บทที่ 49 ดัชนีสะบั้นฟ้า
ที่แท้ก็เป็นอู๋เสี่ยวฟางที่เดินนำกลุ่มศิษย์ต่างสถาบันเข้ามาหาเรื่องเขานั่นเอง !
อู๋เสี่ยวฟางพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “หลินเป่ยเฉิน ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าตัวเองนั้นห่วยแตก”
ไอ้หมอนี่อีกแล้วเหรอเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินนึกฉุนขึ้นมาทันที
คราวนี้เขาตัดสินใจว่าจะปล่อยผ่านไปไม่ได้อีกแล้ว
อู๋เสี่ยวฟางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เด็กหนุ่มผมสั้นหน้าเหลี่ยมที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็ยกมือขึ้นให้อู๋เสี่ยวฟางหลีกทางไป หลังจากนั้น ตนเองก็เดินออกมาข้างหน้า กวาดสายตามองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้า และพยายามพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าคือหลินเป่ยเฉินใช่หรือไม่? ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เข้ามาเป็นผู้ติดตามของข้า”
ใครอีกวะเนี่ย?
“เจ้าเป็นใคร?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความมึนงง
เพียงเจอหน้ากันครั้งแรก เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยมคนนี้ก็ประพฤติตัวไม่ต่างจากตอนที่อู๋เสี่ยวฟางพบเจอหลินเป่ยเฉินครั้งแรกเช่นกัน
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเจ้าสองคนนี้ถึงกลายเป็นเพื่อนกันได้รวดเร็วนัก
“ข้ามีนามว่าเถาว่านเฉิง” เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยมตอบ
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินจำชื่อนี้ได้ในทันใด
เถาว่านเฉิงเป็นศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง รั้งตำแหน่งอันดับ 2 เป็นรองก็แต่เพียงหลิงเฉินเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าไอ้เจ้าอู๋เสี่ยวฟางจะสามารถไปตีสนิทกับผู้มีอันดับสูงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
หลินเป่ยเฉินพลันเกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาแล้ว “ให้ติดตามเจ้าเนี่ยนะ? แต่พอดีว่าข้ามีเรื่องบาดหมางกับอู๋เสี่ยวฟางมานานแล้ว เจ้าช่วยไล่มันออกจากกลุ่มก่อนได้หรือไม่?”
เถาว่านเฉิงแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “นี่เจ้ากล้าต่อรองกับข้าเชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกผ้าขึ้นมาเช็ดเศษอาหารที่ริมฝีปาก ก่อนตอบว่า “ใช่ จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“ฮึ มีคนไม่มากนักที่กล้าต่อรองกับข้า” เถาว่านเฉิงเชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งยโส “แต่อันดับสิบสอง อย่างเจ้าย่อมมีสิทธิ์ต่อรอง ข้าเอ็นดูในความกล้าหาญ จะประนีประนอมให้ก็แล้วกัน เอาเป็นว่าถ้าเจ้ามาติดตามข้า ข้าก็จะไล่อู๋เสี่ยวฟางออกจากกลุ่มไปทันที”
“พี่เถา เดี๋ยวก่อนสิขอรับ…”
อู๋เสี่ยวฟางละล่ำละลักด้วยความร้อนใจ
เถาว่านเฉิงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้อู๋เสี่ยวฟางเงียบเสียง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าคู่ปรับตัวฉกาจก็หัวเราะตัวโยนอยู่ตรงนั้น “อู๋เสี่ยวฟาง เจ้าเห็นหรือยัง? เสียใจหรือไม่? โมโหหรือเปล่า? เพื่อจะคว้าความยิ่งใหญ่มาประดับตัว เจ้าต้องเริ่มที่การพัฒนาฝีมือตัวเองสิ แต่ในสายตาเจ้านายคนใหม่ของเจ้าแล้วนั้น เฮ้อ เจ้ามันมีค่าน้อยกว่าสุนัขข้างถนนเสียอีก ข้าล่ะเวทนาเจ้าเหลือเกิน”
อู๋เสี่ยวฟางโกรธแค้นจนหน้าดำหน้าแดง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เถาว่านเฉิงพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า “ตกลงเจ้าจะยอมมาเป็นผู้ติดตามข้าหรือไม่?”
“ไม่” หลินเป่ยเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ข้าลองทบทวนดูแล้ว ขอปฏิเสธดีกว่า”
“เจ้า…”
เถาว่านเฉิงเดือดดาลจนใบหน้ากระตุก “เจ้าอยากมีเรื่องกับข้าใช่ไหม?”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดริมฝีปาก ถากถางกลับไปว่า “ถ้ามีแล้วจะทำไม? คิดว่าเจ้ามีตำแหน่งอันดับสอง แล้วข้าจะกลัวหรือ?…ในเมื่อเจ้ากล้ามาเสนอหน้าหาข้าเอง ทำไมข้าจะมีเรื่องกับเจ้าไม่ได้?”
“หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันร้ายกาจเกินไปแล้ว กล้าพูดจาเช่นนี้กับพี่เถาได้อย่างไร?”
ดูจากภายนอก อู๋เสี่ยวฟางเหมือนจะตวาดด่าด้วยความโมโห แต่ในใจจริงแล้ว เขาเองก็สะใจอยู่ไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เป็นคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ทำไมเจ้าถึงชอบเป็นสุนัขรับใช้คนอื่นอย่างนี้กัน?”
เหตุการณ์นี้ผิดไปจากที่ทุกคนคาดคิดมากมาย เพราะจากประวัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามกล้ามีเรื่องกับศิษย์ต่างสถาบันมาก่อน
“เจ้ามันกำแหงมากเกินไปแล้ว” เถาว่านเฉิงพูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น “ในเมื่อเจ้าเลือกทำตัวหยาบคายเช่นนี้ เจ้าก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา”
พูดจบ เขาก็ยกมือชี้นิ้วใส่บริเวณหว่างคิ้วของหลินเป่ยเฉิน
มวลพลังงานสสารลึกลับพลันพุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือของเถาว่านเฉิงในพริบตา
มวลอากาศปั่นป่วน ก่อเกิดเป็นเกลียวคลื่นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
นี่คือวิชาการต่อสู้ด้วยนิ้วมือระดับห้าดาว
แต่หลินเป่ยเฉินเองก็เตรียมตัวรอรับการโจมตีอยู่แล้ว
วูบ!
กระบี่ถูกชักออกจากฝักและตวัดออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วไว
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเถาว่านเฉิง ก่อนที่เขาจะงอนิ้วโป้งมาจรดกับปลายนิ้วชี้ เตรียมตัวดีดพลังงานโจมตีกระบวนท่าต่อไป
เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยมบิดข้อมือเล็กน้อย
แล้วเขาก็ดีดนิ้วโป้งอย่างแรง
เคล้ง!
นั่นคือเสียงปลายนิ้วของเขาปะทะกับคมกระบี่อย่างจัง
ชวิ้งงง!
กระบี่ในมือหลินเป่ยเฉินถึงกับสั่นไหวส่งเสียงแหลมสูงแหวกอากาศ
การโจมตีของหลินเป่ยเฉินไม่สัมฤทธิผล
นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังรู้สึกได้ถึงพลังลมปราณสายหนึ่งไหลทะลักผ่านตัวกระบี่พุ่งเข้าสู่ข้อมือของเขา
ในเวลาเดียวกันนี้ ระดับพลังปราณที่ถูกปล่อยออกมา ก็ทำให้มวลอากาศรอบกายเด็กหนุ่มทั้งสองคนปั่นป่วนจนกลายเป็นเหมือนพายุหมุนขนาดย่อม
“ยังถือกระบี่ไหวอีกหรือ?” เถาว่านเฉิงยิ้มเย้ยหยัน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกมือชาไปหมดแล้ว
แรงกระแทกจากพลังงานลึกลับเมื่อสักครู่นี้ เหมือนจะทำให้ข้อมือเขาหักอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ก่อนที่สมองของหลินเป่ยเฉินจะทันได้มีปฏิกิริยาตอบรับ เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงมวลพลังงานอีกสายหนึ่งไหลรินทั่วแขนของตนเอง ขับไล่มวลพลังของฝ่ายตรงข้ามที่ตกค้างอยู่ในร่างกายเขาไปหมดสิ้น
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เด็กหนุ่มเข้าใจโดยทันทีว่านี่คือผลลัพธ์จากการที่เขาฝึกวิชากระบี่เร้นกาย
แต่ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะได้ลงมือตีโต้กลับ คนผู้หนึ่งก็วางมือลงบนไหล่ของเขา แล้วกระแสลมปราณร้อนอุ่นก็ไหลผ่านช่วงหัวไหล่เข้ามา รักษาอาการบาดเจ็บที่แขนจนหายสนิท
เจ้าของมือข้างนั้นคือติงซานฉือ ตัวแทนอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามนั่นเอง
“พ่อหนุ่ม นี่เป็นการประลองฝีมือธรรมดา ไม่เห็นต้องทำรุนแรงถึงเพียงนี้”
ติงซานฉือถลึงตาจ้องมองเถาว่านเฉิงด้วยสายตาเย็นชา
อาจารย์ชรามีสายตาเฉียบแหลม ย่อมดูออกว่าอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวงตั้งใจลงมืออย่างอำมหิต หวังทำให้หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บ กระบวนท่าที่เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยมใช้งานเมื่อสักครู่นี้เรียกว่าดัชนีสะบั้นฟ้า เพียงแค่ดีดนิ้วใส่กระบี่ในมือของหลินเป่ยเฉิน ก็สามารถทำให้ฝ่ายหลังได้รับบาดเจ็บที่แขน ถ้าเกิดข้อมือหักขึ้นมา ก็คงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกนาน และนั่นหมายความว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่สามารถใช้กระบี่ได้อีกเลยตลอดการแข่งขันทั้ง 10 วันหลังจากนี้
นับว่าเถาว่านเฉิงเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนัก
“โธ่เอ๊ย อาจารย์ติงท่านก็พูดเกินไป เราเพียงอยากศึกษาฝีมือของกันและกันเท่านั้นเอง” เถาว่านเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน
“เพียงอยากศึกษาฝีมือ ถึงกับต้องรุนแรงกับหลินเป่ยเฉินขนาดนี้เชียวหรือ?” ติงซานฉือพูดเสียงห้วน
เถาว่านเฉิงยังคงยิ้มแย้มต่อไป แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมาแฝงความเหยียดหยามเอาไว้อยู่หลายส่วน “เมื่อสักครู่นี้ข้าโจมตีอย่างเบามือแล้ว ไม่คิดเลยว่าศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามจะอ่อนแอถึงเพียงนี้”
พูดจบ เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยมก็หันกลับมาจ้องหน้าหลินเป่ยเฉิน แล้วกล่าวว่า “เจ้าชนะการสอบกลางภาคจากสถานศึกษากระบี่ที่สามได้ด้วยการหลบอยู่หลังอาจารย์หรือไง? ทำตัวเป็นเด็กน้อยยังไม่หย่านมมารดาไปได้ เหอๆ ข้าได้ยินคำร่ำลือว่าเจ้าสอบได้คะแนนเต็มวิชาประวัติศาสตร์และยังเป็นหนึ่งในเรื่องของกระบี่ แต่เมื่อได้มาพบตัวจริง…เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือ ก็อย่างที่โบราณได้กล่าวเอาไว้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่ากับได้เอานิ้วดีดเจ้าด้วยตัวเองจริงๆ”
ติงซานฉือลอบอุทานในใจว่า “แย่แล้ว!”
หลินเป่ยเฉินเป็นทายาทนักรบสวรรค์ จะสามารถทนทานการเย้ยหยันจากเถาว่านเฉิงได้อย่างไร
เด็กหนุ่มอาจจะตกหลุมพรางฝ่ายตรงข้ามเพราะความขาดสติก็เป็นได้
อาจารย์ชรากำลังจะล็อกตัวหลินเป่ยเฉินเอาไว้
แต่ในทันใดนั้น…
“เถาว่านเฉิง เจ้าหาเรื่องรังแกผู้คนอีกแล้วหรือ? ไม่มีศิษย์ของสถานศึกษากระบี่หลวงคนใด ทำตัวน่าขายหน้าเท่ากับเจ้าอีกแล้ว”
น้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกของใครคนหนึ่งดังกังวานทั่วบริเวณ
เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมหน้าตาดี ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้าน ผมดำยาวหยักศกเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า มีกลุ่มเด็กหนุ่มเดินตามหลังเป็นขบวน
เด็กหนุ่มหน้าขาวมองอู๋เสี่ยวฟางเพียงหางตา ก็หันหน้ากลับมาส่งยิ้มให้เถาว่านเฉิง “ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เวลาจะคัดเลือกบริวารก็เอาที่มันเป็นผู้เป็นคนหน่อย ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ในเมื่อเจ้าได้รับการเคารพยกย่องจากคนในสถาบันจำนวนไม่น้อย แล้วทำไมถึงได้เลือกเอาแต่เศษสวะมาเป็นผู้ติดตามอย่างนี้เล่า?”