ตอนที่ 492 ใครจะเป็นคนออกไปสู้
ดวงตาของทุกคนจ้องมองไปยังบุคคลผู้นั้นเป็นจุดเดียว
ใบหน้าที่หล่อเหลา
ปราศจากราคี
บุคคลผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือคุณชายเหลียนซาน ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดในเมืองหยุนเมิ่ง
ในมืออีกข้างหนึ่งของเขากำลังชูแผ่นยันต์โบราณแผ่นหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ
การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าสามารถเกิดขึ้นได้ก็เพราะแผ่นยันต์โบราณแผ่นนี้
มันคือแผ่นยันต์สวรรค์
บนแผ่นยันต์ลงอักขระลวดลายโบราณที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือคนธรรมดา ต่างก็จ้องมองเห็นว่ามวลอากาศกำลังปั่นป่วนด้วยแผ่นยันต์ปริศนา คลื่นพลังลึกลับแผ่กระจายไปรอบทิศทาง เกิดเป็นแรงกดดัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องคุกเข่าลงไปกราบไหว้บูชา
หมายความว่านี่คือแผ่นยันต์สวรรค์อย่างแท้จริง
ไม่ใช่ของปลอม
และนี่คือแผ่นยันต์ที่ผู้เป็นสาวกแท้จริงของเทพีกระบี่เท่านั้นถึงจะมีอยู่ในครอบครอง
รัศมีและคลื่นพลังที่กำลังแผ่กระจายออกมาจากแผ่นยันต์ในขณะนี้ มีลักษณะเดียวกับรัศมีและคลื่นพลังที่ออกมาจากตัวของหลินเป่ยเฉินตอนที่เขาถูกวิญญาณของเทพีกระบี่เข้าสิงร่างระหว่างพิพากษาโทษประหารชีวิตของถังกู่จินกับบรรดาลูกสมุน
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินที่นั่งรับชมการถ่ายทอดสดอยู่ในวิหารบนยอดเขาก็ถึงกับตกตะลึงเลยทีเดียว
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินชักเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาแล้วว่า เทพีกระบี่บนดินแดนเทพอาจจะเอาตัวไม่รอด และส่งผลให้วิหารเมืองหยุนเมิ่งต้องพบจุดจบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นั่นหมายความว่าเทพเจ้าที่คอยหนุนหลังเว่ยหมิงเฉินมีอำนาจสูงส่งน่าหวาดกลัว
โดยเฉพาะการสร้างแผ่นยันต์ของปลอมที่เหมือนจริงได้ถึงขนาดนี้
ในวิหาร นักพรตหญิงชินและคนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
บรรดานักบวชสาวเองก็มีสีหน้าที่ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน
พวกนางไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน
ทุกคนทำได้เพียงรอคอย
ในที่สุด…
คุณชายเหลียนซานก็โบกสบัดแผ่นยันต์ในมือและเริ่มต้นบริกรรมคาถา ซึ่งเสียงบริกรรมคาถาของเขาก้องกังวานในอากาศ ฟังดูน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น แผ่นยันต์โบราณได้ยิงลำแสงขึ้นไปในกลุ่มก้อนเมฆดำบนฟากฟ้า และเกิดเป็นวังน้ำวนสีดำสนิทขึ้นมาหกจุด
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ลมหายใจต่อมา ท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามครืนครันอย่างต่อเนื่อง วังน้ำวนทั้ง 6 จุดยิงลำแสงลงมาตามจุดต่างๆ บนภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารเทพกระบี่ พื้นดินสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม มวลอากาศปั่นป่วนราวกับฟ้ากำลังจะถล่มแผ่นดินกำลังจะทลาย
กลุ่มคนจำนวนมากขวัญกระเจิงด้วยความตื่นตกใจ
ลำแสงจากวังน้ำวนบนท้องฟ้ายิงลงมายังถนนทั้งหกสายที่ทอดตรงขึ้นไปสู่วิหารบนยอดเขา
ลำแสงเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์เท่ากับเสาหินขนาดมหึมา
เมื่อลำแสงกระทบพื้นดิน ค่ายอาคมซึ่งเป็นพื้นที่สนามรบก็ถูกจัดสร้างขึ้นมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
ค่ายอาคมนี้มีความแข็งแกร่งในชนิดที่ว่า ต่อให้ผู้ฝึกยุทธ์มีพลังระดับเซียน ก็ยังไม่สามารถทำลายม่านพลังของมันออกมาได้
เมื่อเข้าไปอยู่ในค่ายอาคมเหล่านี้แล้ว ก็มีแต่ต้องตัดสินผลแพ้ชนะด้วยความตายให้สำเร็จก่อนเท่านั้น
ยังไม่ทันที่ทุกคนจะหายตกตะลึงไปกับสนามรบศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นในพริบตาเดียว
ในเวลาเดียวกันนั้น วังน้ำวนบนท้องฟ้าก็ขยายขนาดความกว้างขวางขึ้นมาอย่างช้าๆ
แล้วจอถ่ายทอดสดก็ยื่นลงมาจากวังน้ำวนเหล่านั้น
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น จอถ่ายทอดสดเหล่านี้ก็จะแสดงภาพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสนามรบด้านล่างประจำตำแหน่งของพวกมัน
และด้วยขนาดที่ใหญ่โตของจอถ่ายทอดสด ต่อให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลไปนับร้อยลี้ ก็ยังสามารถมองเห็นได้เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองบนท้องฟ้า
จังหวะนั้น ได้มีผู้ใช้ค่ายอาคมและนักเล่นแร่แปรธาตุจำนวนมากขึ้นไปติดตั้งกระจกถ่ายทอดสดอยู่รอบๆ วิหารเทพกระบี่บนยอดเขา ด้วยเหตุนี้ เมื่อการตรวจสอบวิหารเริ่มต้นขึ้น ผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิเป่ยไห่จึงสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน
“พวกเราจะขออัญเชิญตัวแทนทั้ง 6 ท่านในการต่อสู้ ณ บัดนี้…”
เสียงของคุณชายเหลียนซานดังกึกก้องผืนฟ้าสะท้านผืนดิน
หัวใจของทุกคนเต้นตึกตักด้วยความลุ้นระทึก
วูบ!
ปรากฏลำแสงพุ่งวาบออกมาจากตัวเมืองหยุนเมิ่งเหมือนดาวตก ลำแสงนี้มาพร้อมกับมวลพลังกดดันหนักหน่วงพร้อมบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ซึ่งใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ลำแสงปริศนาก็หายวับเข้าไปในพื้นที่ซึ่งเป็นสนามรบ ศักดิ์สิทธิ์จุดที่หนึ่ง
“นั่นใครกันน่ะ?”
“ตัวแทนจากฝ่ายตรวจสอบคนแรก มีพลังอย่างต่ำก็อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว…”
“แข็งแกร่งเหลือเกิน!”
บรรดามือกระบี่จากต่างถิ่นที่รับชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ อดอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
เพียงเปิดตัวผู้ต่อสู้คนแรก ก็เป็นมือกระบี่ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
นับว่าฝ่ายคุณชายเหลียนซานมีขุมกำลังน่ากลัวเหลือเกิน
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันที่ยืนอยู่หน้ากรงขนาดใหญ่ยักษ์แย้มยิ้มออกมา
ดีมาก
เป็นการคัดเลือกตัวแทนที่ประเสริฐ
งานฉลองกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้าแล้วสินะ
…
ในวิหาร
ทุกคนล้วนเห็นการปรากฏตัวของศัตรูผู้แข็งแกร่ง
พวกเขาสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนที่ลำแสงพุ่งเข้ามาจากตัวเมืองแล้วว่าอีกฝ่ายมีระดับพลังไม่ธรรมดา
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้านักพรตหญิงชิน ชำเลืองมองหน้าเยว่เว่ยหยาง แล้วก็หันไปมองหน้าติงซานฉือ ก่อนจะหันไปจ้องมององค์หญิงแห่งท้องทะเล…
“ใครจะเป็นตัวแทนพวกเราออกไปต่อสู้เป็นคนแรกขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินอดถามไม่ได้
นักพรตหญิงชินเป็นผู้วางแผนการทั้งหมด
จนถึงตอนนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่รู้เลยว่านางมีแผนการอย่างไรบ้าง อย่างน้อยในชั่วขณะนี้ เขาก็สมควรต้องรู้แล้วว่าใครจะเป็นคนแรกที่ออกไปต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
“เดี๋ยวข้าไปเอง”
ติงซานฉือเดินออกไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า
“อาจารย์กินข้าวเองให้ได้ก่อนเถอะขอรับ อย่าเพิ่งอวดเก่งไปหน่อยเลย…”
หลินเป่ยเฉินพูดความรู้สึกจากใจจริง เพราะเมื่อเช้านี้ อาจารย์ติงยังรับประทานข้าวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้แต่แรงหยิบจับตะเกียบก็ยังไม่มี แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปชักกระบี่ฆ่าฟันศัตรู?
ติงซานฉือยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ชายชราเดินลงไปจากยอดเขาด้วยฝีเท้ามั่นคง
แต่ละย่างก้าวที่เขาเดินไป ระดับพลังในร่างกายก็เพิ่มสูงมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ระดับพลังของติงซานฉือก็ฟื้นฟูขึ้นมาเต็มอัตรา มันแผ่กระจายไปรอบตัวเหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทร อาการบาดเจ็บทุกอย่างหายดีเป็นปลิดทิ้ง เสมือนกับว่าติงซานฉือเป็นคนละคนกับเมื่อเช้านี้ก็ไม่ปาน
หลินเป่ยเฉินตกตะลึง ยืนปากอ้าตาค้าง
อาจารย์ขอรับ ที่ผ่านมาท่านแสดงละครมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?
นี่ท่านกำลังเลียนแบบข้าอยู่ใช่หรือไม่?
น่าเจ็บใจจริงๆ
วูบ!
ติงซานฉือลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเหาะเหินเดินอากาศด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งตัวลงไปในค่ายอาคมของสนามรบจุดที่หนึ่งด้วยความมุ่งมั่น
“อาจารย์หญิงขอรับ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?” หลินเป่ยเฉินได้แต่หันมามองหน้าองค์หญิงแห่งท้องทะเล
อีกฝ่ายดูจะไม่ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงของติงซานฉือแม้แต่น้อย
“อาการบาดเจ็บของอาจารย์เจ้าหายดีตั้งนานแล้ว แต่เหตุผลที่แกล้งเจ็บมาหลายวันก็เพื่อหลอกล่อให้ศัตรูตายใจ” องค์หญิงแห่งท้องทะเลตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง
ให้ตายสิ เจ้าเล่ห์เหลือเกินนะ ตาเฒ่า
แม้แต่องค์หญิงแห่งท้องทะเลก็เห็นดีเห็นงามไปกับการแสดงครั้งนี้ด้วย
แต่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือไง
ถ้าตั้งใจจะหลอกล่อให้พวกศัตรูตายใจ
ก็ไม่เห็นต้องหลอกลวงพวกเดียวกันเองเลยนี่นา?
หึหึ
พวกผู้ใหญ่นี่เชื่อใจไม่ได้เลยจริงๆ
หรือมันจะมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้น?
อาจารย์ติงเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์ในโลกยุทธภพมาอย่างโชกโชน เขาย่อมรู้ดีว่ามีสิ่งใดที่ควรพึงระวังยามสถานการณ์คับขัน และเมื่อรวมเข้ากับองค์หญิงแห่งท้องทะเลที่มีฐานะสูงส่ง การแสดงละครตบตาในครั้งนี้ คงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่นสนุกอย่างแน่นอน
“หรือพวกท่านสงสัยว่าจะมีคนของฝ่ายตรงข้ามแอบแฝงตัวเข้ามาในวิหารเทพกระบี่ขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินตั้งใจถามองค์หญิงแห่งท้องทะเลอย่างตรงไปตรงมา
เฒ่าทะเลตอบรับเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงชอบพูดจาไร้สาระนักนะ? เจ้ารู้ความหมายของคำว่าศรัทธาและเชื่อมั่นบ้างหรือไม่?”
ในระหว่างที่พูดมาถึงตรงนี้…
เปรี้ยง!
เสียงคลื่นพลังระเบิดก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า
โฉมหน้าของคู่ต่อสู้ที่ติงซานฉือจะต้องพบเจอได้ปรากฏขึ้นบนจอถ่ายทอดสดแล้ว
“เป็นมันผู้นี้ไปได้อย่างไร?”
พลัน เฒ่าทะเลมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในพริบตานั้น
“เขาเป็นใครหรือขอรับ? หรือว่าท่านผู้เฒ่ารู้จักเขาเป็นการส่วนตัว?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
เฒ่าทะเลพยักหน้าตอบรับ “ครั้งนี้นับว่าอาจารย์ของเจ้าเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเข้าให้แล้ว เจ้าเตรียมใจไว้หน่อยก็ดีนะ หลังจบการต่อสู้ครั้งนี้ อาจารย์ของเจ้าอาจได้รับบาดเจ็บหนักถึงขั้นเสียชีวิตก็เป็นได้”
“เฮอะ” หลินเป่ยเฉินพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความไม่พอใจ “พูดกับท่าน ข้าเอาเวลาไปพูดกับแมวน้ำดีกว่า”
เฒ่าทะเลหัวเราะด้วยความชอบใจ หลังจากนั้น ไม่รู้เลยว่าชายชราใช้วิธีการใด ฟันสองซี่ในปากของเขากลับงอกยาวออกมาเหมือนงาสีขาวขนาดเล็ก และพูดว่า “เจ้าหมายถึงแมวน้ำเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ “นี่ท่านเป็นแมวน้ำหรือขอรับ?”
เฒ่าทะเลพยักหน้า “ถูกต้อง”
เดี๋ยวก่อนนะ
หมายความว่าเฒ่าทะเลผู้มีระดับพลังสูงส่ง ตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นมนุษย์แมวน้ำอย่างนั้นหรือ?
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
องค์หญิงแห่งท้องทะเลกล่าวเสริมว่า “เฒ่าทะเลท่านนี้ มีตำแหน่งเป็นแมวน้ำหลวงแห่งวังหลวงในโลกใต้บาดาล”
แมวน้ำหลวงแห่งวังหลวง?
เหมือนแมวหลวงแห่งวังหลวงอย่างพวกจั่นเจาหรือเปล่านะ?
หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ
เขาไม่เคยพบเจอเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้ ในค่ายอาคมของสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สอง คุณชายเหลียนซานก็ได้เปิดตัวผู้ที่เป็นตัวแทนคนที่สองของฝ่ายตนเองเรียบร้อยแล้ว
กระบี่เหินหาว เจียงฟาน
เรียกว่าเป็นคนคุ้นเคยกันก็ว่าได้
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้านักพรตหญิงชิน
คราวนี้ใครจะเป็นคนออกไปสู้ล่ะ?