บทที่ 50 เกาะติดแน่นนักสลัดยังไงก็ไม่หลุด
อู๋เสี่ยวฟางกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล
เด็กหนุ่มหน้าขาวกล่าวหาว่าเขาเป็นเศษสวะอย่างซึ่งหน้า
ทว่าอู๋เสี่ยวฟางก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ
นั่นเป็นเพราะว่าเขาจำได้ดี เด็กหนุ่มหน้าขาวคนนี้คือหลี่เทา ศิษย์อัจฉริยะอันดับที่ 3 จากสถานศึกษากระบี่หลวงนั่นเอง
“หลี่เทา พูดจาระวังปากหน่อย ข้ามีอันดับเหนือกว่าเจ้า…เฮอะ แล้วนี่ทำไมเจ้าถึงมายุ่งเรื่องส่วนตัวของข้ากัน?”
เมื่อเห็นหน้าเด็กหนุ่มหน้าขาว แววตาของเถาว่านเฉิงก็แสดงความเป็นปรปักษ์และความเกลียดชังออกมาอย่างชัดเจน
หลี่เทาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เรื่องส่วนตัวอย่างนั้นหรือ? ข้าเห็นเพียงแต่ว่าเจ้ากำลังเที่ยวรังแกผู้คนและทำให้ภาพลักษณ์ของสถาบันเสียหาย”
พูดจบ หลี่เทาก็ประสานมือและกล่าว “ข้าพเจ้าหลี่เทา มาจากสถานศึกษากระบี่หลวง ต้องขออภัยในพฤติกรรมที่แสนต่ำช้าและหยาบคายของเถาว่านเฉิง ข้าได้ยินว่าเจ้าได้คะแนนเต็มวิชาประวัติศาสตร์ ด้วยชื่นชมความสามารถในข้อนี้ ข้าจึงอยากมาพบตัวจริงของเจ้าสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปดึงมือติงซานฉือออกจากแขนของตัวเองและกำชับให้ชายชรามั่นใจว่าเขาจะไม่ก่อเรื่อง
เด็กหนุ่มสอดกระบี่คืนฝัก ขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า ตอบกลับไปว่า “นับว่าเจ้ารู้จักพูดจาหวานหูยิ่งกว่าคนแซ่เถานั่นนัก แต่ข้าไม่มีทางเชื่อลมปากของเจ้าเด็ดขาด เจ้ากับข้าเพิ่งมีอายุเพียง 13 – 14 ปี เหตุไฉนจึงต้องทำตัวมากพิธีเป็นตาแก่ร้อยเล่ห์ด้วยเล่า? พูดคุยกันตามสบายไม่ได้หรือไง?”
บรรดาผู้คนที่อยู่รอบตัวต่างก็ตกตะลึงกันไปหมดแล้ว
“เมื่อสักครู่นี้ถ้าไม่ได้อาจารย์ติงช่วยเอาไว้ เขาก็ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าหลี่เทาเข้ามาเพื่อช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน
แต่หลินเป่ยเฉินกลับไม่ซาบซึ้งในความมีน้ำใจนี้เลย
ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มหน้าหล่อผู้นี้สมองเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร
แต่ที่ทุกคนคิดไม่ถึงอีกอย่างก็คือ หลี่เทาผู้ถูกหักหน้า กลับยิ้มแย้มตอบกลับมาอย่างไม่ถือสาหาความ
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก บังเอิญข้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซ้ำยังมีนิสัยเหมือนคนแก่ไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าจริงๆ ที่ทำทั้งหมดนี้ไม่ได้เสแสร้งหรือมีเจตนาจะดึงเจ้ามาเป็นพรรคพวกแต่อย่างใด”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “จริงหรือ? แต่ขอโทษที ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาเพื่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ได้ยินเต็มสองหูหรือยังเจ้าหลี่เทา? แกะดำตัวนี้มันไม่ได้สำนึกขอบคุณเจ้าเลยสักนิด ช่างน่าขำเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างเจ้า วันหนึ่งจะมาโดนเข้ากับตัวเองอย่างนี้ ไม่ทราบตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เถาว่านเฉิงหัวเราะคิกคัก รีบใช้โอกาสนี้ตอกหน้าคู่ปรับร่วมสถาบันด้วยความแค้นฝังหุ่น
หลี่เทายังคงพูดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า “มือกระบี่อัจฉริยะ มักจะแสร้งทำตัวร้ายกาจเป็นธรรมดา”
ต้องยอมรับจริงๆ ว่า เด็กหนุ่มหน้าขาวคนนี้ มีความอดทนเป็นเลิศ
แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังคงยืนกอดกระบี่แนบอก สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้แต่น้อย
“น่าเสียดายจริงๆ หลินเป่ยเฉิน ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้ามากมาย” หลี่เทายิ้มเศร้าแล้วพูดต่อ “ความจริงเพื่อนร่วมสถาบันของเจ้าที่ชื่อว่ามู่ซินเยว่ ได้บอกเล่าเรื่องราววีรกรรมที่เจ้าทำระหว่างสอบกลางภาค ข้าทั้งตื่นเต้นแล้วก็สงสัยในเรื่องราวเหล่านั้นนัก”
แต่ก่อนที่หลี่เทาจะได้กล่าวจบประโยค
เด็กสาวหน้าตาสะสวยผู้หนึ่ง ก็เดินแหวกกลุ่มคนมายืนยิ้มอยู่ข้างกายหลี่เทาอย่างแช่มช้า
นางก็คือมู่ซินเยว่
“หลินเป่ยเฉิน พี่หลี่ชื่นชมในความสามารถของเจ้า” มู่ซินเยว่ยิ้มพราว ดวงตาเป็นประกาย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีนิสัยเหมือนเด็ก แต่จะให้ความร่วมมือกับพี่หลี่สักหน่อยก็ไม่เห็นเสียหายอะไร จงยอมรับเถอะว่าอย่างไรเสียเขาก็มีความสามารถมากกว่าเจ้า”
ยัยมารร้ายนี่อีกแล้วหรือ
ตามราวีไม่เลิกเลยแฮะ
ทำไมสถานศึกษากระบี่ที่สามถึงได้มีอัจฉริยะ ‘นิสัยเสีย’ มากมายขนาดนี้กัน?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนพูดอะไรไม่ออก
มู่ซินเยว่เห็นเด็กหนุ่มไม่พูดอะไร ก็รู้สึกได้ใจมากกว่าเดิม
นางเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้ชนะ
หลินเป่ยเฉินเป็นคนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไร แต่มันจะมีประโยชน์อันใดกัน?
เมื่อมาเปรียบเทียบกับอัจฉริยะตัวจริงอย่างหลี่เทา หลินเป่ยเฉินก็เป็นเสมือนสุนัขข้างถนนตัวหนึ่งเท่านั้น
“บางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับความต่ำต้อยของตัวเอง อย่าได้ทำตัวอวดดีให้มันมากเกินไปนัก” มู่ซินเยว่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คราวนี้เจ้าจะได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้จากอัจฉริยะตัวจริง หลินเป่ยเฉิน เจ้าจงยอมรับกับพี่หลี่มาโดยตรงดีกว่า ว่าที่เจ้าไม่ยอมเข้าเป็นพวกเดียวกับเขา ก็เพราะว่าเจ้ากำลังหึงหวงข้า”
หลินเป่ยเฉินอ้าปากกำลังจะปฏิเสธ
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป สิ่งที่ไม่น่าเชื่อพลันเกิดขึ้น
“นางตัวดี เจ้าเป็นใคร? มาขึ้นเสียงใส่คนรักของข้าทำไม?”
น้ำเสียงใสกระจ่างปานระฆังแก้วดังขึ้นจากด้านหลังของหลินเป่ยเฉิน
แล้วมือที่ขาวผ่องเป็นยองใยก็ยื่นเข้ามากอดแขนเขาไว้แนบแน่น
หลินเป่ยเฉินยืนตัวแข็งทื่อ
เด็กหนุ่มพยายามสะบัดแขนโดยอัตโนมัติ
เฮ้ย…
แต่มือปริศนานั้นเกาะติดแขนเขาแน่นนักสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกจับใส่กุญแจมือไม่มีผิด
“เชี่ย เจ้าเป็นใคร…?”
เขาหันหน้ากลับไปตะคอกใส่เจ้าของมือปริศนา
แต่ทว่า…
โอ๊ย ตาฉัน…ใครมาเปิดแสงนีออนใส่หน้าวะเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินยกมือปิดตาตนเองพร้อมกับส่งเสียงร้องอุทานออกมาดังลั่น
เจ้าของมือปริศนามีผิวขาวผ่องมากเกินไป
นางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ในขณะนี้กำลังยืนควงแขนเขาหน้าตาเฉย
ความงดงามของนางนั้นเหนือล้ำเกินความเป็นมนุษย์ไปมาก
สวยงามยิ่งกว่าเทพธิดาบนสวรรค์
ผิวขาวโอโม่
น่ารักยิ่งกว่าเน็ตไอดอล
แค่ยืนเฉยๆ ก็มีรัศมีเปล่งประกายรอบตัวแล้ว
นางทำให้หลินเป่ยเฉินถึงกับไปไม่เป็นอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หลินเป่ยเฉินหันหน้ามาพบเจอนาง เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนเปิดไฟนีออนใส่หน้าสิบดวงซ้อน อย่าว่าแต่ดวงตาจะพร่ากะทันหัน แม้แต่สมองของเขาก็ถึงกับหยุดการประเมินผลไปชั่วคราวเลยทีเดียว
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้จริงๆ
เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้สมกับความงดงามของเด็กสาวผู้นี้
หรือถ้าจะให้เปรียบเทียบอย่างเข้าใจง่ายที่สุด ก็ต้องบอกว่านางสวยมากกว่ามู่ซินเยว่หลายเท่า
เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเด็กสาวคนนี้ มู่ซินเยว่ซึ่งเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งประจำสถานศึกษากระบี่ที่สามก็เป็นเสมือนลูกไก่ที่ยืนอยู่ต่อหน้านกฟีนิกซ์ ห่างชั้นเหมือนอยู่กันคนละโลก!
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เด็กสาวผิวขาวเห็นการตอบสนองอย่างทำอะไรไม่ถูกของหลินเป่ยเฉิน ก็เอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูเขาว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ ทำไมเจ้าต้องทำตัวเหมือนคนปัญญาอ่อนด้วย? น่าอับอายเหลือเกิน!”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกอย่างนั้นหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ…”
“อย่าบอกนะว่าพวกเรารู้จักกัน?”
“เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะถามออกไป
แต่เด็กสาวผิวขาวพลันหันไปมองหน้ามู่ซินเยว่ และพูดกระแทกเสียงว่า “เจ้าคือมู่ซินเยว่จากสถานศึกษากระบี่ที่สามสินะ? เพียงนำชื่อตัวเองมาอยู่ 50 อันดับแรกยังไม่มีปัญญา แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? กล้าดีอย่างไรถึงมาขึ้นเสียงใส่คนรักของข้าอย่างนี้?”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนรู้สึกว่าเรื่องราวนี้จะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ
แต่มู่ซินเยว่ไม่รู้ตัวเลย
นางไม่เคยรู้สึกเสียหน้ามากเท่านี้มาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กสาวผิวขาวที่กำลังควงแขนหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ นางมีความสวยงามจนน่าตะลึง สวยจนกลบรัศมีความงามของมู่ซินเยว่หมดสิ้น ดังนั้น มู่ซินเยว่จึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาทันที “ข้าไม่ติด 50 ลำดับแรกแล้วจะทำไม? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ถึงกับต้องเอาเจ้าโหลยโท่ยอย่างหลินเป่ยเฉินมาเป็นคนรัก เฮอะ ดูเหมือนเจ้าก็คงเป็นตัวไร้ค่า ไม่มีใครให้ความสนใจเหมือนกัน…”
แต่ก่อนที่เด็กสาวจะทันได้พูดจบ
เถาว่านเฉิงกับหลี่เทาที่ยืนอยู่ข้างกายนางก็สลัดความมึนงงกลับมาได้สติแล้ว
เด็กหนุ่มอัจฉริยะทั้งสองคนในขณะนี้ มีสภาพเป็นเหมือนหนูที่อยู่ต่อหน้าแมว พวกเขาประสานมือทำความเคารพเด็กสาวผิวขาวและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมว่า “ข้าน้อยทำความเคารพพี่หลิง”
ฉับพลันนั่นเอง บรรดาศิษย์คนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่มาจากสถานศึกษากระบี่หลวง ซึ่งปกติจะมีสีหน้าเย่อหยิ่งจองหองไม่ค่อยเห็นใครอยู่ในสายตา แต่ทว่าตอนนี้ เมื่อพวกเขากลับมาได้สติกันอีกครั้ง พวกเขาก็รีบประสานมือทำความเคารพเด็กสาวผิวขาวโดยเร็วไว พร้อมกันนั้นก็ประสานเสียงดังกึกก้องว่า “ข้าน้อยทำความเคารพพี่หลิง”
คำพูดที่มู่ซินเยว่คิดจะกล่าวออกมาพลันติดค้างอยู่ในลำคอหมดแล้ว