ตอนที่ 487 ครั้งนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย
เดี๋ยวก่อนนะ
ก่อนอื่นต้องสงบสติอารมณ์ก่อน
เขาจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้
เดี๋ยวเทพีกระบี่หิมะไร้นามจะหายหัวไปอีก
ในวันนี้ หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน ความฝันของเขาก็กลายเป็นจริงเสียที…
เฮ้อ
ว่าแต่นางติดต่อมาทำไมนะ?
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและส่งข้อความตอบกลับไปว่า “ข้าส่งข้อความไปหาท่านตั้งหลายครั้ง พยายามติดต่อตั้งหลายหน แต่ท่านนั่นแหละที่ไม่ยอมตอบข้อความข้าเลย แล้วเช่นนี้จะหาว่าข้าเมินเฉยต่อท่านได้อย่างไร?”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามพิมพ์ข้อความตอบกลับมา “เจ้าเด็กมารดาไม่สั่งสอน รู้หรือไม่ว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พี่สาวคนนี้ต้องเผชิญความเดือดร้อนมากมายขนาดไหน คนเลวพวกนั้นเกือบจะทำลายโฉมหน้าที่สวยงามของข้าเสียแล้ว… บัดนี้ เป็นช่วงพักการต่อสู้เล็กน้อย ข้าถึงได้มีเวลาติดต่อมาหาเจ้านี่แหละ”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินพิมพ์ถามไปว่า “นี่ท่านโดนตามล่าอีกแล้วหรือ?”
ความรู้สึกที่ไม่เป็นมงคลผุดขึ้นมาในใจของเด็กหนุ่ม
“อย่าบอกนะว่าเทพีกระบี่ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย?”
หลินเป่ยเฉินรีบส่งข้อความออกไปเพื่อยืนยันข้อสงสัยของตนเอง
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “สมแล้วที่เจ้าเป็นน้องชายผู้หล่อเหลา ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้าคิดนั่นแล”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาทันทีตอนที่พิมพ์ข้อความถามต่อไป “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามพิมพ์ข้อความอธิบายเร็วจี๋ “ไม่นานมานี้ ดินแดนทวยเทพเกิดสงครามระหว่างหมู่เทพขึ้นเล็กน้อย ปรากฏว่าพวกเทพวิหคยกกองทัพมาโจมตีเทพีกระบี่น่ะสิ ทำเอาเกิดความเสียหายไปทั่วทั้งเมืองเลยนะ เทพีกระบี่ออกไปต่อสู้กับกองทัพของเทพวิหค การต่อสู้เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตั้งแต่เย็นจรดเท้า บัดนี้ เทพเจ้าในเมืองของข้าส่วนใหญ่เข้ามาซ่อนตัวอยู่ในวิหารของเทพีกระบี่หมดแล้ว เพราะไม่ว่าใครอยู่ด้านนอก เป็นต้องถูกพวกเทพวิหคสังหารหมดสิ้น…”
ว่าแล้วไงล่ะ!
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นข้อความดังนั้น หัวใจของเขาก็กระตุกวูบ
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมเว่ยหมิงเฉินถึงกล้าออกอาละวาดโดยไม่เกรงกลัวเทพเจ้าขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะว่าตัวของเทพีกระบี่เอง ก็กำลังต้องรับศึกหนักอยู่บนดินแดนแห่งเทพเช่นกัน
สถานการณ์ชักไม่สู้ดีแล้วสิ
ขนาดตัวเองยังดูแลแทบไม่ได้ แล้วเทพีกระบี่จะมาดูแลพวกเขาได้อย่างไร
คงต้องหาทางหนีทีไล่ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วสินะ
“การต่อสู้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินส่งข้อความถามกลับไปอีกครั้ง
“วิหารเทพีกระบี่ถูกล้อมไว้หมดแล้ว ทุกคนติดอยู่ด้านใน สถานการณ์ย่ำแย่สุดขีด”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาด้วยความหมดหวัง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด
เทพเจ้าพวกนี้พึ่งพาไม่ค่อยได้จริงๆ แฮะ
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจเรียบเรียงเรื่องราวสถานการณ์ของตนเอง ส่งข้อความแจ้งให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามรับทราบว่าวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งกำลังจะถูกตรวจสอบในไม่ช้า
“หากเทพีกระบี่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ วิหารเมืองหยุนเมิ่งคงต้องถึงคราวล่มสลายเป็นแน่แท้”
“และถ้าวิหารเมืองหยุนเมิ่งต้องล่มสลาย มันก็จะเกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ลามไปถึงวิหารในเมืองอื่นๆ ด้วยเช่นกัน สุดท้ายแล้ว จำนวนผู้ศรัทธาในตัวของเทพีกระบี่ก็จะต้องลดลงทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ และดีไม่ดี ก็อาจจะมีเทพเจ้าองค์ใหม่มาแทนที่เทพีกระบี่ก็เป็นได้”
หลินเป่ยเฉินพยายามเน้นย้ำถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในปัจจุบัน
เทพีกระบี่หิมะไร้นามไม่ตอบคำใดอยู่นานสองนาน
“เดี๋ยวข้าจะรายงานให้เทพีกระบี่รับทราบก่อนแล้วกัน”
หลังนิ่งเงียบไปพักใหญ่ เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ส่งข้อความตอบกลับมาในที่สุด
…
ณ ดินแดนทวยเทพ แสงยามพระอาทิตย์ตกดินมีสีเหมือนโลหิต
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืน
ผนังของวิหารด้านหนึ่งพังทลาย แต่โชคดีที่ค่ายอาคมยังคงอยู่ พื้นที่ด้านนอกจึงเต็มไปด้วยคราบเลือดและเศษกระบี่ที่แตกหักเป็นจำนวนมาก
กองทัพเทพวิหคยังคงรวมตัวอยู่ด้านนอก… พวกมันกำลังช่วยกันทำความสะอาดสนามรบ เก็บกวาดศพคนตาย
บัดนี้ วิหารของเทพีกระบี่หิมะไร้นามพังทลายลงไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงส่วนของใจกลางห้องนั่งเล่นเท่านั้นที่ยังคงมีกำแพงให้คุ้มกันลมฝน แต่สภาพของมันก็ไม่ต่างไปจากปะการังที่มีอายุนับหมื่นปี ซึ่งพร้อมที่จะพังถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ…
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินมาได้มากกว่า 10 วันแล้ว
กองทัพของกลุ่มเทพวิหคคิดว่าจะมายึดครองวิหารของเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้ง่ายๆ แต่พวกมันคิดผิด จึงทำให้ต้องสูญเสียกำลังพลไปหลายร้อยชีวิต
ในห้องนั่งเล่นบัดนี้
แสงอาทิตย์สีแดงเข้มสาดลงมาผ่านกระจกหน้าต่างที่เป็นลวดลายสวยงาม
สายลมที่พัดพาเข้ามาทำให้กลิ่นคาวเลือดตลบฟุ้งในอากาศ
ชุดเกราะราคาแพงที่สวมใส่แตกร้าว กระบี่ราคาแพงแตกหัก เทพีกระบี่หิมะไร้นามโยนกระบี่ทิ้งไว้ข้างกาย…
ตัวของนางชุ่มโชกด้วยโลหิต
บริเวณหัวไหล่ซ้าย ขาขวาและช่วงท้อง มีลูกธนูปักอยู่ตำแหน่งละหนึ่งดอก
นับว่าเทพเจ้ามือยิงธนูของกองทัพเทพวิหคมีความแม่นยำเป็นเลิศ ถึงขนาดยิงผ่านช่องว่างของชุดเกราะส่งลูกศรปักเข้าสู่ร่างกายของเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้สำเร็จ
นางดึงลูกธนูออกมาอย่างแช่มช้า
แต่ถึงแม้จะดึงลูกธนูออกมาแล้ว กว่าที่พลังจะฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม ก็ทำเอาเทพีกระบี่หิมะไร้นามต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
บัดนี้ ใบหน้าของนางซีดขาวปราศจากสีเลือด
หมวกทองคำที่นางเคยสวมใส่มีลูกศรปักอยู่เต็มไปหมด เทพีกระบี่หิมะไร้นามถอดหมวกออกวางไว้บนโซฟาข้างตัว จากนั้น นางจึงรวบผมที่เปื้อนโลหิตไปไว้ข้างหลัง ก่อนจะตอบข้อความของหลินเป่ยเฉิน
“ถ้าเป็นอย่างนี้ หมายความว่านอกจากเราต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว เราก็ต้องช่วยเหลือน้องชายไปพร้อมๆ กันเลยน่ะสิ?”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามยกมือขยี้ตาด้วยความอ่อนเพลีย “เฮ้อ เหนื่อยจังเลยน้า คิดแล้วก็ปวดหัว”
หลังจากนั้น เทพีฝึกหัดก็เหยียดแขนบิดขี้เกียจ
เส้นผมที่รวบไปไว้ข้างหลังแผ่สยายลงมาถึงช่วงเอวราวกับเป็นน้ำตกสีเลือด
เทพีกระบี่หิมะไร้นามเอื้อมมือไปหยิบไหสุราใบสุดท้ายมาเปิดดื่มรวดเดียวหมด ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากลำคอไหลเวียนไปทั่วร่างกาย และภายใต้การใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์ ความเจ็บปวดจากบาดแผลทั้งหลายเหล่านั้นก็หายวับไปในพริบตา
นางไม่เคยอยู่ในสภาพนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่ากลับต้องมาพบเจอสถานการณ์เดิมอีกครั้ง
เสียดายที่พลังของนางไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเก่าก่อน หากเป็นเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เทพีกระบี่หิมะไร้นามมั่นใจว่าตนเองย่อมสามารถกำจัดกองทัพของพวกเทพวิหคได้ในพริบตาเดียว
เทพีกระบี่หิมะไร้นามถอนหายใจ ก่อนจะหันไปเล่นจักจี้กับสุนัข นกและแมวที่เข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกาย
ก่อนหน้านี้ นางตั้งใจปิดพลังลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของพวกมัน เพราะอยากจะเก็บเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงประจำตัว แต่บัดนี้นางปลดปล่อยพลังของพวกมันกลับคืนไปอีกครั้งพร้อมกับพูดยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้ารีบหนีไปก่อนเถอะ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป มีหวังได้ถูกฝังอยู่ที่นี่พร้อมกับข้าแน่ แต่ระวังอย่าให้ถูกพวกเทพวิหคข้างนอกมันจับได้เชียวนะ ไม่งั้นโดนจับไปต้มกินกับน้ำซุปแน่นอน…”
แต่เจ้านก เจ้าหมาและเจ้าแมวกลับไม่ได้หลบหนีไปทันทีเหมือนที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามคิดเอาไว้ มิหนำซ้ำ พวกมันยังขยับเข้ามาใกล้นางมากขึ้นอีกด้วย
เจ้านกบินมาเกาะอยู่บนหัวไหล่ เจ้าหมากระโดดมายืนอยู่เบื้องหน้าและส่งเสียงเห่าไปยังประตูทางเข้าห้องนั่งเล่น ส่วนเจ้าแมวก็กระโดดขึ้นมาเกาะอยู่บนแขนพร้อมทั้งส่งเสียงดังแง้วๆ
ครืด!
โทรศัพท์มือถือของเทพีกระบี่หิมะไร้นามพลันสั่นครืดคราด
เป็นหลินเป่ยเฉินส่งข้อความใหม่มาสอบถามว่า “เทพีกระบี่ตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้าง?”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามเห็นข้อความนั้นก็ยิ้มมุมปากทันที
…
“นางบอกว่าเพื่อเห็นแก่หน้าเจ้า ก็จะยอมช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้าย”
นี่คือข้อความตอบกลับจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความดีใจและพิมพ์ต่อ “ประเสริฐ วันพรุ่งนี้ก็จะถึงกำหนดการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าแล้ว ไม่ทราบว่าถ้าจะให้เทพีกระบี่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? ประมาณสามแสนเหรียญทองคำพอหรือไม่? หรือถูกกว่านั้นได้หรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรเสีย พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น…”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความตอบกลับมาแทบจะในทันทีว่า “ครั้งนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความเหลือเชื่อ ส่งข้อความกลับไปว่า “ไม่มีค่าใช้จ่ายจริงสิ? ศิลาบูชาก็ไม่เอาหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน ขอบอกไว้ก่อนนะว่าพูดแล้วห้ามคืนคำ จะมาเล่นลิ้นกันทีหลังไม่ได้นะขอรับพี่สาว”
“แม้แต่ศิลาบูชาท่านเทพีก็ไม่ต้องการ”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมารวดเร็วจนผิดปกติ
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
เขาพยายามถามย้ำต่อไปว่า “แล้วนางต้องการสิ่งใด? ความบริสุทธิ์ของข้าอย่างนั้นหรือ? มากเกินไปหน่อยไหม ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าไม่มีทางที่จะ…”
“เฮอะ”
ข้อความจากเทพีกระบี่หิมะไร้นามถูกส่งกลับมาอีกครั้ง “น้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ไม่ทราบ… เทพีกระบี่กำลังมีสถานการณ์ไม่สู้ดี หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เกรงว่านางคงต้องหลบซ่อนตัวเพื่อพักฟื้นเป็นระยะเวลายาวนาน ข้าเองก็จะติดตามนางไปด้วยเช่นกัน นี่คือการช่วยเหลือครั้งสุดท้ายระหว่างพวกเรา… แล้วจะให้ข้าทำตัวใจจืดใจดำเก็บเงินจากเจ้าได้อย่างไร?”
“เฮ้ย?”
หลินเป่ยเฉินนึกว่าตนเองตาฝาด
เขาต้องยกมือขยี้ตาและอ่านทวนข้อความดูอีกหลายครั้ง
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตาฝาด
การที่เทพีกระบี่ผู้มีสถานะสูงส่งจะไม่รับเงินของเขานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามไม่ยอมคิดค่านายหน้านี่สิที่เป็นเรื่องแปลกของจริง แล้วอยู่ดีๆ ทำไมนางถึงกลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้นะ?
ในอดีต ตอนที่เขาจ่ายเงินค่าดำเนินการ 300,000 เหรียญทองคำเมื่อครั้งนั้น หลินเป่ยเฉินไม่มีทางรู้เลยว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามแอบเก็บเงินเอาไว้เองเท่าไหร่กันแน่
แต่นี่คือคำพูดที่เทพีกระบี่บอกมาเองไม่ใช่หรือ?
เทพีกระบี่หิมะไร้นามคงไม่ได้พูดเองเออเองหรอกใช่ไหม?
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินได้แต่จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความสับสน