ตอนที่ 494 ห้าเทพมือกระบี่
การต่อสู้ในเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่หนึ่งและจุดที่สองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
นี่คือการต่อสู้ระดับยอดปรมาจารย์ ทุกการเคลื่อนไหวได้รับการฉายผ่านจอถ่ายทอดสดบนท้องฟ้า ยอดมือกระบี่จากต่างถิ่นและชาวเมืองนับหมื่นคนต่างก็พากันเงยหน้าจ้องมองด้วยความตื่นเต้น
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าเจียงฟานจะถึงกับกล้าลอบสังหารท่านเจ้าเมืองฉุย”
“นี่เท่ากับเขาทำผิดกฎหมายร้ายแรงของจักรวรรดิเลยนะ ไม่ทราบว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนกัน?”
“เหอเหอเหอ ผิดกฎหมายแล้วจะทำไม ฉุยเฮาเฟิงกลับออกหน้าต่อสู้แทนวิหารที่ถูกตรวจสอบ หากการตรวจสอบวันนี้สิ้นสุดลง โดยที่วิหารเมืองหยุนเมิ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฉุยเฮาเฟิงก็ต้องถูกนำตัวไปประหารอยู่ดี”
“นั่นสิ ต่อให้ฉุยเฮาเฟิงสามารถเอาชนะเจียงฟานได้สำเร็จ แต่ถ้าวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งไม่สามารถผ่านการตรวจสอบได้ การต่อสู้ของเขามันจะมีประโยชน์อันใด?”
“สุดท้ายเขาก็ต้องตายอยู่ดีสินะ”
มือกระบี่จากต่างถิ่นจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างครื้นเครง
บนถนนที่ทอดนำขึ้นสู่ยอดเขา
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันยิ้มออกมาด้วยความอำมหิต
ชายฉกรรจ์ในชุดสีเทารีบนำเก้าอี้มาจัดวางให้ท่านอ๋องได้นั่งรับชมการถ่ายทอดสดบนท้องฟ้าอย่างสบายอารมณ์ เมื่อท่านอ๋องนั่งลงแล้ว พลังลมปราณและรังสีอำมหิตก็ยิ่งแผ่ออกมาจากร่างกายด้วยความหนาแน่นมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากซึ่งขยายขนาดใหญ่ขึ้นเช่นกัน
ในจังหวะนั้น บังเกิดเสียงหัวเราะดังออกมาจากป่าข้างทาง
“อุ๊วะฮ่าๆๆๆ ประเสริฐ ข้ารู้ดีอยู่แล้วว่าท่านต้องไม่ตาย ข้ารู้ดีอยู่แล้ว…”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับฉุยเฮาเฟิงอยู่หลายส่วน เดินออกมาเงยหน้าจ้องมองจอถ่ายทอดสดของสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สองพร้อมทั้งระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
รอบกายของชายหนุ่มยังมีกลุ่มคนอีก 6 ถึง 7 คนกำลังปลอบโยนเขาอย่างมีความสุขเช่นกัน
“นั่นใครน่ะ?”
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันขมวดคิ้ว
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเทาที่ยืนอยู่ด้านข้าง รีบขยับเข้ามาก้มหัวกระซิบว่า “กราบเรียนท่านอ๋อง นี่คือฉุยหมิงโหลว เป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมืองฉุย เมื่อพบว่าบิดาของตนเองยังไม่ตาย เขาจึงหัวเราะด้วยความดีใจขอรับ”
“ฉุยหมิงโหลว?”
ดวงตาของท่านอ๋องพลันเป็นประกายวูบวาบด้วยความโกรธแค้น
บุคคลผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันของบุตรชายเขา และที่สวีหวั่นหลัวเดินทางมายังเมืองหยุนเมิ่ง ก็เป็นเพราะได้รับเทียบเชิญจากฉุยหมิงโหลวผู้นี้นี่เอง
แต่หลังจากนั้น บุตรชายสุดที่รักของเขากลับต้องถึงแก่ความตาย ฉุยหมิงโหลวไม่แม้แต่จะมอบคำอธิบายสักคำเดียว มิหนำซ้ำ ฉุยเฮาเฟิงผู้เป็นบิดายังออกหน้าปกป้องฆาตกรอย่างหลินเป่ยเฉิน รวมถึงแทรกแซงการสืบสวนของเจ้าหน้าที่มือปราบอีกด้วย
ความผิดครั้งนี้ให้อภัยไม่ได้
“รีบไปจัดการมันซะ”
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันจ้องมองไปยังฉุยหมิงโหลวพลางออกคำสั่ง “กรงหลังรถม้าของข้ายังว่างเปล่าอยู่พอดี จับมันไปใส่ไว้ในกรง… หากขัดขืนก็ฆ่าทิ้งได้เลยไม่ต้องปล่อยไว้”
“ข้าน้อยรับคำบัญชา”
ลมหายใจต่อมา กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีเทาก็ชักกระบี่ออกจากฝักและพุ่งเข้าไปห้อมล้อมพวกของฉุยหมิงโหลวอย่างรวดเร็ว
…
“บุคคลปริศนาในเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สาม คนผู้นี้ ถ้าข้าจำไม่ผิด เขาคือกระบี่เทพปฐพี หนึ่งในกลุ่มห้าเทพมือกระบี่ของเว่ยหมิงเฉิน”
เฒ่าทะเลพูดในความเงียบ
หลินเป่ยเฉินมองไปยังจอถ่ายทอดสดของสนามรบจุดที่สาม และอดถามออกมาไม่ได้ “กลุ่มห้าเทพมือกระบี่หรือขอรับ? อยู่ดีๆ โผล่มาได้อย่างไรกัน?”
เฒ่าทะเลพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความไม่พอใจ “นี่เจ้าไม่ได้ศึกษาข้อมูลของศัตรูบ้างเลยหรือไร เจ้าคิดว่าข้างกายของเว่ยหมิงเฉินผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรคนนั้น… จะมีบริวารเพียงแค่สี่มือกระบี่องครักษ์เท่านั้นหรือ?”
“ยังมีคนอื่นด้วยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตอย่างคิดไม่ถึง
คนบ้าอะไรทำไมถึงได้มีลูกน้องเก่งๆ เยอะขนาดนี้วะ?
เฒ่าทะเลหัวเราะเยาะ “สำหรับคนที่มีสถานะสูงส่ง เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไร?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
นั่นสินะ
เว่ยหมิงเฉินย่อมไม่ได้มีลูกสมุนฝีมือฉกาจเพียงแค่สี่องครักษ์ประจำตัวอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเว่ยหมิงเฉินยังคงมีขุมกำลังซ่อนตัวอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
“ใครจะออกมาสู้กับข้า?”
เสียงคำรามดังออกมาจากม่านพลังของสนามรบจุดที่สาม “จงรีบไสหัวออกมาตายเสียดีๆ”
แน่นอนว่าย่อมเป็นเสียงท้าทายของกระบี่เทพปฐพีคนนั้น
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ เขามองหน้าเฒ่าทะเลและพูดว่า “ผู้อาวุโสขอรับ…”
“หยุดก่อน”
เฒ่าทะเลยกมือห้าม “เจ้าคงอยากให้ข้าหรือองค์หญิงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม ตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ หากองค์หญิงหรือผู้อาวุโสช่วยเหลือพวกเรา ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใดตอบแทน จะเป็นเงินทองหรือศิลาบูชา…”
“ข้าสามารถขอได้ทุกอย่างเลยใช่หรือไม่?”
เฒ่าทะเลมองหน้าหลินเป่ยเฉินไม่วางตา จนเด็กหนุ่มรู้สึกหนังหัวชายิบ “ถ้าข้าจะขอให้เจ้ามาเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์ชาวทะเล เจ้าจะตกลงหรือไม่?”
“เรื่องนั้น…”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าลำบากใจ “เราคุยกันไปแล้วไม่ใช่หรือขอรับ เรื่องใหญ่เช่นนี้ จะให้ตัดสินใจอย่างกะทันหันมันก็กระไรอยู่…”
นักพรตหญิงชินพลันหัวเราะในลำคอเสียงดังเฮอะ
องค์หญิงแห่งท้องทะเลเพียงยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า “การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า เป็นพิธีกรรมของเหล่าสาวกผู้ศรัทธาในตัวของเทพีกระบี่ แต่พวกเราชาวทะเลไม่ใช่สาวกของเทพีกระบี่ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่สามารถยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้เด็ดขาด เว้นแต่ว่าเจ้าอยากจะแปรพักตร์หันหน้าเข้าหาเทพเจ้าองค์อื่นเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
นี่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่
แต่เขาก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี
อย่างนั้นก็หมายความว่าเขาต้องรอให้เทพีกระบี่สร้างปาฏิหาริย์อย่างเดียวเท่านั้นสินะ
องค์หญิงแห่งท้องทะเลพูดออกมาอีกครั้งหนึ่งว่า “ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตัวตนของเฒ่าทะเลและตัวข้าเองมีความพิเศษมากกว่าชาวทะเลทั่วไป เพราะฉะนั้น จึงไม่สมควรลดตัวลงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของจักรวรรดิเป่ยไห่เด็ดขาด”
หืม?
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงกองทัพเรือรบและการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการขององค์หญิงแห่งท้องทะเลเมื่อหลายวันก่อน
แล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
“หากเป็นเช่นนั้น…”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด “ข้าก็คงต้องไปตามหาสหายของข้าแล้ว…”
ได้เวลาที่เขาต้องแสดงฝีมือจริงๆ เสียที
แต่ในจังหวะนั้นเอง…
“อาจารย์เจ้าคะ ให้ข้าออกไปต่อสู้เถิดเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางที่ยืนเงียบอยู่ตลอดพลันส่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก
หลินเป่ยเฉินพูดสวนกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “นักบวชเยว่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่…”
ใครจะรู้เลยว่านักพรตหญิงชินกลับพยักหน้าพูดว่า “ระมัดระวังตัวด้วยแล้วกัน”
“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
เยว่เว่ยหยางประสานมือคำนับ พยักหน้า จากนั้นจึงหันมามองหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “อิอิ พี่เป่ยเฉิน อย่าได้ประเมินผู้อื่นต่ำเกินไปนะเจ้าคะ”
พูดจบแล้ว นางก็กางปีกกระบี่บนแผ่นหลัง
วูบ!
เยว่เว่ยหยางกลายเป็นเพียงลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งวาบตรงลงไปที่เขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สาม
“นี่มัน?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมามองหน้านักพรตหญิงชินด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่มันเท่ากับส่งเยว่เว่ยหยางออกไปตายไม่ใช่หรือ?
นักพรตหญิงชินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เดี๋ยวภายหลังเจ้าก็รู้เอง”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
บัดนี้ บริเวณด้านล่างของภูเขาได้มีลำแสงแห่งความร้อนแรงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งผลให้มวลอากาศปั่นป่วนเล็กน้อย คลื่นความร้อนแผ่กระจายไปรอบทิศทาง…
บรรยากาศกลับกลายเป็นฤดูร้อนขึ้นมาในทันที
ผู้โจมตีคนที่สี่ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าขุมกำลังของทางฝั่งเมืองเฉียนหาวมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือมือกระบี่เทพอัคคี!”
เฒ่าทะเลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายวูบวาบ
ว่าไงนะ
เทพอัคคีอย่างนั้นหรือ?
คงต้องถึงมือเขาแล้วใช่ไหม
เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองตานักพรตหญิงชิน “คู่ต่อสู้คนนี้ ให้โอกาสข้าน้อยได้…”
นักพรตหญิงชินปฏิเสธโดยเร็วไว “ไม่ต้องเป็นห่วง คราวนี้เรามีคนที่จะส่งออกไปอยู่แล้ว”
เอ๋?
รอยยิ้มประจบประแจงของหลินเป่ยเฉินแข็งค้างอยู่บนใบหน้า
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
มีผู้ช่วยเหลือมาจากภายนอกอย่างนั้นหรือ?
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เขาก็เห็นลำแสงสีเงินพุ่งขึ้นจากใจกลางตัวเมืองหยุนเมิ่ง มันระเบิดแสงเจิดจ้าตัดผ่านผืนฟ้าและตกลงไปในเขตของสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สี่ด้วยความหนักแน่นแม่นยำ
ใครกันนะ?
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาไม่มากไม่น้อย
ไม่รีบไม่ร้อน
ไม่ได้ทำให้บรรยากาศปั่นป่วน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด มันกลับเป็นคลื่นพลังที่ทำให้ทุกคนรู้สึกจิตใจสงบขึ้นมาทันตา
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองคุ้นเคยกับพลังลมปราณเช่นนี้ชอบกล
แต่เขาก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าบุคคลปริศนาผู้นี้คือใครกันแน่