บทที่ 54 ตามข้ามา
“เชี่ย!”
หลินเป่ยเฉินอุทานดังลั่นด้วยความตกใจ
เขาเพียงแค่ทดลองดูเล่นๆ แต่กลับปรากฏว่าสามารถใช้งานจริงได้หน้าตาเฉย
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็เปิดเข้าไปในแอปพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์อีกครั้ง
ซึ่งเขาก็พบว่าในขณะนี้มันได้มีรูปภาพสามมิติของกระบี่คุณธรรม ปรากฏอยู่ในตัวแอปเรียบร้อยแล้ว
“มีอะไรหรือ?”
เสียงของเยว่หงเซียงพลันถามออกมาจากพื้นที่ในส่วนลึกของกระโจม
เสียงอุทานของหลินเป่ยเฉินเมื่อสักครู่นี้ดังมากเกินไป ถึงกับปลุกให้เยว่หงเซียงสะดุ้งตื่น
เด็กหนุ่มรีบตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำเป็นปกติมากที่สุดว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่ฝันดีมากไปหน่อย…ขออภัยที่รบกวน”
“ไม่เป็นไร”
แล้วเสียงของเยว่หงเซียงก็เงียบหายไป
หลินเป่ยเฉินสงบสติไม่ให้ตนเองตื่นเต้น
แต่ยิ่งเงียบเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น
แบบนี้ก็สนุกล่ะ
“ที่แท้แอปเก็บไฟล์ออนไลน์ก็ใช้งานได้เหมือนที่เก็บของวิเศษในนิยาย อย่างเช่น แหวนเก็บของ กำลังเก็บของ อะไรทำนองนั้นนี่เอง” หลินเป่ยเฉินพึมพำออกมาแผ่วเบา
นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นปุ่มคำว่า ‘ดาวน์โหลด’ ปรากฏอยู่ข้างรูปกระบี่คุณธรรมอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินกดดาวน์โหลดโดยไม่ลังเล
บังเกิดแสงสว่างวูบวาบขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่กระบี่คุณธรรมจะมาปรากฏขึ้นข้างกายเขาตามเดิม
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็มีสภาพเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของเล่นถูกใจ เขาเที่ยวเก็บของรอบตัวที่อยู่ในกระโจมใส่เข้าไปในพื้นที่เก็บของออนไลน์จนหมดสิ้น
“พื้นที่เก็บข้อมูลขนาด 10 GB ใช้เก็บของได้ไม่น้อยเหมือนกันแฮะ แต่ตอนนี้เราลองเก็บแค่ของที่ไม่มีชีวิต ไม่รู้เลยว่าถ้าเก็บสิ่งมีชีวิตเข้าไปบ้าง มันจะเกิดอะไรขึ้น”
แล้วหลินเป่ยเฉินก็ผุดไอเดียบรรเจิดขึ้นมาในฉับพลัน
เขาหันขวับมองไปยังทิศทางที่เยว่หงเซียงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในส่วนลึกของกระโจม
แต่สุดท้ายแล้ว เด็กหนุ่มก็เลิกล้มความคิด การจะลองเก็บเยว่หงเซียงเข้าไปอยู่ในมือถือของเขา มันฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่
ที่สำคัญ เขายังไม่รู้ว่าการใส่คนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ จะเป็นอันตรายหรือไม่
อีกอย่าง ถ้าเกิดเยว่หงเซียงรู้ว่าเขามีโทรศัพท์มือถือ นั่นก็เท่ากับว่าความลับของหลินเป่ยเฉินจะถูกเปิดเผย จนนำมาสู่เรื่องราวที่ยากต่อการอธิบาย นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบแล้ว เขายังจะตกเป็นเป้าความอิจฉาริษยาของทุกคนเสียเปล่า
“หลินเป่ยเฉิน นายต้องอยู่เงียบๆ อย่าทำตัวโดดเด่นสะดุดตาใครเขาเด็ดขาด”
เด็กหนุ่มกำชับตัวเองอยู่ในใจ
หลังจากนอนเล่นโทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็วางมันไว้ข้างตัว
การอัปเดตระบบในครั้งนี้ ทำให้โทรศัพท์ของเขาได้ติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ลงเครื่องถึงสองแอป นำมาซึ่งความประหลาดใจและทำให้หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดแปลกใหม่ขึ้นมามากมาย
ขณะนี้ เขาได้รู้แล้วว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีแอปแผนที่นำทางและแอปสำหรับเก็บไฟล์ออนไลน์ไม่ต่างจากโทรศัพท์ทั่วไป งั้นก็หมายความว่ามันต้องมีแอปพลิเคชันอื่นๆ เหมือนกันสินะ
อย่างเช่น มันน่าจะมีแอป Spotify / Apple Music / JOOX / Line WeChat / Instagram / Tinder / Twitter / Facebook / Lazada / Shopee หรือไม่ก็ Aliexpress อะไรทำนองนั้น
“หรือว่าพวกแอปที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ ก็มีอยู่ในแอปสโตร์ของโทรศัพท์เครื่องนี้เหมือนกัน?”
“ว่าแต่พวกมันจะใช้งานได้ตามปกติหรือเปล่า?”
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็พบว่าเรื่องนี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
“เสี่ยวจี้ ปกติเจ้าของโทรศัพท์สามารถเลือกแอปแบบสุ่มได้บ่อยแค่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจลองถามผู้ช่วยอัจฉริยะ
“ข้าน้อยยังไม่ทราบข้อมูลเจ้าค่ะ นายท่าน” ผู้ช่วยสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออก
รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกลว่าผู้ช่วยอัจฉริยะอะไรนี่มันต้องเป็นของเก๊แหงๆ
“เสี่ยวจี้ ต้องมีปัจจัยอะไรบ้างในแต่ละครั้ง โทรศัพท์ถึงจะอัปเดตระบบ?” เด็กหนุ่มลองถามต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
“ข้าน้อยยังไม่ทราบข้อมูลเจ้าค่ะ นายท่าน” ผู้ช่วยสาวยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานดังเดิม
หลินเป่ยเฉินก็พูดอะไรไม่ออกเช่นเดิม
“ไร้ประโยชน์ จะไปไหนก็ไปซะ” เขาพูดด้วยความหงุดหงิด
“นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยไม่เข้าใจว่านายท่านกำลังพูดถึงอะไร” ถึงแม้น้ำเสียงของผู้ช่วยสาวจะยังคงอ่อนหวานไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันก็แฝงความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย
“เสี่ยวจี้ กลับไปพักได้แล้ว”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
แล้วสัญลักษณ์ผู้ช่วยส่วนตัวที่ปรากฏบนหน้าจอก็หายวับไป
หลินเป่ยเฉินเริ่มศึกษาฟังก์ชันการใช้งานสองแอปใหม่ที่เพิ่งติดตั้งอีกครั้ง
ราตรีกาลผ่านไปอย่างเงียบสงบ
วันต่อมา…
เป็นวันที่แสงแดดสดใส อากาศสดชื่น
แสงแรกของดวงอาทิตย์ปรากฏตัว ณ เส้นขอบฟ้า
“ถึงเวลาที่ศิษย์ผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคนจะต้องเดินทางออกจากค่ายพักแล้ว”
เสียงของเฉินเจี้ยนหนานผู้เป็นหัวหน้าหน่วยนักรบเมฆาพลันดังกังวานสะเทือนฟ้าดิน
ว่าแล้วบรรดาศิษย์นับร้อยคนก็พากันเดินขบวนออกจากประตูค่าย มุ่งตรงสู่ป่าต้องห้ามอย่างพร้อมเพรียง
ป่าแห่งนี้เป็นเขตต้องห้ามสำหรับมนุษย์ยามกลางคืน
แต่ใช่ว่ายามกลางวันพวกเขาจะปลอดภัย
เนื่องจากภายในป่าเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายอันตรายนานาชนิด
แต่โชคดีที่ป่าต้องห้ามเป็นสถานที่ฝึกฝนของเหล่าศิษย์ ดังนั้นจึงมีจอมยุทธ์ระดับสูงคอยตรวจตราอย่างเข้มงวด ในรัศมี 100 ลี้นี้จะไม่มีสัตว์ร้ายอันตรายเกินกว่าระดับ 3 เข้ามารบกวน เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เด็กพวกนั้น ไม่ได้กระทำเรื่องใดที่โง่เขลาเกินไปนัก พวกเขาก็ไม่น่าจะเสียชีวิตภายในป่าแห่งนี้ได้
ทว่า โลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน
เพราะระหว่างการสอบรอบสุดท้ายก่อนหน้านี้ เคยมีศิษย์คนหนึ่งต้องเสียชีวิตระหว่างการแข่งขันมาแล้วเช่นกัน
“โปรดจำเอาไว้ว่า หากเจ้าตกอยู่ในอันตรายที่ไม่สามารถรับมือได้ ก็ขอให้จงทุบเครื่องรางประจำตัวให้แตกหักเสีย มันจะปลดปล่อยม่านพลังขึ้นมาคุ้มครองร่างกายของเจ้า จากนั้นให้รอคอยพวกเราเข้าไปช่วยเหลือ แต่การทำลายเครื่องรางประจำตัว ก็ทำให้เจ้าหมดสิทธิ์ที่จะแข่งขันต่อไปเช่นกัน เพราะฉะนั้น ก่อนใช้งานจงคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ”
“ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องรางประจำตัวต้องถูกทำลายด้วยผู้เป็นเจ้าของอย่างเดียวเท่านั้น หากใครทำลายเครื่องรางประจำตัวของผู้อื่น คนผู้นั้นก็จะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันเช่นกัน”
“พวกเจ้ามีเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินหนึ่งก้านธูป ให้กลับมารายงานตัวที่ค่ายพัก ส่วนก่อนหน้านั้นห้ามกลับมาเด็ดขาด”
“การแข่งขันของเรา เริ่มขึ้น ณ บัดนี้”
เสียงที่เย็นชาของเฉินเจี้ยนหนานดังสะท้อนไปทั่วผืนป่าต้องห้าม
ศิษย์นับร้อยคนพากันแบ่งแยกออกเป็นหลายสิบกลุ่มแตกต่างกันไป
ในจำนวนนี้ เถาว่านเฉิงกับหลี่เทาซึ่งถือเป็นสองอัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวง มีลูกน้องรายล้อมเป็นจำนวนมากกว่า 20 คน เพียงกวาดตามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งมาก
ส่วนศิษย์ชื่อดังจากสถานศึกษากระบี่หลวงคนอื่นๆ เช่น มู่เหยียนตงและเช่าหย่งหนิงนั้น พวกเขาก็มีบริวารรายล้อมนับสิบคนเช่นกัน
แม้แต่อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่ที่สี่และห้า ก็มีคนติดตามจำนวนไม่น้อย
ในขณะนี้ หลงเหลือเพียงผู้เข้าแข่งขัน 4 คนเท่านั้นที่ยืนอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งก็คือ…
หลิงเฉิน
หลินเป่ยเฉิน
เยว่หงเซียง
และเด็กหนุ่มนามว่าเซินเฟย
“หลินเป่ยเฉิน” หลี่เทาสยายยิ้มสุภาพอ่อนน้อม เอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “เข้าป่าเพียงลำพังนับว่าเป็นเรื่องอันตรายยิ่งนัก เจ้ามาเข้าร่วมกับพวกเราดีหรือไม่? อย่างน้อยยามเจอภัยอันตราย จะได้ช่วยกันรับมือเหล่าสัตว์ร้ายได้อย่างสะดวก”
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะตอบกลับไปว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่คงต้องขอปฏิเสธ”
หลี่เทาหันไปชำเลืองมองหลิงเฉินโดยไม่รู้ตัว เขาจะเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงไม่ได้รบเร้าหลินเป่ยเฉินอีก
เถาว่านเฉิงไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่หันมาจ้องหน้าหลินเป่ยเฉิน และยกมือทำท่าปาดคอข่มขวัญ
ดูเหมือนศิษย์คนอื่นๆ กำลังรอรับคำสั่งจากใครสักคนอยู่
สายตาของพวกเขาจ้องมองมายังหลิงเฉินเป็นตาเดียวกัน ราวกับยกย่องให้นางเป็นผู้บอกว่าจะให้เริ่มต้นการแข่งขันอย่างเป็นทางการได้เมื่อไหร่
ดวงอาทิตย์สีทองลอยตัวอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าของเช้าวันใหม่ รัศมีแสงตะวันอาบไล้ทั่วร่างกายของพวกเขา บรรยากาศในขณะนี้ช่างสวยงามไม่ต่างจากภาพวาดฝีมือจิตรกรเอก
แน่นอนที่สุดว่าหลิงเฉินซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน ย่อมดูสวยงามและสูงส่ง เป็นเทพธิดาประจำภาพวาดโดยปราศจากข้อกังขา
ความสวยงามของนางมีมากเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำพูด
ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นบนโลกมนุษย์ ก็คงต้องบรรยายว่า หลิงเฉินมีความสวยงามระดับวัวตายควายล้มเลยทีเดียว
มู่ซินเยว่ว่ามีความงามอย่างหาตัวจับยากแล้ว แต่ก็ยังเทียบกับความสวยงามของหลิงเฉินไม่ได้สักกระผีก ต่อให้นางมายืนอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ หลายคนก็ยังเข้าใจว่าหลิงเฉินเป็นเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ นางมีความงามเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ และสูงส่งเกินกว่าจะเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา
เช้าวันนี้ หลิงเฉินมีสีหน้าเย็นชาดั่งเจ้าหญิงจอมเผด็จการอีกครั้ง
ดูเหมือนนางจะมีสองบุคลิกจริงๆ
“ถ้าเป็นโรคสองบุคลิก ก็แปลว่าเป็นโรคจิตสิวะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความกลุ้มใจ
ในฉับพลันนั้น จู่ๆ หลิงเฉินก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ที่ทำเอาคนฟังขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “เจ้าน่ะ ตามข้ามา”