ตอนที่ 502 อีกก้าวเดียวก็เทียบเท่านักพรตเทวะ
มือกระบี่เทพวารีจัดเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
เขามีทั้งความแข็งแกร่งและความมั่นใจ
แต่ยิ่งแข็งแกร่งและมั่นใจมากแค่ไหน ก็ยิ่งเหยียดหยามคู่ต่อสู้มากเท่านั้น
นี่คือจุดอ่อนของผู้แข็งแกร่ง
ตัวอย่างเช่น การเผชิญหน้ากับนักพรตหญิงชิน ถ้าเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่น ก็คงต้องยกย่องสรรเสริญว่าหัวหน้านักบวชสาวมีฝีมือแข็งแกร่งในชนิดที่ว่า อีกก้าวเดียวก็จะมีพลังเทียบเท่านักพรตเทวะผู้สร้างปาฏิหาริย์ได้มากมายแล้ว
แต่ในสายตาของมือกระบี่เทพวารี เขากลับมองนางเป็นเทพธิดาตกสวรรค์ ที่ต้องลงมาอยู่บนโลกมนุษย์เพราะถูกขับไล่
ซึ่งมันเป็นข่าวลือที่เริ่มเล่าขานกันมาปากต่อปากเมื่อสิบกว่าปีก่อน
การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้มือกระบี่เทพวารีต้องทบทวนระดับฝีมือของตนเองใหม่ แต่มันกลับทำให้เขายืนยันกับตนเองว่า ข่าวลือที่ได้ยินมานั้น น่าจะเป็นความจริง
นักพรตหญิงชินจะต้องเป็นเทพธิดาตกสวรรค์ผู้นั้นแน่นอน
“บัดซบ…”
เขาระเบิดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
แต่ไม่ว่าจะโต้ตอบกลับไปกี่กระบวนท่า แม้จะงัดกระบวนท่าไม้ตายออกมาใช้แล้วก็ตาม แต่อาวุธคู่กายของมือกระบี่เทพวารี ก็ยังไม่สามารถทำอันตรายนักพรตหญิงชินได้อยู่ดี
“เฮอะ… สงสัยเราคงต้องตายแล้วสินะ”
“แต่ถึงเราต้องตาย เราก็ต้องสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่นายท่านมากที่สุด”
มือกระบี่เทพวารีมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
มันเป็นประกายของผู้ที่ศรัทธาต่อบุคคลหนึ่งอย่างหมดหัวใจ
“ด้วยอำนาจแห่งสายน้ำ… นักพรตหญิงชิน ท่านต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป”
แล้วชายหนุ่มก็ดูดซับพลังจากในอากาศเข้าสู่ร่างกายของตนเองอย่างบ้าคลั่ง
มวลพลังเหล่านั้นไหลเวียนเข้าสู่เส้นลมปราณและกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดเนื้อของมือกระบี่เทพวารี…
นี่คือสัญญาณของจุดจบ
นี่คือสัญญาณการพลีชีพ
ทุกคนที่รับชมการถ่ายทอดสด ไม่ว่าจะอยู่รอบๆ ภูเขาที่เกิดเหตุหรือรอบจักรวรรดิ ต่างก็ถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
นักพรตหญิงชินมีความน่ากลัวถึงขนาดที่ว่าคู่ต่อสู้ต้องชิงฆ่าตัวตายเลยหรือนี่?
แต่ในจังหวะที่ผู้คนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น นักพรตหญิงชินก็ตวัดกระบี่อีกครั้ง
ร่างของนางบินวนในอากาศเหมือนวิหคตัวหนึ่ง
แม้จะอยู่ห่างออกไป 60 วา แต่คมกระบี่ในมือของนักพรตหญิงชินก็ยังฟันลงไปที่ร่างของมือกระบี่เทพวารีได้อย่างแม่นยำ
แล้วมวลพลังที่กำลังดูดกลืนเข้าไปโดยร่างกายของชายหนุ่ม ก็แตกสลายหายไปภายใต้ความมึนงงสงสัยของทุกคน
ร่างกายของมือกระบี่เทพวารีถูกฟันขาดแบะออกเป็นสองซีก ล้มลงเสียชีวิตบนพื้นสนามรบศักดิ์สิทธิ์ด้วยความน่าอนาถใจอย่างยิ่ง
เขาเหมือนเป็นเพียงรูปปั้นดินเหนียวตัวหนึ่ง
การต่อสู้ในค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่ห้าจบลงแล้ว
นักพรตหญิงชินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาตลอดเวลา
นางไม่เสียเวลาชำเลืองมองซากศพบนพื้นดินสักนิดด้วยซ้ำ ราวกับว่าตนเองเพิ่งจะตบมดแมลงตัวหนึ่งตายไปก็ไม่ปาน นักบวชสาวหมุนตัวและเดินตรงไปสู่จุดที่เป็นม่านพลังสำหรับออกไปนอกอาณาเขต
กระบี่ในมือถูกตวัดฟาดฟัน
เปรี้ยง!
ม่านพลังสั่นไหวรุนแรง
แต่มันไม่ได้สลายตัวลงไป
นักพรตหญิงชินขมวดคิ้วเล็กน้อย
จากนั้น ปีกกระบี่ทั้งสี่ข้างก็ค่อยๆ หุบหายกลับเข้าไปในร่างกาย
นางโยนกระบี่ในมือทิ้งไป
นักพรตหญิงชินยืนอยู่ในความเงียบ
เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เหมือนกำลังรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น
…
“สามหาว พวกเจ้าถอยออกไปเดี๋ยวนี้” นายทหารยศนายกองตะโกนออกคำสั่ง
ชาวบ้านที่เดินเข้ามาห้อมล้อมโดยรอบทำให้นายกองผู้นี้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อย
“พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร?”
หัวหน้านายทหารถามเสียงแข็งกร้าว
นายทหารผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีสีหน้าตึงเครียด กระบี่ถูกชักออกจากฝักอวดคมวาววับสะท้อนแสงตะวันขณะยกขึ้นชี้หน้ากลุ่มชาวบ้าน ซึ่งกระชับพื้นที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่กลับไม่เกิดผลอะไรเลยแม้แต่น้อย
นั่นเป็นเพราะว่าชีวิตที่อยู่ในสรวงสวรรค์กว่า 20 ปีของชาวเมือง กำลังจะต้องถล่มทลายลงไปด้วยการตรวจสอบของคนต่างถิ่น และบัดนี้ ไม่มีอะไรที่ชาวเมืองจะต้องหวาดกลัวอีกต่อไป เพราะพวกเขารู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินกับคณะอาจารย์ในสถานศึกษากระบี่ที่สามมีฝีมือไม่ต่ำต้อย และบุคคลเหล่านั้นเป็นคนดีมีศีลธรรมที่ควรค่าต่อการปกป้อง…
ดังนั้น ทหารเลวเพียงกลุ่มเดียวจึงข่มขู่ชาวเมืองไม่สำเร็จ
“พวกเจ้าทำตัวโอหังเกินไปแล้ว”
“เที่ยวทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหยุนเมิ่งไม่พอ ยังคิดจะจับตัวผู้คนไปอย่างไม่ยุติธรรมอีกหรือ?”
“ก่อกบฏ? เจ้าบอกมาสิว่าพวกเราทำผิดกฎหมายจักรวรรดิข้อใด?”
“ใช่แล้ว เป็นพวกเจ้าต่างหากใช้หน้าที่ในทางมิชอบ พวกเจ้าจะจับตัวผู้คนไปด้วยข้อหาอันใดกัน?”
“หรือเป็นเพราะคำสั่งจากท่านอ๋องผู้นั้น? เจ้าตั้งใจจะจับผู้คนไปขังไว้ในกรงเพื่อเอาใจท่านอ๋องใช่หรือไม่?”
“การจับตัวคนไปเป็นทาสโดยไม่ได้รับความยินยอม นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย!”
กลุ่มชาวบ้านขยับใกล้เข้ามามากขึ้นและมากขึ้น
“หยุดนะ นี่คือเส้นแบ่งเขตแดนทหาร ใครกล้าเดินล้ำเส้นเข้ามาจะต้องตาย” นายทหารคนหนึ่งตะโกนอย่างขวัญเสีย
กลุ่มองครักษ์และท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันยิ่งมีสีหน้าย่ำแย่มากกว่านั้นหลายเท่า
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ท่านอ๋องก็หวังว่ากลุ่มชาวบ้านจะถือดีมากเกินไปโดยการล้ำเส้นเขตแดนทหารเดินเข้ามา เพราะนั่นจะทำให้กลุ่มทหารสามารถสังหารชาวบ้านได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันอยากจะนำเลือดของชาวเมืองหยุนเมิ่งไปราดรดบนหลุมศพบุตรชาย
“ทุกคนถอยกลับมาก่อน”
ฉู่เหินส่งเสียงออกคำสั่ง
ถึงเขาจะซึ้งใจในความช่วยเหลือของชาวบ้าน แต่เรื่องคงบานปลายไปมากกว่านี้ ถ้าชาวบ้านล้ำเขตแดนทหาร
จังหวะนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าและชุดเกราะกระทบกันดังโกร่งกร่าง
ปรากฏว่าแม่ทัพของหน่วยนักรบมังกรดำพร้อมด้วยผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ เมื่อได้รับรายงานถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาก็รีบยกกำลังพลมาห้อมล้อมพวกของฉู่เหินและกลุ่มชาวบ้านเอาไว้อีกครั้ง
แม่ทัพผู้มีนามว่าลู่หมินมีสีหน้าบึ้งตึงขณะเดินตรงเข้าไปหาฉู่เหิน เหมือนกับว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ทันใดนั้น มีนายทหารอีกคนหนึ่งรีบวิ่งมากระซิบกระซาบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเขา
“ว่าไงนะ?”
ลู่หมินมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“พวกเราไปกันเถอะ”
เขาไม่สนใจการจับกุมตัวพวกของฉู่เหินอีกแล้ว แต่กลับถอนกำลังพลของตนเองกว่า 200 นาย เดินทางกลับเข้าไปสู่ในตัวเมืองด้วยความรีบร้อน
เกิดอะไรขึ้น?
ฉู่เหิน พานเว่ยหมิน และหลิวฉีไห่หันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
“งั้นพวกเราก็กลับกันบ้างดีกว่า”
ฉุยหมิงโหลวถามด้วยความไม่อยากเชื่อ “กลับหรือขอรับ?”
ฉู่เหินพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ก็กลับสถานศึกษาของเราไง”
แล้วบุตรชายท่านเจ้าเมืองก็มีสีหน้ากลับมาเยือกเย็นสุขุมอีกครั้ง
เขาชำเลืองมองหน้าจอถ่ายทอดสดที่อยู่บนท้องฟ้าและเห็นบิดาของตนเองยังติดอยู่ในค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์ จากตอนแรกที่ดีใจและมีความสุขที่ได้เห็นบิดายังมีชีวิตอยู่ บัดนี้เมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ ฉุยหมิงโหลวก็เริ่มคำนึงถึงปัญหาอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว
ชายหนุ่มเสียเวลาหลายวันไปกับความเศร้าโศกเสียใจในความตายของบิดา ดังนั้นที่ผ่านมาจึงทำตัวไร้ประโยชน์โดยตลอด แต่ยามนี้เมื่อเขาตั้งสติได้อีกครั้ง ฉุยหมิงโหลวก็มั่นใจว่าตนเองย่อมมีความสามารถที่จะช่วยงานพวกของฉู่เหินได้พอสมควร ถึงเขาจะไม่ได้ฉลาดหลักแหลมเฉกเช่นบิดาก็ตาม
“งั้นพวกเรากลับไปตั้งหลักกันที่ตำหนักไม้ไผ่ และทำตามแผนเดิมของหลินเป่ยเฉินกันเถิดขอรับ เราต้องปิดประตูตำหนักไม้ไผ่ให้แน่นหนาและรอคอยให้การตรวจสอบวิหารสิ้นสุดลง…ยิ่งเรากลับไปเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
ฉุยหมิงโหลวตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าสมองของตนเองปลอดโปร่งมากที่สุดในรอบหลายสัปดาห์
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินนำหน้าโดยปราศจากความลังเล
กลับกลายเป็นฝ่ายของฉู่เหินและมิตรสหายที่เกิดความลังเลเล็กน้อย พวกเขาแหงนหน้ามองการต่อสู้บนหน้าจอถ่ายทอดสด ก่อนจะได้เข้าใจว่าถึงอยู่ที่นี่ต่อไป พวกตนเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว
ต้องยอมรับว่าถึงฉู่เหิน พานเว่ยหมินและหลิวฉีไห่จะเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้สำเร็จ เสมือนดักแด้ที่เปลี่ยนแปลงเป็นผีเสื้อ แต่ก็ยังมีระดับพลังต่ำต้อยเกินไปที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้
พวกเขาทําได้เพียงเป็นผู้รับชมเท่านั้น
และสำหรับผู้รับชม สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยของตนเอง
ในที่สุด ก็เริ่มมีกลุ่มชาวบ้านเดินตามฉุยหมิงโหลวกลับลงไปจากภูเขาแล้ว
ท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันและกลุ่มองครักษ์มีสีหน้าโล่งอกมากขึ้น พวกเขาไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับกลุ่มชาวบ้านอีกแล้ว และได้แต่เฝ้ามองพวกของฉู่เหินเดินหายลับไปจากสายตา
ณ เวลาเดียวกันนั้นเอง…
ในเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่หก การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป
“ตาเฒ่าหัวหมูสกปรก เจ้าตายไปแล้วนี่นา ทำไมถึงฟื้นคืนกลับมาได้อีก?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไปด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ
เพราะคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาในขณะนี้ก็คือจูปี้ฉี ซึ่งสมควรทอดร่างไร้ชีวิตนอนอืดอยู่ก้นทะเลไปแล้วเมื่อ 4 วันก่อน
แต่เมื่อเทียบกับจูปี้ฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้าบัดนี้ มือกระบี่สุราโลหิตกลับมีพลังมากกว่าวันที่ต่อสู้กับอาจารย์ติงหลายเท่า
ถึงจะมีใบหน้าและรูปลักษณ์เหมือนเดิม
แต่ไม่รู้ทำไม หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกว่าจูปี้ฉีไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
“ความอับอายที่เจ้าสร้างให้เกิดขึ้นไว้กับข้า วันนี้ข้าจะมาเอาคืนให้หนักกว่านั้นเป็นสองเท่า… เจ้าเตรียมตัวตายได้เลย”
น้ำเสียงของจูปี้ฉีก็ฟังดูแปลกประหลาดต่างไปจากเดิม
บนท้องฟ้าพลันปรากฏกลุ่มเมฆดำรวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ พวกมันส่งเสียงคำรามดังครืนครันและมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นประกาย พร้อมสำหรับการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
“เสี่ยวจี้ เปิดเพลงโหมดหูฟังให้หน่อย…”
หลินเป่ยเฉินไม่กล้าประมาทอีกต่อไป
ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะเปิดแอปพลิเคชัน NetEase Cloud Music ตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว และต่อด้วยการเล่นเพลงกระบี่ไร้เทียมทาน
การเปิดเพลงโหมดหูฟังหมายความว่า มีเพียงหลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่ได้ยินเสียงเพลง
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็ใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณโดยไม่ลังเล
และเนื่องจากในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินเป็นผู้มีพลังปราณธาตุไฟพิเศษ อานุภาพในการใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เปลวไฟสีเงินยวงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความร้อนแรง เรียกได้ว่าแทบจะกลบรัศมีกลุ่มก้อนเมฆสายฟ้าของจูปี้ฉีไปหมดสิ้น