ตอนที่ 482 ขอโทษที พอดีมือลั่น
กระบี่ถูกชักออกมาจากฝัก
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
ในกระโจมเต็มไปด้วยเสียงการปะทะกันของกระบี่
กระบี่ยาวของเจียงจี้หลิวโผบินขึ้นไปในอากาศและลอยถอยหลังกลับไป
หยิงอู๋จีหัวเราะในลำคอ “เจ้ามันเป็นเพียงเศษขยะที่นายท่านรอวันกำจัดทิ้ง ไหนๆ เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจะถือโอกาสกำจัดขยะให้นายท่านเลยก็แล้วกัน… จงตายซะ!”
ร่างกายของหัวหน้าหน่วยมือปราบพลันมีพลังลมปราณไหลทะลักออกมา จังหวะเดียวกันนี้ เขาก็ใช้มือยึดกุมด้ามจับกระบี่แนบแน่น
การจะขึ้นมากินตำแหน่งหัวหน้าหน่วยมือปราบได้สำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีระดับวรยุทธ์เลิศล้ำ มีความชำนาญในการต่อสู้ทุกรูปแบบ รวมถึงยังต้องมีจิตใจห้าวหาญมั่นคง ต่อให้ต้องใช้เท้าเปล่าเดินลุยไฟ ก็สามารถกระทำได้โดยไม่มีความสะทกสะท้าน
ก่อนเกิดความเปลี่ยนแปลง หยิงอู๋จีไม่นับว่าเป็นคู่มือของเจียงจี้หลิว
แต่บัดนี้เล่า?
เจียงจี้หลิวเป็นเพียงเจ้าคนแขนด้วนคนหนึ่งก็เท่านั้น
เด็กคนนี้จะมาเป็นคู่มือของเขาได้อย่างไร? จิตสังหารปะทุขึ้นมาในหัวใจของหยิงอู๋จี กระบี่ในมือทิ่มแทงออกไปข้างหน้าปราศจากความปราณี
ในกระโจมอัดแน่นด้วยพลังลมปราณของทั้งสองฝ่าย
“หมดกัน เจียงจี้หลิวไม่รอดแน่ๆ…”
อู๋เฟิ่งกูที่ถูกจับมัดอยู่กับเสาไม้ได้แต่ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ
ตอนแรก เขานึกว่ามีเทพเจ้าลงจากท้องฟ้ามาช่วยเหลือตนเองแล้ว แต่ใครจะคิดเลยว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมากลับกลายเป็นเจียงจี้หลิว เมื่อไม่มีแขนทั้งสองข้าง เจียงจี้หลิวก็ไม่มีความน่ากลัวอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ตาม
ลมหายใจต่อมานั้นเอง
เจียงจี้หลิวไม่ได้ถอยหนีการโจมตีของหัวหน้าหน่วยมือปราบ
เด็กหนุ่มสะบัดหัวไหล่อีกเล็กน้อย แขนเสื้อของเขาปลิวไสว กระบี่คู่กายบินกลับมาด้วยความคล่องแคล่วราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันกลับมารับการโจมตีจากหยิงอู๋จีได้ทันเวลาพอดี
หยิงอู๋จีรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสว่างวูบวาบปรากฏขึ้นตรงหน้า
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉึก! ฉึก!
ที่ข้อมือรู้สึกเย็นวูบสองครั้ง
แล้วโลหิตสีแดงสดก็พุ่งกระฉูดออกมา
หยิงอู๋จีร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ซวนเซถอยหลัง กระบี่หลุดออกจากมือตกลงไปอยู่บนพื้นดิน เมื่อก้มหน้ามอง หยิงอู๋จีถึงได้รู้ว่าเส้นเอ็นมือของตนเองถูกตัดขาดแล้ว
“เจ้า…”
หัวหน้าหน่วยมือปราบเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนพิการแขนขาดจะมีความร้ายกาจถึงขนาดนี้
ถึงเจียงจี้หลิวจะกลายเป็นคนแขนขาด แต่หยิงอู๋จีเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองก็ยังไม่ใช่คู่มือของเด็กคนนี้อยู่ดี
เมื่อเห็นดังนั้น อู๋เฟิ่งกูก็ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
เจียงจี้หลิวเป็นฝ่ายชนะแล้วใช่ไหม?
สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาแสดงออกถึงความโกรธแค้นมากขึ้น
เขาสะบัดหัวไหล่อีกครั้ง
แขนเสื้อที่ว่างเปล่าของกระบี่พันหน้าม้วนพันด้ามจับกระบี่คู่กาย และเขาก็ควบคุมพลังลมปราณยกกระบี่ขึ้นชี้หน้าหยิงอู๋จี
“แย่แล้วสิ…”
หยิงอู๋จีถอยหลังกรูดพร้อมกับส่งเสียงร้องตะโกนว่า “นายท่าน ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย…”
เสียงตะโกนยังไม่ทันจางหาย
วูบ!
ปรากฏลำแสงกระบี่พุ่งออกมาจากพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งอยู่ห่างจากกระโจมที่พักออกไปไม่ไกล
ลำแสงกระบี่พุ่งเข้ามาหาเจียงจี้หลิว
เด็กหนุ่มเจ้าของฉายามือกระบี่พันหน้ามีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปทันที
เขาสะบัดหัวไหล่อย่างต่อเนื่อง
แขนเสื้อของเขาที่ม้วนพันด้ามจับกระบี่ควบคุมอาวุธคู่กายหันไปปัดป้องลำแสงที่พุ่งเข้ามา
เจียงจี้หลิวระเบิดพลังลมปราณเต็มอัตรา
ประกายไฟสาดกระจายในอากาศ
นี่คือการปะทะกันของยอดฝีมือที่มีพลังห่างชั้นกันมากเกินไป
แคว่ก!
แขนเสื้อฉีกขาดแล้ว
กระบี่ยาวของเจียงจี้หลิวหลุดลอยออกไปปักเข้ากับซอกหินที่อยู่ห่างไปสิบวา มันปักลึกจนเหลือเพียงด้ามกระบี่โผล่พ้นซอกหินออกมาเท่านั้น
เจียงจี้หลิวถึงกับต้องล่าถอย
บนแก้มของเขาเกิดบาดแผลจากคมกระบี่ เลือดสีแดงสดไหลหยดลงมาตามข้างแก้มอย่างแช่มช้า
ตรงหน้าของหยิงอู๋จีในขณะนี้ ไม่รู้เลยว่าชายวัยกลางคนผู้สวมใส่มงกุฎอยู่บนศีรษะมาปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายชายผู้นี้แข็งแกร่งมาก
ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่กำลังหิวโหย
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นอันตราย
นี่คือเจียงฟาน องครักษ์ลำดับที่สามประจำตัวเว่ยหมิงเฉิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าอยากทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าหล่อๆ ของเจ้ามานานแล้ว แต่น่าเสียดายที่จูปี้ฉีคอยปกป้องเจ้าอยู่ตลอดเวลา ทว่า บัดนี้จูปี้ฉีได้ถึงแก่ความตาย ไม่มีใครคอยปกป้องคุ้มครองเจ้าอีกต่อไป ในที่สุด ความปรารถนาของข้าก็เป็นจริงเสียที”
เจียงฟานยิ้มมุมปากด้วยความวิปริต
เจียงจี้หลิวถามว่า “ทำไมท่านต้องปกป้องคนเลวเช่นนี้ด้วย?”
เจียงฟานตอบว่า “คนเลวเช่นนี้คือคนเลวเช่นไหน… หึหึ ข้ารู้เพียงแต่ว่าหยิงอู๋จีทำงานให้แก่นายท่าน ดังนั้น เจ้าจะทำอันตรายเขาไม่ได้เด็ดขาด”
เจียงจี้หลิวถอนหายใจ “แล้วถ้าข้าจะทำล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นศัตรูของนายท่านโดยทันที”
เจียงฟานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กระบี่ของข้ามีไว้เพื่อสังหารศัตรูของนายท่านเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนที่ข้ารู้จักหรือไม่ เมื่อมันเป็นศัตรูกับนายท่าน มันก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น”
เจียงจี้หลิวพยายามสะกดอารมณ์โกรธแค้นในจิตใจ “แต่ถ้านายท่านเว่ยหมิงเฉินกำลังหลงผิด ก็ต้องมีใครสักคนคอยเตือนนายท่านนะขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า.. .”
เจียงฟานหัวเราะออกมาแผ่วเบา ดวงตาเป็นประกายเหยียดหยาม พูดว่า “คำพูดนี้ของเจ้า มีโทษเพียงพอที่เจ้าจะต้องลงนรกแล้ว นายท่านไม่เคยหลงผิด นายท่านเป็นเทพเจ้าที่อยู่ในร่างมนุษย์ต่างหาก ส่วนพวกคนที่หลงผิดน่ะ คือคนที่เป็นศัตรูกับนายท่านต่างหาก”
เจียงจี้หลิวถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า “ข้าคงคาดหวังในตัวท่านมากเกินไปสินะ”
ความโดดเดี่ยวและเศร้าซึมบนสีหน้าของเด็กหนุ่มยิ่งมายิ่งชัดเจนมากขึ้น “นายท่านก็เป็นคนแบบท่านนี่แหละ เคยชินอยู่แต่กับคำยกยอปอปั้น เมื่อตนเองทำผิด จึงไม่มีทางรู้ตัว”
เจียงฟานคำรามว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ อย่างนั้นก็ตายซะเถอะ”
พูดจบแล้ว กระบี่ในมือของเขาก็แทงปราดออกมาข้างหน้าอีกครั้ง
กระบี่นี้มีความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มีแสงสว่างเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง แสงสว่างของมันราวกับมีดวงตะวันขนาดย่อมปรากฏขึ้นในกระโจมของหยิงอู๋จีก็ไม่ปาน
“ปัดโธ่เอ๋ย…”
อู๋เฟิ่งกูที่ตอนแรกมีความหวังว่าจะรอดชีวิต บัดนี้กลับความหวังพังทลายลงไปอีกครั้ง
การโจมตีที่หนักหน่วงรุนแรงเช่นนี้ จะมีใครสามารถต้านทานได้บ้าง?
อู๋เฟิ่งกูไม่อยากพบกับความผิดหวังอีกต่อไปแล้ว
เจียงจี้หลิวสูดหายใจลึก
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเองอาจจะต้องจบชีวิตลงที่เหมืองแร่หินแห่งนี้
แต่ในจังหวะนั้น…
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาท
เป็นเสียงที่คุ้นหู
หัวใจของเจียงจี้หลิวกระตุกวูบ
หัวไหล่ข้างหนึ่งของเจียงฟานระเบิดกลายเป็นม่านหมอกเลือด
เศษเลือด เศษเนื้อและเศษกระดูกจากหัวไหล่ของมือกระบี่เหินหาวพลันสาดกระจายในอากาศ
“หลินเป่ยเฉิน!”
เจียงฟานแผดเสียงคำรามในขณะที่ตัวคนซวนเซไปด้านหลัง
นับเป็นการโจมตีที่ทรงพลังเหลือเกิน
อย่าว่าแต่เจียงจี้หลิวจะตกตะลึง แม้แต่ตัวของเจียงฟานก็ยังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
กระบวนท่าเดียวก็สามารถทำให้แขนขาดได้ทั้งข้าง
มีแต่เพียงหลินเป่ยเฉินผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำเรื่องราวเช่นนี้ได้
บัดนี้ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเขียวเดินออกมาจากพุ่มไม้ที่ตั้งอยู่ข้างกระโจม คิ้วของเขาเลิกขึ้นสูงระหว่างที่เสแสร้งแกล้งพูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ขอโทษที พอดีมือลั่นไปหน่อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”