ตอนที่ 480 ข้ามีเรื่องอยากสอบถามใต้เท้าหยิงสักหน่อย
ภูเขาเสี่ยวซี
กระแสน้ำไหลแรง
หน้าผาเปียกชุ่มด้วยเม็ดฝน ม่านฝนเริ่มโปรยปรายลงมาบางตามากแล้ว
น้ำป่าที่ไหลล้นลงมาสู่พื้นที่ราบต่ำขณะนี้กำลังไหลทะลักลงมาสู่ขอบหน้าผา ก่อเกิดเป็นม่านน้ำตกตามธรรมชาติ เสียงของสายน้ำที่ตกกระทบหุบเหวด้านล่างดังก้องสะท้อนเหมือนเป็นวันสุดท้ายของโลก
ก้นเหวมีถ้ำแห่งหนึ่งถูกขุดลึกเข้าไปในหน้าผา
ไม่มีใครรู้ว่าถ้ำแห่งนี้จะนำพาไปสู่ที่ใด
ปรากฏคนงานผิวเหลืองร่างกายผอมบางจำนวนมากสวมใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น บนหลังแบกตะกร้าไม้ไผ่เดินเข้าออกถ้ำแห่งนี้ตลอดเวลา
เจ้าหน้าที่มือปราบจำนวน 20 นายยืนอารักขาอยู่หน้าถ้ำ
ห่างออกมาไม่ไกลเป็นกระโจมที่พักซึ่งสร้างค่ายอาคมเอาไว้รอบบริเวณ ค่ายอาคมเหล่านั้นสามารถกันฝนและเสียงรบกวน ทำให้พื้นที่ด้านในยังแห้งสะอาดและมีแสงไฟให้ความอบอุ่นจากตะเกียงดวงใหญ่ แม้ว่าจะขึงผ้าม่านกั้นเป็นบางส่วนเท่านั้นก็ตาม
หยิงอู๋จีนั่งอ่านม้วนกระดาษอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งพร้อมกับพูดว่า “ทำไมคนงานถึงได้ขุดเหมืองกันเชื่องช้านัก? นี่ก็ผ่านมาได้ 6 วันแล้ว เราเพิ่งจะนำแร่หินบูชาออกมาได้เพียง 2,000 ชั่งเท่านั้น บอกให้พวกมันรีบขุดแร่หินออกมาให้ได้เร็วกว่านี้ มิเช่นนั้น ข้าจะสั่งลงโทษ”
เจ้าหน้าที่มือปราบผู้ยืนอยู่หน้าโต๊ะในกระโจมมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
เขารีบอธิบายว่า “ใต้เท้าขอรับ สถานการณ์ของพวกเราบัดนี้คือขาดกำลังคน ยังมีน้ำป่าไหลทะลักลงมาไม่หยุด คนงานไม่มีที่คุ้มกันภัย ตลอดหลายวันที่ผ่านมา น้ำป่าซัดคนงานของเราหายสาบสูญไปจำนวนมาก แม้แต่พวกตระกูลอู๋เราก็สั่งให้มาช่วยงานขุดเหมืองแล้ว เช่นเดียวกับพวกนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พวกเราก็เอามาหมดแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การเร่งความเร็วขุดเหมืองให้ได้มากกว่านี้ ข้าน้อยเกรงว่าพวกเราคงทำได้ไม่ง่ายนัก…”
“ใช่แล้วขอรับ”
เจ้าหน้าที่มือปราบอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าก็ไปหาคนงานมาเพิ่มจากในตัวเมืองซะ ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด แต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดินวันนี้ พวกเจ้าต้องพาคนงานใหม่กลับมาให้ได้ 100 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนแก่หรือใครก็ตาม ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็ใช้งานได้แล้ว…”
หยิงอู๋จีออกคำสั่ง
“รับทราบขอรับ ใต้เท้า”
เจ้าหน้าที่มือปราบทั้งสองนายนั้นตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะก้มหัวลงทำความเคารพและหมุนตัวเดินจากไป
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร…”
อู๋เฟิ่งกูผู้มีใบหน้าอยู่ในสภาพบวมช้ำอดพูดออกมาไม่ได้
เถ้าแก่สวนแตงโมถูกจับมัดอยู่กับเสาไม้ที่ตั้งอยู่ใจกลางกระโจม เขาร่ำร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้ามีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าหน่วยมือปราบ แต่กลับทำเรื่องผิดกฎหมายโดยไม่ละอายแก่ใจเสียเอง? เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่? สิ่งที่เจ้าทำมันมันผิดกฎหมาย!”
หยิงอู๋จีหันหน้าไปจ้องมองร่างของอู๋เฟิ่งกู
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าอู๋เฟิ่งกูคือผู้ที่ได้รับการลงนามให้เป็นผู้รับส่วนแบ่งอย่างเป็นทางการจากหลินเป่ยเฉิน ป่านนี้เถ้าแก่สวนแตงโมคงถูกฆ่าตายไปนานแล้ว
ตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา หยิงอู๋จีไม่เคยลังเลที่จะสังหารคน มีแต่เถ้าแก่สวนแตงโมคนเดียวเท่านั้นที่เขาต้องผูกเอาไว้กับเสาไม้ด้วยความจำใจ เต็มที่ก็ทำได้แค่ทุบตีระบายอารมณ์ จนใบหน้าของอู๋เฟิ่งกูแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป…
ไม่ทราบว่าอู๋เฟิ่งกูยังกล้าปากดีอีกได้อย่างไร?
หรือว่าถูกซ้อมแค่นี้ยังไม่พอใจ
หยิงอู๋จีลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า เดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าอู๋เฟิ่งกู มุมปากของเขาม้วนตัวเป็นรอยยิ้มนึกสนุก “ได้ยินว่าเมื่อวานนี้ เจ้าแอบสั่งให้คนส่งจดหมายออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ?”
หัวใจของอู๋เฟิ่งกูเต้นระทึกขึ้นมาทันที
โดนจับได้เสียแล้วหรือนี่?
เถ้าแก่สวนแตงโมร่างอ้วนกัดฟันกรอด ดวงตาเป็นประกายคมวาวขณะยอมรับสารภาพ “มิผิด ข้าส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปหาหลินเป่ยเฉิน อีกไม่นานเขาจะต้องมาจัดการเจ้าแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ความชั่วร้ายของเจ้าก็จะถูกเปิดโปง อย่าลืมสิว่าหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก เจ้าไม่มีทางหลบหนีโทษประหารชีวิตได้เด็ดขาด”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หยิงอู๋จีแสยะยิ้มเหยียดหยาม ก่อนพูดว่า “เจ้าหมูอ้วน ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือที่ขอร้องให้ข้าช่วยจัดการหลินเป่ยเฉินน่ะ?”
“เฮอะ ข้าก็แค่หลอกให้เจ้าตายใจเท่านั้นเอง”
อู๋เฟิ่งกูร้องคำรามออกมาสุดเสียง “ข้าเคยเห็นบุคคลโฉดชั่วอย่างเจ้ามามากมายนัก ต่อให้เจ้าได้ครอบครองเหมืองแห่งนี้จริง เจ้าก็ไม่มีทางไว้ชีวิตข้าอยู่ดี หยิงอู๋จี เจ้ามันก็เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานในร่างมนุษย์ ต่อให้ข้าต้องถูกฆ่าตายร้อยครั้งพันครั้ง ข้าก็ไม่มีทางร่วมมือกับเจ้าเด็ดขาด”
หยิงอู๋จียิ้มแย้มด้วยความอำมหิต “แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ? ถึงข้าจะส่งพวกเขาไปทำงานในเหมือง แต่อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าบัดนี้ยังไม่ตาย เจ้าไม่คิดเป็นห่วงบ้างหรือไรว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของตนเอง?”
“หุหุ ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ นอกจากสมาชิกในครอบครัวที่ถูกเจ้าจับตัวมาเนี่ย ข้ายังมีลูกนอกสมรสโดยที่ไม่มีใครรู้อยู่อีกด้วย”
อู๋เฟิ่งกูพูดด้วยความภาคภูมิใจ “ก่อนหน้านี้ ข้าเคยมีลูกนอกสมรสแค่คนเดียว แต่บัดนี้ จำนวนลูกนอกสมรสของข้าเพิ่มขึ้นมานับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว พวกเขากระจายตัวอยู่ทั่วเมือง แล้วยังจะมีเหตุอันใดให้ข้าต้องหวาดกลัวอีก? เห็นได้ชัดว่าอย่างไรเสีย สายเลือดของตระกูลอู๋เถ้าแก่สวนแตงโมคนนี้ไม่มีทางจบสิ้นเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินยอมพร้อมตาย…แต่ก่อนตาย ข้าต้องได้เห็นเจ้าทนทุกข์ทรมานเสียก่อน”
“หืม?”
หยิงอู๋จีเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “บอกตามตรงเลยนะว่า เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถไม่ใช่น้อย เจ้าทำให้ข้าแปลกใจได้เสมอ เอาเป็นว่าถ้าเจ้ายอมคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้า บางทีข้าอาจจะยอมปล่อยเจ้าไปก็ได้ อยากลองขอร้องข้าดูสักหน่อยไหมล่ะ?”
“เฮอะ ใครเชื่อเจ้าก็คงโง่เต็มทน”
อู๋เฟิ่งกูระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
“โอกาสดีมีเพียงครั้งเดียว”
หยิงอู๋จีเย้าแหย่ “หากเจ้าไม่ลอง แล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
อู๋เฟิ่งกูถึงกับเกิดความลังเลใจขึ้นเล็กน้อย
อดีตเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาพูดว่า “หวังว่าเจ้าคงไม่โกหกข้านะ…”
จะมีใครอยากตายบ้าง ในเมื่อยังมีหนทางรอดชีวิต?
ความขบขันปรากฏขึ้นในแววตาของหยิงอู๋จี เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วม่านของกระโจมก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่มือปราบจากด้านนอกที่ออกเดินทางไปเมื่อสักครู่ได้ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง
และเป็นการย้อนกลับเข้ามาแบบเดินถอยหลังเสียด้วย
“มีอะไรกัน? ฮึ…”
สีหน้าของหยิงอู๋จีเปลี่ยนแปลงไปโดยที่ยังไม่ทันได้ก่นด่าบริวาร เนื่องจากเขาพบว่ามีบุคคลผู้หนึ่งเดินเข้ามาในกระโจมที่พักของตนเองอย่างเชื่องช้า
อาคันตุกะสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาว
สีขาวราวหิมะ
บนหลังสะพายกระบี่หนึ่งเล่ม
ใบหน้าหล่อเหลา ลักษณะท่าทีดูสุภาพอ่อนน้อม
มีเพียงแขนเสื้อทั้งสองข้างเท่านั้นที่ห้อยตกข้างลำตัวด้วยความว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าบุคคลผู้นี้ไม่มีแขน
“ที่แท้ก็เป็นท่านนี่เอง… คุณชายเจียง”
สีหน้าของหยิงอู๋จีแปรเปลี่ยนไปอีกครั้งขณะพูดว่า “ว่าแต่คุณชาย… มาที่นี่ทำไมหรือ?”
อาคันตุกะผู้นี้ก็คือเจียงจี้หลิว หนึ่งในสี่มือกระบี่ประจำตัวของเว่ยหมิงเฉิน
“ข้ามีเรื่องอยากสอบถามใต้เท้าหยิงสักหน่อย”