ตอนที่ 527 หลานเขยสมองเสื่อมของข้า
จวนผู้ว่าหลังใหม่มีลักษณะอาคารเหมือนป้อมปราการขนาดเล็ก
นับเป็นสถาปัตยกรรมพื้นฐานของชาวทะเล
ป้อมปราการสีดำทมิฬนั้นล้อมรอบไปด้วยปะการังสีดำ ค่ายอาคมถูกวางเอาไว้รอบป้อมปราการ เช่นเดียวกับบนพื้นผิวของทะเลสาบ ทำให้เมื่อก้าวเข้าสู่อาณาเขตจวนผู้ว่าแล้ว อากาศที่ไหลเวียนอยู่ด้านในก็จะมีแต่ความเปียกชื้น เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตของชาวทะเลมากขึ้น
ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่ประมาณ 20 ลี้ มีเรือลำเล็กลำน้อยลอยลำแล่นผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา
และในทะเลสาบก็มีอสูรทะเลหลายตัวแหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำ
เหนือทะเลสาบเป็นสะพานสีขาวความยาวหลายพันเซี๊ยะทอดผ่านอยู่ด้านบน ไม่มีใครทราบเลยว่าสะพานแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากโครงกระดูกของสัตว์ทะเลชนิดไหน แต่เห็นได้ชัดว่ากระดูกสันหลังของมันถูกนำมาทำเป็นพื้นสะพาน ส่วนกระดูกซี่โครงก็นำมาทำเป็นราวกั้นสะพานเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่น เพียงมองดูจากระยะไกล ก็ให้ความรู้สึกที่สวยงามแต่น่าขนลุกอย่างประหลาด
บนท้องฟ้ามีก้อนเมฆดำลอยต่ำตลอดเวลา ปิดบังแสงแดดไม่ให้ส่องผ่านลงมาบนพื้นผิวทะเลสาบ และเมื่อมีแสงสว่างเพียงน้อยนิดเช่นนี้ ทะเลสาบตรงหน้าจึงดูมืดทะมึนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกออกแบบมาเพื่อการดำรงชีวิตของชาวทะเล
หลินเป่ยเฉินเกือบจะลืมไปแล้วว่านี่คือเมืองหยุนเมิ่งที่เขาเคยรู้จัก
ชาวทะเลได้เปลี่ยนแปลงเมืองหยุนเมิ่งจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป
ด้านนอกจวนผู้ว่า เป็นลานจัตุรัสขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุคนได้นับหมื่นคน
ทั้งสี่ด้านของลานจัตุรัสนั้นมีป้อมปราการประจำการอยู่ทุกจุด นอกจากนั้นก็ยังมีแท่นบูชาและบ่อน้ำที่ทอดนำตรงลงไปสู่ก้นทะเลสาบอีกด้วย…
แน่นอนว่าฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของลานจัตุรัสแห่งนี้ ได้จุดกองไฟไว้เป็นจำนวนมาก
ศพมนุษย์ถูกแขวนอยู่เหนือกองไฟเหล่านั้น
ศพเหล่านี้กำลังถูกย่างไฟ
พวกเขาล้วนเป็นนักโทษที่ถูกประหารชีวิตด้วยคดีที่แตกต่างกัน
ต้องไม่ลืมว่าชาวทะเลเหล่านี้อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลมาตลอด พวกเขาจึงยังมีความป่าเถื่อนรุนแรงของสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ และไม่ยอมรับความศิวิไลของสังคมสมัยใหม่
บัดนี้ ในลานจัตุรัสกำลังมีการไต่สวนคดี
ผู้ใช้ค่ายอาคมประจำเผ่าชาวทะเลเป็นผู้ควบคุมการถ่ายทอดสด
การไต่สวนคดีในวันนี้ได้รับการถ่ายทอดสดไปทั่วเมืองใหญ่ที่อยู่ใต้การปกครองของชาวทะเล…
และย่อมมีการถ่ายทอดสดไปทั่วเมืองหยุนเมิ่งด้วยเช่นกัน
และผู้ที่ถูกจับตัวมาไต่สวนคดีในวันนี้ มีนามว่าอานมู่ซี เขาเป็นนักหลอมโอสถรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วมณฑลเฟิงอวี่ในเวลาเพียงไม่นาน
นักหลอมโอสถคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาได้ ก็เพราะจ่ายเงินค่าโฆษณา ‘ยาบำรุงตราหมีขี่เสือ’ ให้แก่หลินเป่ยเฉินในการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน โดยสรรพคุณเด่นที่ทำให้ยาบำรุงของเขาโด่งดังไปทั่วมณฑลก็คือสรรพคุณที่ว่า ‘เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างพลังทางเพศ สามารถทำศึกกับคู่ขาได้ทั้งวันทั้งคืน’
ว่ากันว่าหลังจากที่หลินเป่ยเฉินโฆษณาตัวยาให้เขาเพียงวันเดียว ชีวิตของอานมู่ซีก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย
แต่เมื่อเดือนที่แล้ว อยู่ดีๆ ชาวทะเลกลับจับตัวพวกของอานมู่ซีมาทั้งสิ้น 36 คน ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องในร้านขายยา ลูกศิษย์ในการหลอมโอสถ หรือแม้แต่ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่หมาดๆ ของเขา ต่างก็ถูกจับตัวมาหมดสิ้นด้วยข้อหาที่ว่าเป็น ‘บุคคลผู้ส่งเสริมและสนับสนุนการก่อกบฏ…’
และเหตุผลที่เถียนเถียนกับฉุยหมิงโหลวต้องถูกจับกุมตัวไปขังคุกใต้ดิน ก็เพราะพวกเขาพยายามเรียกร้องให้ทางจวนผู้ว่าปล่อยตัวอานมู่ซีเป็นอิสระนั่นเอง
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนแห่งการถูกทรมานผ่านพ้นไป อานมู่ซีและพรรคพวกบริวารถูกนำตัวออกมาที่ลานไต่สวนคดี พวกเขามีรอยแผลเป็นปกคลุมทั่วร่างกาย และทุกคนต่างก็ถูกตัดสินโทษประหารชีวิต
การประหารชีวิตของชาวทะเลไม่ใช่การตัดหัว จับแยกร่าง หรือยิงธนูใส่เหมือนมนุษย์
แต่เป็นการนำตัวไปให้อสูรทะเลที่มีนามว่าทันตะมัจฉากัดกินจนตาย
ว่ากันว่าสำหรับชาวทะเลแล้ว นี่คือวิธีบูชายัญที่ดีที่สุดต่อเทพเจ้าของพวกเขา
อานมู่ซีและบริวารทั้ง 36 ชีวิตถูกจับขังอยู่ในค่ายอาคมทางฝั่งตะวันออกของลานไต่สวนคดี และกำลังรอคอยคำสั่งให้ถูกนำตัวไปประหารชีวิต
นายทหารที่เป็นมนุษย์และชาวทะเลยืนแยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง
“นักหลอมโอสถอาน ข้าจะให้โอกาสท่านเป็นครั้งสุดท้าย ส่งมอบสูตรยาบำรุงตราหมีขี่เสือของท่านมาซะ แล้วความผิดทั้งหมดของท่านจะได้รับการให้อภัย รวมถึงท่านจะได้รับสัมปทานให้เปิดร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลเฟิงอวี่อีกด้วย… แต่หากท่านยังปากแข็งไม่ยอมบอกสูตรอีกต่อไป ท่านก็จะต้องพบกับการถูกกัดกินโดยอสูรทะเลแล้ว”
การไต่สวนคดีครั้งนี้ควบคุมโดยขุนนางผู้เป็นหุ่นเชิดของชาวทะเล
เขาเป็นชายหนุ่มวัย 30 ปี มีนามว่าเฉียนหยวนกัง ก่อนหน้านี้เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตัวเล็กตัวน้อยในจวนผู้ว่า ทำอย่างไรก็ไม่สามารถไต่เต้าเลื่อนตำแหน่งได้สักที เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในเมืองหยุนเมิ่ง ขุนนางเฉียนจึงย้ายฝั่งมาทำงานให้แก่ชาวเผ่าทะเลอย่างรวดเร็ว และบัดนี้ก็มีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางหัวหน้าศาลประจำเมือง มีสถานะสูงส่งและเป็นที่หวาดกลัวของบุคคลทั่วไป
อานมู่ซีเงยศีรษะขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
วันเวลาแห่งการทรมานและความเจ็บปวดที่ผ่านพ้นไป ทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นเถ้าแก่ร้านขายยามีสภาพอ่อนล้าอิดโรย เส้นผมบนศีรษะยุ่งเหยิง แต่ทว่า ดวงตาของเขายังคงแจ่มใสยามที่จ้องมองไปยังเฉียนหยวนกังอย่างไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่นิดเดียว
อานมู่ซียิ้มและไม่พูดอะไร
แต่มันเป็นรอยยิ้มเหยียดหยามที่เสียดแทงหัวใจเฉียนหยวนกังยิ่งนัก
“ดื้อด้านอะไรเช่นนี้” เฉียนหยวนกังยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “พวกเรานำตัวภรรยาของเขาโยนลงไปในบ่อโลหิต ทำให้เขาได้เห็นกับตาของตนเองว่าการเสียชีวิตเพราะถูกทันตะมัจฉากัดกินจนตาย มันทรมานมากเพียงใด”
อสูรทะเลที่ถูกพูดถึงเป็นปลาที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่เกล็ดบนลำตัวของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ฟันในปากคมยิ่งกว่ากระบี่ สามารถกัดขาดได้แม้แต่เกราะเหล็ก แล้วเนื้อหนังมนุษย์จะเหลือรอดได้อย่างไร?
นี่คือสายพันธุ์ปลาที่อยู่ในทะเลลึก ไม่ทราบว่าต้องมีอสูรทะเลยักษ์ใหญ่เสียชีวิตภายใต้การถูกรุมกินด้วยฝูงปลาชนิดนี้มากเท่าไหร่แล้ว
เหล่าชาวทะเลยกย่องให้ปลาสายพันธุ์นี้เป็นเสมือน ‘ฟัน’ ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
เมื่อพวกเขาบูชายัญเหยื่อให้แก่ ‘ฟัน’ ของท่านเทพเจ้า เทพเจ้าก็จะคอยปกป้องพวกเขาตลอดไป
หญิงสาวหน้าตาสะสวยวัย 20 กว่าปีผู้หนึ่งถูกลากตัวออกมาจากกลุ่มนายทหารที่เป็นมนุษย์ และนางก็ถูกนำตัวไปยืนอยู่ที่บ่อน้ำสีเลือด ซึ่งห่างออกไปประมาณ 20 วา
ผิวน้ำในบ่อเป็นประกายระยิบระยับ
มีปลาสีเงินจำนวนมากกระโดดขึ้นมาบนผิวน้ำ
ระหว่างที่มันอ้าปากงับอากาศ เสียงฟันในปากที่กระทบกัน ไม่ต่างไปจากเสียงของการลับมีดแต่อย่างใด
“ไม่นะเจ้าคะ นายท่านช่วยข้าด้วย ได้โปรดช่วยข้าด้วย…” หญิงสาวพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่นางกลับไม่สามารถหลุดออกมาจากเงื้อมมือของนายทหารในชุดเกราะกระดองเหล่านั้นได้เลย
นางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา อานมู่ซีแต่งงานกับนางได้ไม่นานหลังมีชื่อเสียงโด่งดัง หญิงสาวยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตเสพสุขอย่างที่ควรจะเป็น ก็ต้องถูกจับตัวมาทรมานอยู่ในคุกใต้ดิน และบัดนี้ ก็กำลังจะถูกโยนลงไปให้เป็นอาหารปลาวิปริตในบ่อโลหิต… นางจึงหวาดกลัวแทบตายแล้ว
หญิงสาวพยายามหันมามองหน้าอานมู่ซี
ชายหนุ่มผู้เป็นเถ้าแก่ร้านขายยาตัวสั่นเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หญิงผู้นี้คือรักแท้ของเขา
แต่ถ้าเขาส่งสูตรยาบำรุงตราหมีขี่เสือไปให้ชาวทะเล…
ไม่มีทาง
ต่อให้นี่เป็นยาบำรุงกำลังธรรมดา อานมู่ซีก็ไม่มีทางมอบสูตรยาให้แก่ศัตรูของบ้านเมืองเด็ดขาด
อย่าว่าแต่ยาบำรุงของเขาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยเพิ่มพูนสมรรถภาพทางเพศให้แก่ผู้รับประทานได้จริงๆ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็เพียงพอที่ชาวทะเลจะสามารถสนุกสนานได้อย่างลืมโลก ด้วยเหตุนี้ มันจึงกลายเป็นตัวยาที่มีความสำคัญต่อชาวทะเลอย่างยิ่งยวด
ถ้าเขาส่งมอบสูตรการหลอมยาให้แก่พวกมันแล้ว อานมู่ซีก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุหายนะใหญ่หลวงขนาดไหนในจักรวรรดิเป่ยไห่
ในดวงตาของเถ้าแก่ร้านขายยามีน้ำตาคลอเต็มเบ้า
บัดนี้ เขาได้แต่ทนมองนายทหารชุดเกราะกระดองกำลังจับภรรยาสาวโยนลงไปในบ่อโลหิต หัวใจของอานมู่ซีกระตุกด้วยความเจ็บปวดทรมาน ยิ่งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอ้อนวอนของภรรยา อานมู่ซีก็ไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
แต่ในทันใดนั้น….
วูบ!
เงาคนบินโฉบผ่านไป
เส้นผมและหนวดเคราสีขาว ผิวสีทองแดง ร่างกายกำยำ สวมเสื้อคลุมตัวหลวมลายทางซึ่งดูแล้วเหมือนชุดนอนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าชายชราคนนี้เพิ่งจะลุกขึ้นมาจากเตียงนอนก็ไม่ปาน เขาเอื้อมมือออกไปเหนือบ่อโลหิตและสามารถคว้าตัวหญิงสาวเอาไว้ได้ทันเวลาอย่างเฉียดฉิว…
“หัวใจของพวกเจ้าทำจากอะไร สตรีที่งดงามเช่นนี้ พวกเจ้าจะโยนให้ปลากินได้อย่างไร?”
ชายชราทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่บนพื้นดิน
เขาก็คืออดีตอาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีผู้ปกครองจวนบุปผานั่นเอง
หลิงไท่ซวีประคองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะหันมาขึ้นเสียงใส่เฉียนหยวนกังอย่างไม่ชอบใจ “คนแซ่เฉียน เจ้าปัญญาอ่อนหรือไม่ สตรีนางนี้กำลังตั้งครรภ์ เจ้าสามารถโยนนางให้เป็นอาหารปลาได้อย่างไร เหอเหอเหอ การกระทำของเจ้าในวันนี้ ถือว่าผิดกฎสวรรค์ ต่อให้ตายไปก็ต้องตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
“ผู้อาวุโสหลิง… ไท่ซวี ท่านกล้าดีอย่างไรมาขัดขวางการประหารชีวิต?” เฉียนหยวนกังลุกขึ้นยืนและประสานมือทำความเคารพหลิงไท่ซวีด้วยความเคยชิน แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าสถานะของตนเองไม่ได้ต่ำต้อยเหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนั้นจึงเปลี่ยนเสียงพูดแข็งกระด้างมากขึ้น “ตาเฒ่า เจ้าคิดก่อกบฏหรืออย่างไร พวกเราจับตัวมันไว้…”
เมื่อหัวหน้าศาลยกมือโบกสะบัด
บรรดานายทหารชาวทะเลที่อยู่โดยรอบก็พุ่งเข้ามาห้อมล้อมชายชราโดยทันที
หลิงไท่ซวียิ้มกริ่มและพูดว่า “สุนัขอย่างไรก็เป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ… แต่วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อทำตัวเป็นวีรบุรุษหรอกนะ ข้ามารอต้อนรับหลานเขยสมองเสื่อมของข้าต่างหาก ฮ่าฮ่าฮ่า เขามาถึงที่นี่แล้ว พวกเจ้าคิดเองก็แล้วกันว่าจะรับมือเขาอย่างไรดี”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
ก็บังเกิดเสียงเป่าแตรเป็นสัญญาณเตือนดังขึ้นจากสะพานโครงกระดูกฝั่งตะวันออก
แล้วเสาน้ำหลากสีสันก็พุ่งตัวขึ้นมาระเบิดกระจายในอากาศ
ปรากฏนายทหารในชุดเกราะกระดองผู้หนึ่งกระโดดลงจากแผ่นหลังของปลายักษ์และวิ่งเข้ามาคุกเข่าข้างเดียวรายงานต่อเฉียนหยวนกังว่า “กราบเรียนใต้เท้าเฉียน เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองหยุนเมิ่ง บัดนี้ หลินเป่ยเฉินได้นำขบวนกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมาก บุกมายึดสะพานข้ามฝั่งของพวกเราไปครอบครองแล้วขอรับ…”