ตอนที่ 523 พวกเรานึกว่าจะต้องจัดงานศพให้ท่านเสียแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
มันเหมือนกับเขาจมลงไปในหุบเหวที่ลึกล้ำ
หุบเหวที่ไม่มีก้น
หลินเป่ยเฉินได้แต่ร่วงตกลงไปเรื่อยๆ
เขาราวกับเป็นดวงวิญญาณเร่ร่อนที่เดินวนเวียนอยู่ในอุโมงค์มืดมิด
มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทาง
หลินเป่ยเฉินจำความรู้สึกได้ว่าตนเองเสมือนกับตกอยู่ในฝันร้าย มีภูตผีวิญญาณจำนวนมากมายต้องการที่จะเล่นงานเขา และไม่ว่าพยายามจะบังคับให้ตัวเองตื่นสักเท่าไหร่ มันก็ไม่เป็นผล
แต่ในทันใดนั้น เด็กหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสมือนุ่มนิ่มที่แตะอยู่ตามหน้าผากและร่างกายส่วนต่างๆ
สัมผัสที่นุ่มนิ่มเหล่านั้นทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความเป็นจริง
กาลเวลาผ่านไป
เนิ่นนานราวกับหลายร้อยปี
เนิ่นนานราวกับหลายพันปี
เมื่อหลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าตนเองอาจจะต้องติดอยู่ในความมืดมิดไปตลอดกาล ทันใดนั้น สัมผัสการรับรู้ในส่วนต่างๆ ของเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นมา
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าบนร่างกายได้รับการปลดเปลื้องด้วยมือที่นุ่มนิ่มเหล่านั้น ทีละชั้น ทีละชั้น
ต่อด้วยสัมผัสอบอุ่นลื่นไหลที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย
ความรู้สึกนี้ทำให้สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
วิญญาณของเขากลับคืนสู่ร่างกายทีละเล็กทีละน้อย
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองเริ่มขยับนิ้วมือได้แล้ว
“อ้า…”
เขาส่งเสียงครางในลำคอ
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ว่าส่วนกึ่งกลางของร่างกายพลันตั้งโด่งชูชันขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้จากสัมผัสที่นุ่มนิ่มและอบอุ่นเหล่านั้น
เกิดเสียงอุทานดังขึ้นข้างใบหู
เป็นเสียงที่เขาคุ้นเคย
เป็นเสียงที่เด็กหนุ่มอยากได้ยินเหลือเกินยามอยู่ในความมืด
ต่อมา ได้ยินเสียงฝีเท้าผู้คนดังขึ้น
ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู
หลินเป่ยเฉินเริ่มกลับมารู้สึกตัวอย่างชัดเจน
เขาเริ่มขยับเขยื้อนร่างกายได้บางส่วน
เริ่มจากขยับนิ้วมือ
ตามด้วยขยับแขนขา และส่วนอื่นๆ ในเวลาอันรวดเร็ว
“นายท่านเจ้าคะ นายท่าน…”
เสียงกระซิบที่อบอุ่นดังขึ้นข้างใบหู
ช่างเป็นเสียงกระซิบที่อ่อนหวานกระไรปานนั้น
ช่างเป็นเสียงกระซิบที่คุ้นเคยกระไรปานนั้น
หลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
แสงสว่างทำให้ตาพร่า
มันเหมือนกับว่าหลินเป่ยเฉินถูกขังอยู่ในห้องมืดมาอย่างยาวนาน แล้วอยู่ดีๆ ก็มีผู้คนกระชากผ้าม่านออกไป ทำให้มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาจากโลกภายนอกอย่างกะทันหัน
แต่หลังจากกะพริบตาถี่ๆ แล้ว หลินเป่ยเฉินก็สามารถมองเห็นได้ตามปกติ
สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ได้รับรู้ว่าผู้ที่กำลังโน้มตัวเข้ามาจ้องมองเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทั้งสองข้างนั้น ก็คือหญิงสาวรับใช้ผู้ภักดี เฉียนเหมยกับเฉียนเจินนั่นเอง
“นายท่าน ฮื่อ นายท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?”
“เร็วเข้า เรารีบไปบอกพ่อบ้านหวังกันดีกว่าว่านายท่านฟื้นแล้ว…ฮื่อ โชคดีอะไรอย่างนี้”
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินสามารถลืมตากลับมาได้ตามปกติ สองสาวรับใช้ก็ต้องยกมือปาดน้ำตาด้วยความดีใจ
น้ำตาของพวกนางไหลทะลักลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง หยดน้ำตาเหล่านั้นไหลผ่านร่องแก้ม ทำให้ใบหน้าของพวกนางมีความงดงามมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ต่อจากนั้น หยดน้ำตาจากร่องแก้มก็ไหลผ่านลงไปที่คอเสื้อ และไหลผ่านลงไปที่ร่องภูเขาไฟอวบอิ่ม…
หลินเป่ยเฉินพลันหัวใจกระตุกวูบขึ้นมาทันที
หลังจากเขาสลบไปเนิ่นนาน เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่ามีคนคอยดูแลด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างใกล้ชิด มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีต่อใจเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ดวงตาของเขาเลื่อนตามหยดน้ำตาลงไปตามผิวขาวนวล…
และมุมสายตาของเขาบัดนี้ช่างประเสริฐเหลือเกิน
เขาสามารถมองเห็นถันสีชมพูบนยอดเขาได้อย่างชัดเจนจากคอเสื้อที่เปิดกว้าง
ผ่าง!
ทันใดนั้น มีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง
หวังจงวิ่งเข้ามาด้วยสองเท้าที่เปลือยเปล่า
ตามมาด้วยเซียวปิง…
และคนคุ้นหน้าคุ้นตาจำนวนมาก…
ไม่ว่าจะเป็นฉู่เหิน พานเว่ยหมิน หลิวฉีไห่ และคนอื่นๆ อีกมากมาย
สองสาวรับใช้เหยียดตัวยืนตรงทันที
หลินเป่ยเฉินถอนสายตากลับมาจากภูเขาไฟเหล่านั้นด้วยความเศร้า แล้วเขาก็ยันมือดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง
จากนั้นถึงได้พบว่า…
มังกรน้อยของเขากำลังผงาดง้ําค้ําโลก
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ปรากฏว่าความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนิ่มเมื่อสักครู่นี้ เป็นเพราะว่าเฉียนเหมยกับเฉียนเจินกำลังใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวให้เขาอยู่อย่างนั้นหรือ?
ถ้างั้นก็หมายความว่าตอนนี้…
“ออกไปนะ ออกไปให้หมด ยังไม่รีบออกไปอีก…” หลินเป่ยเฉินรีบหาผ้าห่มมาปิดบังร่างกายด้วยความร้อนรน “พวกท่านคิดจะเข้าห้องคนอื่นเหตุใดไม่เคาะประตูก่อน? ทำไมถึงได้ทำตัวไร้มารยาทกันขนาดนี้ ออกไปรอข้างนอกกันให้หมด เดี๋ยวข้าแต่งตัวเสร็จแล้วจะตามออกไป…”
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ก่อนที่จะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทีละคน
…
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
ตำหนักไม้ไผ่
ในห้องรับแขก
“ข้าสลบไปถึง 3 เดือนเลยหรือนี่?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ…
ครั้งสุดท้ายที่เขารับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพีกระบี่ เด็กหนุ่มจำได้ว่าตนเองสลบไปเพียง 10 วันเท่านั้น
แล้วทำไมครั้งนี้ถึงยาวนานตั้ง 3 เดือน?
ด้วยการคำนวณจากวิชาคณิตศาสตร์ที่ได้ 99 คะแนนสมัยเรียนอยู่ที่โลกใบเก่า หลินเป่ยเฉินก็สามารถตอบตัวเองได้ว่าการสลบครั้งนี้ยาวนานกว่าครั้งที่แล้วถึง 9 เท่าเลยทีเดียว
“ท่านพี่ พวกเรานึกว่าจะต้องจัดงานศพให้ท่านเสียแล้ว…”
เซียวปิงพูดด้วยน้ำตานองใบหน้า
หลินเป่ยเฉินหันไปมองด้วยความไม่อยากเชื่อ
ไอ้หมอนี่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือไง?
เซียวปิงเมื่อเห็นสายตาขุ่นเคืองของหลินเป่ยเฉิน ก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ขออภัยด้วยขอรับ พอดีข้าตื่นเต้นมากเกินไป พวกเรานึกว่าท่านตายไปแล้วจริงๆ …ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา เราต้องคอยดูแลท่านพี่อยู่ทุกวัน นักพรตหญิงชินถึงกับมาตรวจสอบร่างกายท่านด้วยตัวเองทุกวันเช่นกัน นางกลัวว่าท่านจะไม่ฟื้นคืนกลับขึ้นมาอีก แต่โชคดีที่เทพีกระบี่ยังคงเมตตาท่าน”
“บัดนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉู่เหินมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคร่งเครียด
หลินเป่ยเฉินตรวจสอบดูร่างกายของตนเองแล้ว
ไม่มีอะไรเสียหายนอกจากความเมื่อยขบเพราะไม่ได้ขยับตัวนานๆ เท่านั้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานั่นแหละ ที่ทำให้นักพรตหญิงชินต้องคอยมาตรวจสอบอาการของเขาอยู่ทุกวัน
หากเขาไม่ได้มีหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้เลยว่านักพรตหญิงชินจะยอมมารักษาเขาด้วยตนเองเช่นนี้หรือไม่?
ร่างกายยังคงแข็งแรงดี
แต่ก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว
พลังลมปราณของเขาสูญสลายหายไป
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินลองใช้พลังจิตสำรวจดูส่วนลึกในร่างกายของตนเอง เขาก็จะพบว่ามีมวลพลังบางอย่างกำลังหมุนวนอยู่รอบจุดลมปราณของเขา
มันมีลักษณะคล้ายคลึงกับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพีกระบี่ เพียงแต่ว่ามีสีสันที่ต่างออกไป
มันกลายเป็นดวงไฟสองดวงที่ลอยวนเวียนอยู่เหนือจุดลมปราณของเด็กหนุ่ม
นี่อธิบายว่าระหว่างที่หลินเป่ยเฉินสลบไปนั้น ร่างกายของเขาได้สูญเสียพลังทั้งหมดไปจริงๆ
แต่ 3 เดือนที่ผ่านมา
ร่างกายก็เยียวยาตนเองจนพลังทั้งหมดพร้อมที่จะฟื้นฟูกลับมาแล้ว
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินเคยมีประสบการณ์มาก่อน เขาถึงไม่ได้ตกใจกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่
ทุกครั้งที่รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพเจ้าเข้าสู่ร่างกาย มันก็เหมือนกับลำคลองสายเล็กๆ ที่ถูกสายน้ำป่าหลากล้นโถมทับเข้ากระหน่ำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ในลำคลองเหล่านั้นจะถูกพัดพาออกไปด้วยจำนวนน้ำที่มากกว่า และสุดท้ายลำคลองแห่งนั้นก็จะเหือดแห้งไม่เหลืออะไรเลย ต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่จะมีสายน้ำกลับมาเติมเต็มอีกครั้ง
แต่ยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งปรับตัวได้รวดเร็วเท่านั้น
แม้ว่าพลังลมปราณจะหายไปทั้งหมด แต่คงใช้เวลาอีกไม่นาน เดี๋ยวทุกอย่างก็คงกลับมาเป็นปกติดังเดิม
ดีไม่ดีเขาอาจจะเลื่อนระดับพลังได้ด้วยซ้ำ
“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป “ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
กลุ่มคนที่อยู่รอบกายพากันจ้องมองเขาด้วยแววตาสงสัย
หลินเป่ยเฉินพูดจาดีผิดปกติ
หรือว่าการทำหน้าที่ร่างทรงเทพเจ้าครั้งที่สอง จะทำให้สมองของเด็กหนุ่มเลอะเลือนอีกแล้ว?
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินก็พูดออกมาอย่างไร้ยางอายว่า “แต่เท่ากับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ข้าคือวีรบุรุษที่ปกป้องชาวเมืองเอาไว้สินะขอรับ อุ๊วะฮ่าๆๆๆ…”
ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ
ต้องแบบนี้สิ
เจ้าคนเสเพลของพวกเขา
หลินเป่ยเฉินยังเป็นคนชั่วโฉดผู้หลงตัวเองคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ว่าแต่ระหว่างที่ข้านอนหลับอยู่นั้น เมืองหยุนเมิ่งเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” หลินเป่ยเฉินสอบถามพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “แต่ข้าแสดงพลังไปถึงขนาดนั้น คงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องระรานเมืองของเราอีกแล้วกระมัง หุหุหุ หึหึหึ ฮิฮิฮิ ย่อมไม่มี ย่อมไม่มีแน่นอน…”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบ
คณะอาจารย์อาวุโสถึงกับมีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมา
พลัน หลินเป่ยเฉินสังหรณ์ใจไม่ดี เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า “จริงด้วยสิ แล้วนี่เถียนเถียนกับฉุยหมิงโหลวหายไปไหน? ทำไมถึงไม่มาทักทายข้าบ้างเลยขอรับ?”