ “อาจารย์ลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือหนุ่มเจ้าเสน่ห์ หญิงสาวคนใดยามที่ได้สบตาข้าแล้ว รับรองว่าไม่มีทาง…”
แต่เด็กหนุ่มยังพูดไม่ทันจบประโยค
ก็มีเสียงหัวเราะดังแทรกขึ้นมาว่า “ข้าไม่เคยพบเจอใครพูดจาได้ไร้ยางอายมากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ”