ตอนที่ 511 ทำไมท่านถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้…
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่รู้ก็คือการถ่ายทอดสดจบสิ้นลงไปแล้ว
ไม่ว่าเขาทำอะไรอยู่ในค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้เด็ดขาด
ด้วยความเศร้าโศก ด้วยความหวาดกลัว ด้วยความไม่มีทางเลือก
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดของตนเอง หลินเป่ยเฉินก็เห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิดจำนวนมากมาย และเมื่อเขาเริ่มดูดซับพลัง ลำแสงจากดวงดาวเหล่านั้นก็ค่อยๆ ไหลรินเข้ามาสู่ร่างกายในเวลาอันรวดเร็ว
“ด้วยศรัทธาที่แรงกล้า” หลินเป่ยเฉินพึมพำคาถาอยู่ในใจ “ปีกกระบี่ของข้าจงกางออก”
พรึบ!
แล้วปีกกระบี่สุดน่ารักคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลังของเขา
“แม่งก็ยังสั้นเกินไปอยู่ดีละวะ…”
“ถ้าถือคันธนูกับลูกศรรูปหัวใจหน่อยนะ คนต้องเข้าใจว่าเราเป็นคิวปิดน้อยแน่ๆ”
เมื่อหลินเป่ยเฉินชำเลืองมองปีกที่อยู่บนแผ่นหลังซึ่งเหมือนปีกไก่อย่างไรชอบกล เขาก็อดบ่นกับตัวเองไม่ได้…
ปีกกระบี่คู่นี้ต่อให้กางเต็มที่ มันก็มีความยาวไม่ถึงระยะแขนของหลินเป่ยเฉินเองด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มหันข้าง ใช้ปีกกระบี่กรีดลงไปที่ม่านพลัง
นี่คือความหวังสุดท้ายของเขา
ม่านพลังถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
ถ้าจะสลายมันลงไป ก็ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน
พลังลมปราณทั่วไปใช้ไม่ได้ผล
มีแต่ต้องใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าต้องใช่แน่ๆ
บัดนี้ ถึงเวลาพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดมันจะถูกต้องหรือไม่
หัวใจของหลินเป่ยเฉินแทบจะกระดอนขึ้นมาอยู่ในลำคอด้วยความตื่นเต้น
ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอีกแล้ว
แคว่ก!
ได้ยินเสียงเหมือนเสื้อผ้าฉีกขาดดังขึ้น
แล้วปีกกระบี่ของเขาก็สามารถกรีดม่านพลังกลายเป็นรูโหว่ขนาดเล็กได้สำเร็จ
“เฮ้ย”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความดีใจสุดขีด
สำเร็จแล้ว
เขานี่มันอัจฉริยะจริงๆ
นอกจากเป็นหนุ่มงามที่สุดในเมืองแล้ว เขายังเป็นผู้ที่ชาญฉลาดที่สุดในเมืองอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินสะบัดปีกคู่เล็กของตนเองด้วยความกระตือรือร้น จากนั้น ช่องว่างของม่านพลังก็ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสอดตัวออกไปด้านนอกค่ายอาคมได้สำเร็จ สิ่งแรกที่หลินเป่ยเฉินทำก็คือกระโดดเข้าป่าหลบเลี่ยงสายตาผู้คน เมื่อเก็บปีกกระบี่กลับเข้าที่เสร็จเรียบร้อย เขาก็สลายพลังปราณธาตุไฟของตนเอง และดาวน์โหลดเสื้อคลุมตัวใหม่ออกจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์มาสวมใส่
“ตอนนี้เราต้องปลอมตัวเป็นเซียวปิงกลับขึ้นไปที่วิหาร และช่วยเหลือพวกนักบวชหญิงทุกคนออกมาให้ได้…”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มสะกิดเท้าพุ่งตัวขึ้นไปสู่ยอดเขาด้วยความเร็วไว
สนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่เขาประจำการ อยู่ห่างจากยอดเขาเพียง 2 ลี้เท่านั้น
พริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็สามารถมองเห็นรูปปั้นเทพีกระบี่บนยอดเขาได้แล้ว
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงการต่อสู้และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ลมทะเลที่โชยพัดผ่านมา หอมเอากลิ่นคาวเลือดมาด้วย
แย่แล้ว!
เกิดปัญหาใหญ่แล้วสิ
สถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
หลินเป่ยเฉินรีบมุ่งหน้าขึ้นไปสู่ยอดเขาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
เขาทั้งรู้สึกตื่นตระหนกและโกรธแค้น
บริเวณลานหน้าวิหารเต็มไปด้วยลำธารแห่งสายเลือด
องครักษ์และมือกระบี่จำนวนหลายสิบคนกำลังร้องตะโกนและต่อสู้อยู่ที่หน้าประตูวิหาร
ร่างที่โชกเลือดของเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งกำลังใช้กำปั้นของตนเองต่อสู้กับมือกระบี่รอบกายอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามยืนขวางประตูอย่างสุดชีวิต ไม่ถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ต่อให้เลือดในกายกำลังจะไหลออกมาหมดตัวแล้วก็ตาม…
นี่มันอะไรกันเนี่ย
“นึกออกแล้ว หมอนั่นก็คือเซียวปิงที่ปลอมตัวเป็นเรานี่เอง โดนเล่นงานซะอ่วมเชียวนะ”
หลินเป่ยเฉินนึกขึ้นมาได้ด้วยความร้อนใจ
เขาแผดเสียงคำราม ทิ้งตัวลงไปยืนอยู่ในลานหน้าวิหารเสียงดังปัง แผ่นหินที่อยู่ใต้เท้าแตกกระจาย แรงกระแทกที่เกิดขึ้นก่อตัวเป็นคลื่นพลังแผ่กระจายตรงไปยังกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูวิหาร
“เอ๋…”
“นั่นใครน่ะ?”
เสียงคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปรากฏว่ามีองครักษ์ระดับยอดปรมาจารย์ 3 นายกระโดดตรงเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความดุร้าย
เด็กหนุ่มเพียงโบกสะบัดหลังมือตอบโต้กลับไป
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
องครักษ์ชุดเทาทั้ง 3 นายนั้นลอยกระเด็นออกไปเหมือนตุ๊กตาผ้าเก่าขาดตัวหนึ่ง
ตัวคนยามที่ลอยอยู่ในอากาศแสดงให้เห็นถึงการหักงอผิดรูปผิดร่าง เมื่อร่างกายตกกระแทกพื้นหิน แรงกระแทกก็ทำให้ตัวขององครักษ์ทั้งสามคนนั้นจมหายลงไปใต้พื้นหิน แขนขาบิดงอในองศาผิดธรรมชาติที่สุด และไม่มีใครมีลมหายใจอีกแล้ว
กลุ่มองครักษ์และนายทหารที่กำลังปิดล้อมเซียวปิงพลันรีบล่าถอยออกไปด้วยความตกตะลึง หลินเป่ยเฉินถึงได้มีโอกาสมองเห็นเซียวปิงเต็มๆ ตา
ตอนนี้ เจ้าอ้วนกลายเป็นมนุษย์โลหิตคนหนึ่งไปแล้ว
“อ๊ากกก ตายซะ วันนี้พวกเจ้าต้องตายให้หมด… จะไม่มีใครได้รอดกลับออกไปจากที่นี่เด็ดขาด…”
เซียวปิงคำรามและรัวหมัดออกมาเหมือนคนเสียสติ แม้แต่ตอนที่เขาเห็นหลินเป่ยเฉินตัวจริงเดินเข้ามาหา เซียวปิงก็พุ่งเข้ามาโจมตีตามสัญชาตญาณ เพราะสติสัมปชัญญะไม่รับทราบอีกแล้วว่าใครเป็นใคร
วูบ!
เด็กหนุ่มร่างอ้วนในร่างของหลินเป่ยเฉินตัวปลอมกระแทกหมัดออกมาข้างหน้า
มวลอากาศปั่นป่วน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปัดป้องพร้อมกับพูดว่า “นี่ข้าเองนะ… เจ้าจำไม่ได้หรือไง?”
แต่ก่อนที่จะทันได้มีเวลาพูดอะไรมากไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าแรงหมัดของเซียวปิงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เรียกว่าหากวัดกันแต่เพียงพละกำลังในร่างกาย เซียวปิงสามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้อย่างไม่เห็นฝุ่น หลินเป่ยเฉินซึ่งไม่ทันตั้งตัวจึงลอยกระเด็นกลิ้งออกไปหลายตลบ…
ให้มันได้แบบนี้สิ
ดูเหมือนเจ้าอ้วนจะเลื่อนระดับพลังได้แล้วสินะ
นี่มันแรงหมัดของคนที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 1 ชัดๆ
เซียวปิงสามารถทำได้อย่างไร?
“ย๊ากกก… ข้าจะฆ่าเจ้า…”
เซียวปิงยังคงกระโดดตามติดมาเล่นงานหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ
เสียงคำรามดุเดือดปานเสียงมังกร กำปั้นซัดเข้ามาราวกับพายุโหมกระหน่ำ
หลินเป่ยเฉินพยายามปัดป้องอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ร้องเรียกว่า “ตั้งสติหน่อย น้องรัก ข้าคือพี่ใหญ่ของเจ้าเองนะ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว…”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
เซียวปิงสาวหมัดใส่หลินเป่ยเฉินเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด
แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินสามารถปัดป้องการโจมตีได้อย่างไม่มีปัญหา
จังหวะนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เซียวปิงหอบหายใจ และดวงตาของเขาก็เริ่มกลับมาเป็นปกติเล็กน้อย
เซียวปิงเงยหน้าขึ้นมามองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่แน่ใจ ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและลังเล แต่เมื่อเขารวบรวมสติกลับมาได้อีกครั้ง ดวงตาของเซียวปิงก็เป็นประกายระยิบระยับ
“พี่ใหญ่?”
เซียวปิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จากนั้นเขาจึงร้องไห้เหมือนเด็กน้อยที่กำลังโกรธบิดามารดา “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ร่างกายของเซียวปิงก็ทรุดฮวบลงไปบนพื้นหิน
ก่อนหน้านี้ เซียวปิงอาศัยความมุ่งมั่น ความโกรธแค้น ความปรารถนาที่จะปกป้องนักบวชสาว รวมไปถึงไม่อยากทำให้หลินเป่ยเฉินต้องผิดหวังในตนเอง เขาจึงสามารถทนรับการโจมตีและรวบรวมแรงกายแรงใจต่อสู้มาได้ถึงขนาดนี้
แต่เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินตัวจริงกลับมาแล้ว
แรงฮึดทั้งหมดนั้นก็สูญสลายหายไป สภาพร่างกายของเซียวปิงกลับคืนสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
แม้แต่แรงที่จะยืนหยัดต่อไป เซียวปิงก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินต้องรีบเข้าไปประคองเซียวปิงโดยทันที
เมื่อสำรวจสภาพของเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้ปลอมตัวเป็นเขาในระยะใกล้ชิด หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แขนทั้งสองข้างของเซียวปิงไม่รู้เลยว่ามีรอยกระบี่ปรากฏขึ้นมากมายเท่าไหร่ ไม่ว่ามองไปตรงจุดไหนก็เห็นแต่บาดแผลฉกรรจ์ เซียวปิงสภาพไม่ต่างจากเนื้อหมูที่ถูกสับบนเขียงครั้งแล้วครั้งเล่า โลหิตไหลทะลักออกมาตลอดเวลา เพียงกวาดตามองครั้งเดียวก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
นอกจากบาดแผลเหล่านี้แล้ว เนื้อที่อยู่ใต้ผิวหนังบางส่วน ก็หลุดออกมาติดอยู่กับเสื้อผ้าที่ฉีกขาดอีกด้วย
สภาพน่าสยดสยองยิ่งนัก
นี่คือประสบการณ์การต่อสู้ที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ของเซียวปิง
ปกติ เจ้าเด็กอ้วนคนนี้ขี้ขลาดยิ่งกว่าอะไรดี นอกจากเรื่องรับประทานอาหารแล้ว หมอนี่ก็ไม่เก่งสิ่งใดอีกเลย ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงคิดไม่ถึงว่าในยามที่เหตุการณ์คับขัน เซียวปิงกลับไม่หลบหนีและเลือกที่จะยืนหยัดเพื่อปกป้องประตูวิหารด้วยชีวิต แม้ว่านั่นจะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของตนเองอย่างสาหัสสากรรจ์ก็ตาม