ตอนที่ 513 ความพ่ายแพ้ที่ไม่อาจยอมรับได้
เซียวปิงรู้สึกหัวใจแหลกสลาย
ความจริง ถึงตอนแรกเขารู้ทั้งรู้ว่าการที่สามารถยื้อการต่อสู้มาได้ถึงบัดนี้ ล้วนเป็นพลังมาจากความกลัวทั้งสิ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการที่เขายืนป้องกันประตูวิหารด้วยความมุ่งมั่นและยอมเอาชีวิตเข้าแลก มันคือสิ่งที่ควรค่าต่อการสรรเสริญ ทว่าเซียวปิงลืมเลือนไปเรื่องหนึ่งว่าตลอดเวลาเหล่านั้นเขาปลอมตัวเป็นพี่ใหญ่
หากเรื่องราวการต่อสู้ครั้งนี้เผยแพร่ออกไป คนที่จะได้รับคำชื่นชมก็คือหลินเป่ยเฉิน
เซียวปิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย
จะมีอะไรน่าเวทนาไปมากกว่านี้อีก
เฮ้อ!
“พี่ใหญ่ขอรับ ข้ารู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน… ขอยาเพิ่มหน่อยได้ไหมขอรับ ข้าอยากทานยา”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนพูดด้วยความเศร้า
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ยาชนิดนี้เจ้าอย่ารับประทานมากเกินไปเด็ดขาด เดี๋ยวไตจะวายเอาได้”
หลินเป่ยเฉินล้วงยาลูกกลอนโอสถหกสวรรค์จำนวน 20 เม็ดออกมายื่นส่งให้เซียวปิง
เขาสังเกตเห็นว่าเม็ดยาที่อยู่ในขวดหยกขนาดเล็กเหล่านั้นยังมีลำแสงสว่างไสวปรากฏออกมา
ความจริงไม่มีเวลาไหนเหมาะสมต่อการรับประทานยามากไปกว่าช่วงเวลานี้อีกแล้ว
“รับทราบแล้วขอรับ พี่ใหญ่”
เมื่อเซียวปิงเห็นยาวิเศษ ความเศร้าเสียใจทั้งหมดก็หายวับไป
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะนักกินตัวยง ไม่มีอะไรประเสริฐมากไปกว่าการกินยาที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูขึ้นมาสมบูรณ์ดีดังเดิมอีกแล้ว
อีกอย่าง นี่ก็เป็นยาวิเศษ
แล้วจะไม่ให้เขาหายจากความเศร้าโศกเสียใจได้อย่างไร
“อ้อ จริงด้วยสิท่านพี่ ตอนที่ข้าถูกรุมโจมตีเมื่อสักครู่ ข้ารู้สึกราวกับว่าตนเองสามารถเลื่อนระดับได้อย่างไรชอบกล ท่านพี่ช่วยดูให้หน่อยสิว่าข้าอยู่ในขั้นกระดูกเงินแล้วหรือยัง…”
พูดจบ เซียวปิงก็มองหาบาดแผลจากคมกระบี่ที่ยังหลงเหลืออยู่บนแขนของตนเองเพียงน้อยนิด จากนั้นเขาก็ใช้นิ้วง้างปากแผลให้เปิดออก โลหิตไหลทะลักออกมา ปากแผลเปิดกว้าง เผยให้เห็นกระดูกที่อยู่ด้านใน
กระดูกเป็นสีเงินสะท้อนประกายแวววาวระยิบระยับ
เพียงมองดูแวบเดียว ก็รู้แล้วว่าเป็นกระดูกเงินจริงๆ
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงพูดอะไรไม่ออก
ไอ้หมอนี่
กลายเป็นคนเหล็กไปแล้วเหรอเนี่ย
หรือว่าเซียวปิงจะเลื่อนระดับพลังได้จริงๆ?
แต่ต่อให้เลื่อนระดับพลังได้ ก็ไม่เห็นต้องเปิดปากแผลเพื่อให้เขาดูกระดูกเลยนี่นา?
สิ่งที่เห็นนี้ช่วยยืนยันให้หลินเป่ยเฉินได้แน่ใจว่าเซียวปิงมีความแข็งแกร่งของร่างกายอยู่ในขั้นกระดูกเงินแล้วจริงๆ
เมื่อมองกระดูกแขนของเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่เป็นสีเงินบริสุทธิ์…หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่ายามใดที่เขาขาดเงิน หากเลาะกระดูกของเซียวปิงออกไปขาย ก็คงได้ราคาดีไม่ใช่น้อย
นี่คือการเลื่อนระดับขึ้นสู่อีกขอบเขตหนึ่งของวิชากระบี่เร้นกาย
เซียวปิงรุดหน้ามากกว่าเขาอีกนะเนี่ย
ไม่เป็นไร
หรือว่าการที่เจ้าอ้วนถูกรุมทุบตีมาตลอด… จะกลายเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งไปในตัว?
“น้องรัก ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย เจ้ารู้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าการฝึกฝนช่วยให้คนเราพัฒนา เพราะฉะนั้น ในอนาคตเจ้าจะขี้เกียจไม่ได้เด็ดขาด และเจ้าห้ามกลัวความตายอีกแล้วเข้าใจไหม ต่อไปนี้จงต่อสู้ด้วยความมั่นใจในตัวเอง แล้วสักวันหนึ่ง เจ้าจะเติบโตไปเป็นยอดยุทธ์ที่ผู้คนต้องรู้จักทั่วแผ่นดิน”
หลินเป่ยเฉินให้กำลังใจด้วยความจริงใจ
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ อาการบาดเจ็บของเซียวปิงก็ทุเลามากขึ้นแล้ว
ปรากฏว่าการเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขอบเขตกระดูกเงินเป็นเรื่องดีจริงๆ
เซียวปิงสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บได้รวดเร็วกว่าปกติ
หลินเป่ยเฉินเห็นแล้วก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
หลังจากนำเสื้อคลุมตัวใหม่มาผลัดเปลี่ยนให้แก่เซียวปิงเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาก็เดินออกไปจากวิหารอีกครั้ง
…
ด้านบนท้องฟ้า
สีหน้าของคุณชายเหลียนซานผู้คอยควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างกำลังแสดงออกถึงความตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเขาเห็นกับตาของตนเองว่าวีรบุรุษหน้ากากแดงสามารถสลายม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไม่มีปัญหา
มันไม่สมควรเป็นเช่นนั้น
ค่ายอาคมเหล่านี้ก่อสร้างขึ้นมาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง ต่อให้เป็นหัวหน้านักพรตหรือแม้แต่ตัวนักพรตเทวะ ก็ไม่น่าจะสลายม่านพลังออกมาได้ด้วยซ้ำ
นี่คือค่ายอาคมที่มีแต่เทพีกระบี่และเทพเจ้าบนดินแดนเทพเท่านั้นถึงจะสามารถสลายได้
แล้วเหตุไฉนเจ้าคนสัปดนนั่นถึงสามารถแหวกม่านพลังออกมาได้เหมือนเป็นเพียงม่านกระดาษแผ่นหนึ่ง
หรือว่าเจ้านั่นก็เป็นร่างทรงเทพเจ้าคนหนึ่งเหมือนกัน?
เป็นไปไม่ได้
คุณชายเหลียนซานจ้องมองทิศทางการเคลื่อนไหวของวีรบุรุษหน้ากากแดง พร้อมกับพยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม
ปรากฏว่าบุคคลผู้นี้ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
หลังออกมาจากค่ายอาคมได้สำเร็จ บุรุษหน้ากากแดงก็กระโดดเข้าไปซ่อนตัวในป่าข้างทางทันที
อย่าว่าแต่ตัวคนจะหายไป แม้แต่พลังลมปราณก็หายไปด้วย
บุรุษหน้ากากแดงหายตัวไปเสมือนเป็นสายลมวูบหนึ่งในอากาศ
หลังจากนั้น คุณชายเหลียนซานก็เห็นเซียวปิงวิ่งหน้าตั้งขึ้นไปบนยอดเขา จัดการช่วยเหลือบรรดานักบวชสาวในวิหารไว้ได้อย่างเฉียดฉิว มิหนำซ้ำ ยังลงมือสังหารท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายอีกด้วย
คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กอ้วนผู้นี้ก็แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาแล้ว
แต่หากเรื่องราวการสังหารท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันได้รับการเปิดเผยออกไป เจ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อเซียวปิงก็จะต้องถูกถลกหนังสิบชั้นและถูกประหารชีวิตด้วยความทรมานแน่นอน
ให้ตายสิ
แผนการทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว
สีหน้าของคุณชายเหลียนซานมีความเคร่งเครียดขึ้นมาหลายเท่า
เขาก้มหน้ามองลงไปยังสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สาม
การต่อสู้ภายในนั้นยังคงดำเนินต่อไป
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยความดุเดือด
พลังลมปราณแผ่กระจายออกมารุนแรงมากขึ้น
ม่านพลังที่ปิดกั้นค่ายอาคมถึงกับสั่นไหวตลอดเวลา
“นับว่านักบวชสาวของเมืองหยุนเมิ่งก็มีฝีมือไม่ใช่เล่นเหมือนกัน”
“ดูเหมือนว่านางมารนั่นชักจะเล่นสนุกมากเกินไปแล้ว หากเรายังไม่รีบลงมือเสียตอนนี้ ทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้ไข…”
“ไม่ได้การ เราไม่มีทางเลือกอีกแล้ว”
คุณชายเหลียนซานคิดได้ดังนั้นก็ส่งกระแสจิตสื่อสารกับตัวแทนที่อยู่ในค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์โดยไม่รอช้า
…
ด้านในสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สาม
ท้องฟ้ามืดหม่น
แสงตะวันและแสงจันทราเลือนราง
“หืม?”
มนุษย์ดินเหนียวส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
ปรากฏว่ามวลพลังในอากาศที่กำลังไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายนางอย่างต่อเนื่องกลับขาดหายไป
ในเวลาเดียวกันนั้น
ปีกกระบี่ทั้งสี่ข้างของเยว่เว่ยหยางกางออกมาเต็มความยาวพร้อมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ครอบคลุมรอบบริเวณ
มนุษย์ดินเหนียวรู้สึกตื่นกลัวเหมือนกำลังจะได้เผชิญหน้ากับเทพเจ้าตัวจริง
การตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าในครั้งนี้ นับว่าฝ่ายของคุณชายเหลียนซานพ่ายแพ้อย่างหมดรูป หากแผนการทั้งหมดถูกเปิดเผยออกไป พวกของคุณชายเหลียนซานและเว่ยหมิงเฉินก็คงต้องถูกจับไปประหารหลายชั่วโคตร
“หึหึ เดิมทีข้าอยากจะสังหารพวกเจ้า และเอาเลือดของนักบวชสาวทั้งหมดมาล้างภูเขาลูกนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า… ข้าจะเลือกร่วมมือกับคนผิด ได้โปรดให้อภัยด้วยที่ข้าไม่ได้อยู่สู้ต่อ แต่ครั้งหน้าที่เจอกัน ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้”
มนุษย์ดินเหนียวรีบล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าตัวประหลาด หยุดเดี๋ยวนี้”
เยว่เว่ยหยางคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงปราศจากความรู้สึก
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่ได้มีชีวิตชีวาสดใสเหมือนปกติ
ในแววตาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร ราวกับเป็นเครื่องจักรกลแห่งการต่อสู้
ปีกกระบี่บนแผ่นหลังขยับเขยื้อน
แล้วบนแผ่นหลังของนักบวชสาวก็ปรากฏปีกกระบี่ชุดใหม่ขึ้นมาอีกสี่ข้าง รวมแล้วบัดนี้เยว่เว่ยหยางมีปีกอยู่ด้วยกันทั้งหมดแปดข้าง มวลอากาศปั่นป่วน การเคลื่อนที่ของนางรวดเร็วมากกว่าเดิม พลังสังหารที่แผ่ออกมาจากปีกกระบี่รุนแรงมากกว่าเดิม
แต่มนุษย์ดินเหนียวปริศนาผู้นั้นสามารถหลบหนีออกไปจากค่ายอาคมได้อย่างรวดเร็ว
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
ทันใดนั้น เยว่เว่ยหยางกรีดปีกกระบี่ทั้งแปดข้างของตนเองลงไปที่ม่านพลัง
ม่านพลังสั่นไหว
ค่ายอาคมสั่นไหว
แต่ม่านพลังกลับไม่ได้สลายไป
เยว่เว่ยหยางรับรู้ทันทีว่านางไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อีกแล้ว
“บัดซบ”
นักบวชสาวเงยหน้าคำรามในอากาศ
นางยังคงใช้ปีกกระบี่โจมตีใส่ม่านพลังอย่างต่อเนื่องด้วยความดุเดือดรุนแรง
แต่ม่านพลังเพียงสั่นไหว ไม่ได้สลายตัวลงไป
เยว่เว่ยหยางไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอย่างไรอีกแล้ว
…
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตูวิหาร
เมื่อเห็นศพคนตายนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนลานหิน ซึ่งเนืองนองไปด้วยทะเลโลหิตสีแดงสด เด็กหนุ่มก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาเกือบทำผิดพลาดมหันต์แล้วสิ
ทุกอย่างเป็นไปตามที่หลินเป่ยเฉินคาดเดาเอาไว้จริงๆ ด้วย
นักพรตหญิงชินยอมเสียสละตนเองและตัดสินใจให้เขาอยู่เฝ้าบนวิหาร เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าตัวแทนทุกคนคงถูกกักขังอยู่ในค่ายอาคมเหล่านั้น
บัดนี้ เขาต้องรีบช่วยทุกคนกลับออกมาก่อน
หลินเป่ยเฉินอยากจะลงไปช่วยเหลือตัวแทนทุกคนออกมาจากสนามรบศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง แต่ก็กลัวว่ายามที่เขาไม่อยู่ ฝ่ายศัตรูจะฉวยโอกาสบุกขึ้นมาโจมตีอีกครั้ง และเซียวปิงเพียงตัวคนเดียว คงไม่สามารถรับมือกับขุมกำลังที่แข็งแกร่งเหล่านั้นได้แน่นอน
แต่ถ้าหลินเป่ยเฉินกางปีกกระบี่ของตนเองออกมา ทุกคนก็คงรู้กันหมดว่าเขาคือวีรบุรุษหน้ากากแดง…
ซึ่งมันจะน่าอายไปกันใหญ่
หลินเป่ยเฉินยืนใช้เวลาขบคิดอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็นึกวิธีแก้ปัญหาขึ้นมาได้โดยไม่รู้ตัว
“เกือบลืมไปเลยว่าเรายังใช้ฟังก์ชันนี้ได้อยู่… อิอิ”
แล้วเด็กหนุ่มก็นำโทรศัพท์มือถือออกมา