ตอนที่ 506 หุ่นกระบอกที่ไร้คนเชิด
ไม่มีใครคิดเลยว่าหนี่หยางจะส่ายหน้าปฏิเสธและพูดว่า “ไม่ต้อง แค่จับตาดูเฉยๆ ก็พอแล้ว”
“เอ๋? แค่จับตาดูหรือขอรับ?” กลุ่มบุตรชายของเขาอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
เนื่องจากพวกเขาทราบดีว่าบิดาของตนเองไม่ชอบให้ใครมาดูหมิ่นเป็นที่สุด
อาจารย์เหล่านั้นก่อปัญหาต่อหน้าต่อตา แล้วบิดาสามารถทนทานได้อย่างไร?
หนี่หยางพูดว่า “เจ้าสี่ ไหนลองอธิบายเหตุผลให้ทุกคนเข้าใจหน่อยซิ”
หนี่โมหยานนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็กล่าวว่า “อาจารย์อาวุโสทั้งสามคนนั้นมีระดับพลังสูงล้ำมากเกินไป นายทหารของพวกเราไม่ใช่คู่มือของพวกเขา ดังนั้นถ้าเกิดการต่อสู้มากไปกว่านี้… มันจะเป็นการทำให้พวกเราต้องเสียกำลังพลไปโดยเปล่าประโยชน์ขอรับ”
หนี่หยางพยักหน้าอย่างพอใจในคำตอบ “วิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล คือคุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง…”
พูดมาถึงตรงนี้ชายชราพลันหยุดชะงัก
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่มีนายทหารคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างของโรงน้ำชา และมาคุกเข่าข้างหนึ่งรายงานต่อหน้าหนี่หยางว่า “กราบเรียนท่านข้าหลวงใหญ่ เกิดเหตุร้ายในภูเขาเสี่ยวซีขอรับ บัดนี้ ท่านแม่ทัพลู่อยากขอกำลังเสริมไปแก้ไขสถานการณ์…”
นายทหารคนนี้ก็คือเสี่ยวเกาที่ลู่หมินใช้งานมานั่นเอง…
เขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในภูเขาเสี่ยวซีด้วยความรวดเร็ว
หนี่หยางได้รับฟังดังนั้นก็นิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่
เขาแตกต่างไปจากท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันที่มาเพื่อแก้แค้นให้แก่บุตรชายของตนเอง หนี่หยางไม่ได้มาที่เมืองหยุนเมิ่งเพื่อแก้แค้นให้แก่หนี่ฟู่กวง
เจ้าเด็กไร้ประโยชน์คนนั้นต่อให้ตายไป หนี่หยางก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจเลยสักนิด
ด้วยความที่เป็นข้าหลวงใหญ่ หนี่หยางจึงอยากจะผลิตบุตรชายออกมาให้ได้เยอะมากที่สุด ดังนั้นจึงมีหญิงงามมาคอยอุ่นเตียงให้เขาทุกค่ำคืน และแต่ละเดือน ก็มีคนรับใช้ที่ต้องตั้งท้องหลายสิบชีวิต
เพราะฉะนั้น เหตุผลที่หนี่หยางยกกองทัพมาช่วยงานเว่ยหมิงเฉินในครั้งนี้ ก็เพราะเขาอยากจะครอบครองแร่หินบูชาที่อยู่ในภูเขาเสี่ยวซีนั่นเอง
หนี่หยางคิดจะอาศัยจังหวะชุลมุน กอบโกยแร่หินให้ได้เยอะที่สุดในระหว่างที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว
แน่นอนว่าในภายหลังแร่หินที่อยู่ในเหมืองก็จะต้องถูกนำมาแบ่งปันให้แก่พวกของคุณชายเหลียนซานอย่างเท่าๆ กัน
แต่อย่างน้อย หนี่หยางก็มีโอกาสกอบโกยโดยที่ทุกคนไม่รับรู้
ส่วนเรื่องลูกหมีสีเงินอะไรนั่นที่ลู่หมินอยากจะได้ตัว หนี่หยางไม่รู้สึกสนใจแม้แต่น้อย
มันก็เป็นเพียงลูกหมีตัวหนึ่ง
ต่อให้เลี้ยงขึ้นมาเป็นยอดสัตว์อสูรได้สำเร็จ แล้วจะเอาไปทำประโยชน์อะไรได้?
ยังไงก็สู้เลี้ยงมนุษย์และฝึกให้เป็นผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ก็ไม่ได้
ตราบใดที่เขามีแร่หินบูชาอยู่ในมือในจำนวนที่เพียงพอ หนี่หยางก็จะสามารถสร้างกองทัพตระกูลหนี่ที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้อย่างแท้จริง แล้วสัตว์อสูรตัวหนึ่งจะเทียบเคียงได้อย่างไร?
หลังจากคิดดูแล้ว ชายชราก็หันไปยังกลุ่มบุตรชายทั้งสี่คนของตนเอง พร้อมกับออกคำสั่งว่า “เจ้าสาม เจ้าหก และเจ้าเจ็ด พวกเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ อย่าเพิ่งทำอะไรโดยพลการ แต่ห้ามไม่ให้มีผู้ใดเข้าออกสถานศึกษาแห่งนี้อีกเด็ดขาด”
บุตรชายทั้งสามคนนั้นรับคำด้วยความดีใจ “รับทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อ”
หนี่หยางใช้เวลาขบคิดอะไรบางอย่างอีกเล็กน้อย ก็ออกคำสั่งต่อว่า “โปรดจำเอาไว้ อย่าได้ปะทะกับอาจารย์อาวุโสทั้งสามคนนั้นเด็ดขาด หากพวกเขารวมตัวกัน พวกเจ้าจงรีบถอนกำลังกลับไปทันที… และอย่าให้พวกเขารู้เด็ดขาดว่าพวกเจ้าเป็นใคร”
จากนั้น ชายชราก็หันหน้ากลับมากล่าว “เจ้าสี่ เจ้าไปที่ภูเขาเสี่ยวซีพร้อมกับข้า”
แล้วท่านขุนนางใหญ่แห่งแคว้นซินจินก็นำตัวหนี่โมหยานกับเสี่ยวเกาออกไปจากโรงน้ำชา
…
ในห้องรับประทานอาหารของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
เจียงจี้หลิวกำลังน้ำตาไหลพราก
“พี่ใหญ่…”
เขาเพิ่งรับชมการถ่ายทอดสดตอนที่ร่างของจูปี้ฉีสูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยไปตามสายลม
ความผิดหวังและความเศร้าเสียใจปรากฏขึ้นมาในห้วงอารมณ์ความรู้สึกของเด็กหนุ่ม
เจียงจี้หลิวยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาเหมือนเป็นหุ่นกระบอกที่ไม่มีคนเชิดอีกต่อไป
นับตั้งแต่ที่เจียงจี้หลิวมีสถานะเป็นหนึ่งในสี่มือกระบี่องครักษ์ของนายท่าน จูปี้ฉีก็เป็นคนที่คอยดูแลเขามาตลอด
จูปี้ฉียอมทำหลายเรื่องแทนเขาเพราะเจียงจี้หลิวไม่อยากทำ
มีหลายภารกิจที่เจียงจี้หลิวไม่สามารถทำได้สำเร็จ แต่ก็เป็นจูปี้ฉีคอยแก้ไขสถานการณ์และช่วยเหลือจนภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดี
สำหรับกับเด็กหนุ่มแล้ว จูปี้ฉีเปรียบเสมือนอาจารย์ เปรียบเสมือนบิดา เปรียบเสมือนเพื่อนสนิท
นั่นจึงทำให้จูปี้ฉีกลายเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตของเจียงจี้หลิว และการที่ต้องเห็นชายชราเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาผ่านการถ่ายทอดสด มันก็ทำให้หัวใจของเจียงจี้หลิวต้องแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ครั้งหนึ่ง เจียงจี้หลิวเคยถามจูปี้ฉีว่าทำไมถึงต้องช่วยเหลือเขาถึงเพียงนั้น
จูปี้ฉีตอบกลับมาว่า…
“เพราะข้าเห็นตัวข้าเองในตัวเจ้า”
เพราะคนเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้
ไม่ว่าจะเป็นมือกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่หรือชาวบ้านธรรมดา เมื่อถึงวัยแก่ชรา ก็มักจะนึกถึงแต่เรื่องราวเก่าก่อนเสมอ จูปี้ฉีไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นมือกระบี่ไร้ชื่อเสียง เขาต้องสูญเสียผู้คนไปมากมาย กว่าจะขึ้นมาอยู่จุดสูงสุดอย่างเช่นทุกวันนี้
บางทีการที่ได้คอยช่วยเหลือเจียงจี้หลิว มันก็ทำให้จูปี้ฉีรู้สึกเหมือนกำลังได้ช่วยเหลือตนเองในอดีต
แต่สำหรับเจียงจี้หลิว นี่คือบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
เจียงจี้หลิวมองหน้าจอถ่ายทอดสดและร้องไห้ไม่หยุด
เมื่อร่างของจูปี้ฉีสูญสลายหายไปภายใต้เปลวไฟสีเงิน ความเป็นจริงก็ยิ่งตอกย้ำว่าจูปี้ฉีไม่มีทางกลับมาหาเขาได้อีกแล้ว
“ความแค้นครั้งนี้ต้องได้รับการชำระ”
เด็กหนุ่มจ้องมองบุรุษหน้ากากแดงผู้มีเปลวไฟสีเงินลุกโชนทั่วตัวและพยายามจะจำหน้าอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ลืมเลือน
เจียงจี้หลิวรู้เพียงแต่ว่าบุคคลนี้เป็นเพื่อนของหลินเป่ยเฉิน
น่าเสียดายที่เพื่อนของเพื่อนกลับต้องเป็นศัตรูกันแล้ว
เจียงจี้หลิวนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารอีกพักใหญ่ ก่อนที่จะหมุนตัวและเดินออกไป
ออกไปจากโรงเตี๊ยม
ออกไปจากเมืองหยุนเมิ่ง
ต่อจากนี้ เป้าหมายในชีวิตของเขาคือการตามล้างแค้นวีรบุรุษหน้ากากแดงให้จงได้
เพราะฉะนั้น เขาจะรับความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินเป็นแขนกลคู่นั้นไม่ได้เด็ดขาด
ส่วนเงิน 10,000 เหรียญทองคำที่จ่ายไปนั้น…
ก็ให้ถือเป็นค่าตอบแทนที่หลินเป่ยเฉินไว้ชีวิตเขาระหว่างการประลองในศึกจตุรมิตรสามัคคี แล้วก็ยังช่วยชีวิตเขาไว้บนภูเขาเสี่ยวซีอีกด้วย
ถึงแม้ว่าการทดแทนบุญคุณด้วยเงินทองสำหรับคนที่มีฐานะร่ำรวยอย่างหลินเป่ยเฉิน คงจะไม่มีความหมายอะไรเลยก็ตาม แต่อย่างน้อย มันก็เป็นเพียงเรื่องเดียวที่เจียงจี้หลิวสามารถทำได้ในขณะนี้
“ครั้งหน้าที่ได้พบกันอีก ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเราจะยังเป็นมิตรกันอยู่เหมือนเดิมหรือไม่…”
บนถนนนอกเมืองหยุนเมิ่ง เจียงจี้หลิวชำเลืองมองกลับไปยังทิศทางของวิหารเทพกระบี่เป็นครั้งสุดท้าย
ภูเขาลูกนั้นยังคงเงียบสงบ
“ข้าหวังว่าเจ้าจะรอดพ้นการตรวจสอบครั้งนี้ไปได้นะ”
แล้วเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจ ก่อนก้าวเดินต่อไปด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
เจียงจี้หลิวหายลับเข้าไปในม่านหมอกไกลตาอย่างรวดเร็ว
การเดินทางมาที่เมืองหยุนเมิ่งในครั้งนี้ ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่สิ่งเดียวที่เจียงจี้หลิวได้รับกลับมา
คืออิสรภาพ
…
ค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สี่
เปรี้ยง!
ในที่สุด การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
การต่อสู้ใช้เวลานานกว่าที่คิดเล็กน้อย
แต่ในที่สุด ตัวแทนจากฝ่ายวิหารเมืองหยุนเมิ่งก็เป็นผู้ชนะ
…
ค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่หนึ่ง
ติงซานฉือยืนมองม่านพลังกั้นอาณาเขตด้วยความสงสัยและโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน
ด้านหลังของเขาคือซากศพคู่ต่อสู้
การต่อสู้จบลงแล้ว
กระบวนท่าที่ 4 ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของติงซานฉือมีอานุภาพการโจมตีรุนแรงมากกว่าเดิม
แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่น้อยเช่นกัน บาดแผลฉกรรจ์หลายจุดบนร่างกายกำลังส่งเลือดไหลหยดลงบนพื้นดิน
โดยเฉพาะบาดแผลบนหัวไหล่ซ้าย ที่ปากแผลเปิดกว้าง มีความลึกในระดับที่สามารถล้วงนิ้วมือเข้าไปได้ทั้งนิ้ว
“อย่าบอกนะว่านี่คือค่ายอาคมที่เข้าได้ออกไม่ได้ นับว่าพวกเจ้าเล่นสกปรกมากเกินไปแล้ว…”
ติงซานฉือสูดหายใจลึกและเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า
ถึงผู้ที่อยู่ในค่ายอาคมจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสนามรบ แต่ชายชราก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่แน่นอน
“นี่มันผิดกฎการตรวจสอบวิหาร เหลียนซาน รีบเปิดค่ายอาคมให้ข้ากลับออกไปเดี๋ยวนี้”
ติงซานฉือระเบิดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล
…
นอกค่ายอาคม
สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ความเศร้าปรากฏขึ้นบนสีหน้าของคุณชายเหลียนซานเล็กน้อย
การต่อสู้ในค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 6 จุด ตัวแทนจากฝ่ายวิหารเทพกระบี่สามารถเก็บชัยชนะไปได้แล้วถึง 5 จุด
เหลือเพียงเยว่เว่ยหยางในสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สามเท่านั้นที่ยังคงต่อสู้ต่อไป และไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าผลการต่อสู้จะลงเอยเช่นไร
สำหรับภารกิจที่คุณชายเว่ยมอบหมายมาให้เขา ความพ่ายแพ้คือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด
แต่โชคดีที่ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม