ตอนที่ 524 เปลี่ยนแปลงการปกครอง
“สองคนนั้นมีปัญหานิดหน่อย ยังออกมาเยี่ยมเจ้าไม่ได้จนถึงบัดนี้”
ฉู่เหินตอบหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เหมือนพวกท่านกำลังปิดบังอะไรข้าอยู่เลยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณและถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ มีเรื่องอะไรที่ยังแก้ไขกันไม่ได้หรือไม่?”
“ท่านพี่ พวกเราเกรงว่าเกิดบอกออกไป ท่านอาจจะตกใจจนเสียชีวิตได้…”
เซียวปิงมีสีหน้าลังเล
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นประทานฝ่ามืออรหันต์เข้าเต็มหน้าผากของเด็กหนุ่มร่างอ้วนเสียงดังเพี๊ยะได้ยินทั่วทั้งห้องรับแขก “จะพูดก็พูดมา… ข้าเติบโตจนถึงขนาดนี้แล้ว จะตกใจอะไรง่ายดายถึงเพียงนั้น หา? หากเจ้ามีปากแล้วไม่พูด ให้ข้าตัดปากของเจ้าทิ้งเสียดีไหม”
เซียวปิงตอบกลับมาอย่างเศร้าโศก “แต่มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นะขอรับท่านพี่ เมืองหยุนเมิ่งของพวกเราโดนยึดแล้ว…”
หา?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักและถามว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
เซียวปิงกำลังจะอ้าปากอธิบาย
ฉู่เหินก็โบกมือบอกว่า “เรื่องนี้เดี๋ยวข้าอธิบายเอง…”
ชายชราเกรงว่าถ้าให้เซียวปิงเป็นคนอธิบาย เรื่องราวที่เลวร้ายอยู่แล้ว จะยิ่งเพิ่มความเร็วร้ายมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“เมืองหยุนเมิ่งของพวกเราถูกยึดแล้ว” ฉู่เหินเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวด้วยประโยคนี้
ประโยคที่ถูกพูดออกมาด้วยความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
“ถูกยึดหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไรกัน?”
ฉู่เหินยิ้มด้วยความขมขื่น “ระหว่าง 3 เดือนที่เจ้าหลับใหลอยู่นั้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและเตรียมตัวเตรียมใจ “อย่างเช่นเรื่องใดบ้างขอรับ?”
“อย่างเช่น…”
ฉู่เหินก็สูดหายใจลึกเช่นกัน “อย่างเช่นว่า ในวันที่มีการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า กองทัพของชาวทะเลได้ตัดสินใจยกกระบวนพลขึ้นโจมตีเมืองของเรา และด้วยความช่วยเหลือของพายุฝนกับเกลียวคลื่นทะเล พวกเขาจึงสามารถบุกยึดเมืองหยุนเมิ่งได้อย่างรวดเร็ว กองทัพของชาวทะเลแผ่ขยายอาณาเขตไปจากเหนือจรดใต้ และใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือน ชาวทะเลก็สามารถยึดครองเมืองสำคัญในมณฑลเฟิงอวี่ได้เกือบหมดสิ้น…”
หลินเป่ยเฉินรับฟังด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
เขาพูดอะไรไม่ออก
เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงวันที่ตนเองหมดสติ วินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไปนั้น หลินเป่ยเฉินจำได้ว่าเห็นกองเรือรบลอยลำอยู่ที่แนวชายฝั่ง พร้อมด้วยคลื่นสึนามิที่กำลังจะถาโถมเข้าสู่ตัวเมือง…
ตกลงว่าชาวเผ่าทะเลประกาศสงครามแล้วอย่างนั้นหรือ?
“สถานการณ์ ณ ตอนนี้ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกไปไม่ได้ “ทางจักรวรรดิได้ตอบโต้กลับบ้างหรือไม่?”
ฉู่เหินยิ้มออกมาด้วยความเศร้าใจ
คนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องก็มีสีหน้าเศร้าใจด้วยเช่นกัน
บางคนถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความหมดหวัง
ฉู่เหินส่ายหน้าและอธิบายต่อไป “กองทัพของจักรวรรดิได้ยกขบวนมาโจมตีตอบโต้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ต้องถอนกำลังพลไปรักษาเขตแดนที่แนวเหนือ เพราะว่าพวกจักรวรรดิจี้กวงอาศัยโอกาสนี้บุกเข้ามาโจมตีเช่นกัน เมื่อต้องรับศึกจากหลายด้าน สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้อีกต่อไป ทางวังหลวงได้ทำเรื่องสงบศึกกับชาวเผ่าทะเลและยินยอมมอบสิบเมืองสำคัญของจักรวรรดิให้ชาวทะเลปกครองเป็นเวลา 100 ปี และหนึ่งในเมืองที่เปลี่ยนมือผู้ปกครองเหล่านั้น ก็มีเมืองหยุนเมิ่งรวมอยู่ด้วย…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
นี่คือเรื่องราวที่เขาคุ้นเคย
มันเป็นเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์จีนโบราณที่เขาเคยร่ำเรียนสมัยอยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่า
แต่นั่นเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกของผู้ฝึกยุทธ์แห่งนี้ มันคือสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์
สงครามระหว่างผู้คนบนแผ่นดินใหญ่และชาวเผ่าทะเล
ต่างฝ่ายต่างสามารถฆ่าแกงกันได้โดยไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องถามสิ่งใดอีกแล้ว เพียงแค่คิดเขาก็ขนลุกไปทั้งตัว นี่หมายความว่าชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้ของชาวเมืองหยุนเมิ่งคงย่ำแย่สุดขีด
“เถียนเถียนกับฉุยหมิงโหลวถูกพวกชาวทะเลจับตัวไปหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา
ฉู่เหินพยักหน้า “พวกเขาถูกจับตัวไปขังคุกใต้ดินของสำนักมือปราบด้วยข้อหาต่อต้านการปกครองของชาวทะเล บัดนี้ต้องติดคุกมาได้ร่วมครึ่งเดือนแล้ว”
“ถูกขังคุกอยู่ในสำนักมือปราบหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ…
ฉู่เหินกล่าวว่า “เมืองหยุนเมิ่งบัดนี้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตการปกครองของชาวทะเล ต่อให้กลุ่มขุนนางผู้ดูแลเรื่องราวต่างๆ ยังคงเป็นมนุษย์เหมือนเดิม แต่อำนาจที่แท้จริงนั้นอยู่ในมือของเหล่าชาวทะเลต่างหาก พวกมนุษย์ก็เป็นแค่เพียงหุ่นเชิดเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินได้ยินเข้าก็ให้รู้สึกคุ้นเคยอีกครั้ง
ยึดครองอำนาจโดยใช้หุ่นเชิดเป็นตัวแทนบริหารงาน?
แสดงว่าต้องมีฝ่ายมนุษย์บางส่วนแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับชาวทะเลแน่ๆ
“พวกชาวทะเลฆ่าคนไปเยอะไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินคิดมาถึงตรงนี้ก็ต้องถามออกมา
ฉู่เหินตอบว่า “ในกลุ่มชาวทะเลด้วยกันเองก็เกิดความขัดแย้งขึ้นเช่นกัน หลายฝ่ายมีมุมมองต่อมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่แตกต่างกันไป ฝ่ายหนึ่งมีเฒ่าทะเลเป็นหัวหน้า เขาอยากเข้ามาปกครองอย่างประนีประนอมมากที่สุด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นมีนามว่าแม่ทัพฉลามอู๋หยา เขาเกลียดชังมนุษย์ยิ่งกว่าอะไรดี อยากจะจับตัวมนุษย์ไปเป็นทาสรับใช้ และอยากจะฆ่ามนุษย์ให้ได้มากที่สุดเมื่อมีโอกาส พวกฉลามลูกน้องถึงกับจับมนุษย์ไปทำเป็นอาหารรับประทานด้วยซ้ำ… ข่าวดีก็คือสถานการณ์ในปัจจุบัน ฝ่ายของเฒ่าทะเลเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนพูดว่า “นี่หมายความว่า เฒ่าทะเลรู้เรื่องการโจมตีเมืองหยุนเมิ่งมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมขอรับ?”
ฉู่เหินตอบว่า “เขาเองก็เป็นแม่ทัพใหญ่ในกองทัพชาวทะเล เดินทางขึ้นมาค้าขายบนแผ่นดินใหญ่หลายสิบปี มีความสนิทสนมกับผู้คนในวังหลวงอย่างแน่นแฟ้น การโจมตีครั้งนี้ย่อมเป็นเฒ่าทะเลวางแผนทั้งหมด รวมถึงพายุฝนที่โหมกระหน่ำใส่เมืองของเรานานนับสิบวันก่อนหน้านั้น ก็เป็นฝีมือของชาวทะเลที่ต้องการเปลี่ยนสภาพเมืองหยุนเมิ่งให้เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ของพวกเขามากที่สุดนั่นเอง ตอนนั้นพวกเรามัวแต่สนใจการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าของคุณชายเหลียนซาน ไม่มีใครฉุกใจคิดว่าหายนะใหญ่กำลังมาถึงตัว เมื่อกองทัพเรือของชาวเผ่าทะเลบุกโจมตี การต่อสู้ดำรงอยู่ได้ประมาณครึ่งวัน ท่านเจ้าเมืองฉุยก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะถูกจับตัวไป…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมหลายวันนั้น เฒ่าทะเลถึงพูดจากับเขาแข็งกระด้างผิดปกติ ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าชายชราแมวน้ำทะเลกำลังวางแผนบุกยึดเมืองของผู้คนบนแผ่นดินใหญ่อยู่นี่เอง
ทุกอย่างถูกวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“อาจารย์ว่าท่านเจ้าเมืองฉุยได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกจับตัวไปใช่ไหมขอรับ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามต่อด้วยความอยากรู้
“เขาถูกพวกชาวทะเลจับตัวไปขังคุก ทางจักรวรรดิพยายามส่งคนมาช่วยเหลือหลายครั้งแต่ก็ล้มเหลว บัดนี้ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านเจ้าเมืองฉุยบ้าง”
พานเว่ยหมินเป็นคนตอบ
หลินเป่ยเฉินนึกถึงบางอย่างได้ขึ้นมา จึงถามว่า “จริงด้วยสิ แล้วอาจารย์ติงอยู่ที่ไหนขอรับ? หรือว่าเขา…”
ชาวทะเลยกพลขึ้นบกโจมตีเมืองของพวกเขา มีหรือที่องค์หญิงแห่งท้องทะเลจะไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน
ถ้าเป็นเช่นนี้ อาจารย์ติงคงทำใจลำบากน่าดู
อาจารย์คงคิดไม่ถึงว่าคนรักของตนเองจะทรยศกันได้ลงคอ
หลินเป่ยเฉินนึกเป็นห่วงติงซานฉือขึ้นมาในทันใด
ฉู่เหินหันกลับไปมองหน้าคนอื่นๆ
สีหน้าของทุกคนบอกถึงความกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง
“คงไม่ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับอาจารย์ของข้าใช่ไหม?”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนด้วยความร้อนใจ
ทุกคนนิ่งเงียบ
สุดท้ายก็เป็นเซียวปิงที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้นหรอกขอรับ ในทางกลับกัน มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับอาจารย์ติงมากกว่า เพราะบัดนี้ อาจารย์ติงซานฉือมีสถานะเป็นท่านเจ้าเมืองคนใหม่ของพวกเราแล้วขอรับ”
หา?
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงจนดวงตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า
อาจารย์ติงของเขาก็กลายเป็นคนทรยศไปด้วยอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทาง
ในสายตาของหลินเป่ยเฉิน ต่อให้ติงซานฉืออยากจะคิดคดทรยศต่อบ้านเมือง แต่กระบี่คุณธรรมที่เหน็บอยู่ข้างเอวคงไม่ยินยอมเด็ดขาด
ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าของฉู่เหินและคนอื่นๆ เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าทุกคนไม่ได้พูดเล่น
หรือว่าอาจารย์ติงจะได้ดิบได้ดีเพราะเป็นคนรักขององค์หญิงแห่งท้องทะเลอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก พลันยิ้มออกมาและพูดอย่างมีความสุข “ถ้าอย่างนั้น นี่หมายความว่าข้าก็มีสถานะเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าเมืองคนใหม่แล้วสิ? ดูเหมือนว่าสถานะของข้าจะสูงส่งมากกว่าเดิมอีกนะเนี่ย”
ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ
แต่จะว่าไปแล้ว
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไม่ถูกต้อง
“เห็นทีข้าคงต้องไปกราบท่านอาจารย์สักหน่อย อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า จากนี้ไป ดูซิว่าในเมืองนี้จะมีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องข้าอีกหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินพูดจบก็เดินออกไปนอกตำหนักไม้ไผ่อย่างรวดเร็ว
ฉู่เหินรีบเดินตามมาคว้าตัวของเขาเอาไว้และพูดว่า “เจ้าเด็กโง่ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ติงซานฉือบัดนี้ ไม่ใช่อาจารย์ติงที่เจ้าเคยรู้จักอีกต่อไป เขาลงมือสังหารคนของเรานับจำนวนไม่ถ้วน ต่อให้เป็นเจ้าไปยืนอยู่ตรงหน้า ก็ไม่แน่ว่าเขาจะจดจำเจ้าได้ด้วยซ้ำ”
ระหว่างที่พูดมาถึงตรงนี้ พลันเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นนอกรั้วของตำหนักไม้ไผ่
ตามมาด้วยเสียงของการต่อสู้และเสียงกรีดร้อง
หลินเป่ยเฉินและคนอื่นๆ รีบวิ่งออกไปดูโดยเร็ว
พวกเขาพบว่ามีนายทหารชาวทะเลจำนวน 20 ชีวิตกำลังรุมทำร้ายกลุ่มลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามด้วยความป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง