ตอนที่ 529 ความหวังทั้งมวล
“อาจารย์รู้รายละเอียดเหล่านี้ได้อย่างไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถาม
ฉู่เหินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าต้องเผชิญหน้ากับพวกเผ่าพันธุ์ฉลามมาตลอด 3 เดือน แล้วจะไม่ให้รู้รายละเอียดได้อย่างไร?”
“อ้าว?” หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต “แล้วอย่างนั้นวันนี้อาจารย์มีแผนการอย่างไรบ้างขอรับ?”
ฉู่เหินเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มพยายามทำความเข้าใจ เขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกแล้ว “แผนการในวันนี้เรียบง่ายมาก พวกเราทุกคนที่ร่วมการเดินขบวนประท้วงในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเดียวคือจะต้องทวงคืนสิทธิขั้นพื้นฐานให้แก่ชาวเมืองให้ได้ หรือต่อให้ต้องตาย พวกเราก็จะตายด้วยกัน”
“ต่อให้วันนี้จะไม่เกิดเรื่องที่สถาบันของพวกเรา แต่พวกข้า 3 คนก็ตั้งใจจะชวนเจ้ามาร่วมการเดินขบวนด้วยกันอยู่แล้ว นับเป็นโชคดีของทุกคนที่เจ้าตัดสินใจออกหน้าด้วยตนเอง”
พานเว่ยหมินพูดออกมาด้วยความเยือกเย็นและจริงใจ
“โอ้โห พวกอาจารย์นี่ร้ายกาจไม่ใช่เล่นเลยนะขอรับ ข้าได้สติขึ้นมายังไม่ทันมีเวลาได้เข้าห้องน้ำปัสสาวะเลยด้วยซ้ำ พวกท่านก็คิดที่จะเรียกข้าออกมาใช้งานแล้ว รอให้ข้าฟื้นคืนพลังกลับมาก่อนก็ไม่ได้ หรืออย่างน้อย ให้ข้าได้มีเวลาทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ของตัวเมืองก่อนก็ยังดี…”
หลินเป่ยเฉินสบถออกมายาวเหยียดด้วยความไม่พอใจ
หลิวฉีไห่ส่ายหน้าและพูดว่า “พวกเรารอไม่ได้อีกแล้ว ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา พวกเรารอคอยมานานมากเกินไป มีผู้คนต้องตกตายมากเกินไป ถ้าให้รอนานไปมากกว่านี้ ข้าก็ต้องทนเห็นชาวเมืองหยุนเมิ่งเสียชีวิตไปอีกไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าขอตายเสียยังจะดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ต่อให้เขากำลังรู้สึกเหมือนตนเองถูกหลอกใช้ แต่เด็กหนุ่มก็โกรธไม่ลง
ไม่รู้เหมือนกันว่าหลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองเป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่
เขารู้สึกผูกพันกับเมืองริมทะเลแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่แข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ตอนที่แข่งขันจตุรมิตรสามัคคี ไปจนถึงการประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพันระหว่างอาจารย์ติงกับจูปี้ฉี มาจนถึงการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า ตลอดเวลาทั้งหมดนั้น ชาวเมืองหยุนเมิ่งต่างก็เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกับหลินเป่ยเฉินโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด
หลินเป่ยเฉินยังคงจำได้ดีถึงความรู้สึกที่ชาวเมืองนับหมื่นคนปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องตะโกนเรียกชื่อเขา
ชาวเมืองหยุนเมิ่งปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ
ทุกคนไม่ได้ต่างไปจากญาติพี่น้องของหลินเป่ยเฉินตอนที่เขายังอยู่บนโลกมนุษย์ใบเดิม ชาวเมืองที่นี่ต่างก็ใช้ชีวิตอย่างขยันขันแข็ง ลงทุนทำงานหนักเพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมในอนาคต
น่าเสียดายที่เมืองแห่งนี้กลับถูกยึดครอง
ชีวิตของพวกเขาต้องตกไปอยู่ในกำมือชาวทะเล
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวเมืองไม่อยากรอคอยอีกต่อไป
นี่อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็ได้
ทันใดนั้น ฉู่เหินก็พูดเสริมขึ้นมาว่า “เวลาไม่เคยรอคอยพวกเรา”
พวกเขาไม่สามารถรอคอยได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้สติ ไม่ทราบเลยว่าพวกเขาต้องรอคอยด้วยความร้อนรนใจขนาดไหน?
หลินเป่ยเฉินเปรียบเสมือนเป็นความหวังของหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็คาดหวังและเชื่อมั่นในตัวเขา
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไร
“วิหารประจำเมืองของเรายังอยู่ที่เดิมหรือไม่ขอรับ?”
หลังจากหยุดเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ถามต่อ “แล้วพวกนักพรตหญิงชินยังปลอดภัยดีหรือไม่?”
“ทุกคนที่เคยอยู่บนวิหารประจำเมืองย้ายไปอยู่ที่วิหารหลวงกันหมดแล้ว” หลิวฉีไห่เป็นคนให้คำตอบ “ส่วนเรื่องวิหารของพวกเราที่เคยอยู่บนยอดเขา ได้ถูกพวกชาวทะเลวางเพลิงเผาไหม้ไปหมดสิ้น”
“อ้าว ก็ไหนว่านักพรตหญิงชินมาดูแลข้าทุกวันไม่ใช่หรือ…”
หลินเป่ยเฉินตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นักพรตหญิงชินแอบแฝงตัวอยู่ในเมือง และทันทีที่เจ้าฟื้นขึ้นมา นางก็รีบหลบหนีออกไปแล้ว” ฉู่เหินกล่าว
หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า
ปรากฏว่าสถานะของนักพรตหญิงชินขณะนี้ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
“ถ้าอย่างนั้น ภูเขาเสี่ยวซีของข้า…”
หลินเป่ยเฉินนึกเป็นห่วงเหมืองแร่หินบูชาของตนเองขึ้นมาจับใจ
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็มีเหงื่อออกเต็มใบหน้า
ระหว่างที่เขาสลบไปถึง 3 เดือนนี้ พวกชาวทะเลไม่เข้าไปขโมยแร่หินออกมาหมดเหมืองของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้มีอากวงคอยวางกับระเบิดเฝ้าดูแล แต่มันจะสามารถปกป้องภูเขาเสี่ยวซีจากกองทัพของชาวทะเลได้อย่างไร?
ดีไม่ดีป่านนี้อากวงอาจจะถูกพวกชาวทะเลจับมาย่างกินแล้วก็ได้
เฮ้อ นับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เสียหายใหญ่หลวงจริงๆ
ตั้งแต่ได้สติฟื้นคืนขึ้นมา หลินเป่ยเฉินมัวแต่สนใจเรื่องราวเหตุการณ์บ้านเมืองที่พวกของฉู่เหินเป็นคนบอกเล่า จนลืมเลือนที่จะสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเรื่องราวของตนเองเสียสนิท…
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แร่หินที่อยู่ในเหมืองเหล่านั้นยังคงปลอดภัยดี“ ฉู่เหินหัวเราะออกมาเล็กน้อย “แต่ความดีความชอบทั้งหมดนั้น ต้องยกให้กับนักพรตหญิงชินเพียงผู้เดียว เพราะหนึ่งในข้อตกลงที่ทำให้นักบวชทุกคนยอมถอนตัวออกไปจากเมืองหยุนเมิ่งก็คือ ชาวทะเลรับปากว่าจะไม่ไปยุ่งกับภูเขาเสี่ยวซีของเจ้าเป็นอันขาด”
หลินเป่ยเฉินยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินดังนั้น
ยังมีอีกกี่เรื่องราวกันนะที่เขายังไม่รู้?
พานเว่ยหมินส่งเสียงกระซิบว่า “ข้าเกือบจะลืมบอกเรื่องนี้กับเจ้าไปสนิทเลย มันเป็นเรื่องราวการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน นักพรตหญิงชินสังหารนักบวชชาวทะเลตายไป 3 คน ทำให้พวกชาวทะเลตกตะลึงเป็นอย่างมาก และสุดท้ายก็ต้องยอมลงนามในสัญญาสงบศึก”
ให้ตายสิ
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
นักพรตหญิงชินจะอย่างไรก็ยังคงเป็นนักพรตหญิงชินไม่เปลี่ยนแปลง
พูดมาถึงตรงนี้ แม่ทัพฉลามคลื่นทมิฬผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดก็ระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน พูดขึ้นว่า “หากพวกของหลินเป่ยเฉินอยากกลับออกไปจากที่นี่แบบมีชีวิต พวกมันก็ต้องยอมคุกเข่าคำนับเทพเจ้าแห่งท้องทะเลของพวกเราเสียก่อน มิเช่นนั้น ข้าจะสังหารพวกมันให้ตกตายตามกันไปทุกๆ คน”
กลุ่มผู้ประท้วงหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก
แต่ไม่มีใครยอมคุกเข่า
เฝิงหลุนที่มีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดพันอยู่รอบศีรษะพลันระเบิดเสียงคำรามออกมาว่า “พวกเราเป็นผู้ศรัทธาต่อเทพีกระบี่ ไม่มีทางทรยศด้วยการก้มหัวคำนับให้แก่เทพเจ้าองค์อื่นแน่นอน ถ้าพวกเจ้าอยากจะฆ่าพวกเรา ก็จงลงมืออย่าเสียเวลาอีกเลย… “
พูดยังไม่ทันจบ
ป๊อก!
‘แม่ทัพฉลามคลื่นทมิฬ’ ยกมือขึ้นดีดนิ้วเล็กน้อย
ลำแสงสีดำพุ่งวาบในอากาศ
ลำแสงพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงหลุน
เด็กหนุ่มย่อมปราศจากเรี่ยวแรงต่อสู้และไม่สามารถรับมือได้เลยแม้แต่น้อย
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ในบริเวณนั้น
หลินเป่ยเฉินสามารถตั้งรับได้เร็วไวและกระแทกฝ่ามือของตนเองปะทะใส่ลําแสงของแม่ทัพฉลามคลื่นทมิฬได้อย่างทันท่วงที
มวลอากาศสั่นสะเทือน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่ามือของตนเองสั่นเทาเล็กน้อย
ปรากฏว่าลำแสงสายนั้นมันเป็นลำแสงจากเกล็ดปลาเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินคว้าเกล็ดปลาชิ้นนั้นกำอยู่ในมือ ก่อนที่เขาจะใช้กำปั้นของตนเองบดขยี้เกล็ดปลาให้แหลกเป็นผุยผง เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เงยหน้ามองไปยังแม่ทัพฉลามไร้พ่าย และพูดว่า “ได้ยินว่าเจ้าชอบกินมนุษย์ด้วยใช่ไหม ?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยายิ้มอวดฟันขาววับราวกับใบมีด กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “ข้ารู้จักเจ้า คนเสเพลประจำเมืองหยุนเมิ่ง บุตรชายของอดีตขุนนางนักรบแห่งสวรรค์หลินจิ้นหนาน ฮ่าฮ่าฮ่า นอกจากนี้ เจ้ายังมีสถานะเป็นร่างทรงเทพเจ้า… รับรองได้ว่าเนื้อของเจ้านั้นจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าเจ้ามีครีบหรือไม่?”
“หืม?”
แม่ทัพฉลามหยุดชะงักไปเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าส่วนที่อร่อยที่สุดของฉลาม ก็คือครีบของพวกมัน ดังนั้น ข้าจึงสงสัยใจเป็นอย่างยิ่งว่าแล้วถ้าเป็นฉลามกลายพันธุ์อย่างพวกเจ้า มันจะอร่อยเหมือนกันหรือไม่ บางทีถ้าข้าสังหารเจ้าและนำครีบของเจ้าไปทำซุปหูฉลามให้หมาป่าน้ำแข็งของข้ารับประทาน ยามที่มันคลอดลูกออกมา ลูกหมาป่าตัวนั้นจะต้องแข็งแรงอย่างแน่นอน…”
“เจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย…” แม่ทัพฉลามอู๋หยาแผดเสียงคำรามในลำคอด้วยความฉุนโกรธ
“ใจเย็นก่อน แม่ทัพอู๋หยา อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม” เฒ่าทะเลกล่าวแทรกขึ้น “สั่งให้ลูกน้องของเจ้าถอนกำลังกลับไปเสีย วันนี้องค์หญิงเสด็จเยือนจวนผู้ว่า พวกเราไม่ควรก่อปัญหาให้วุ่นวายมากความ”
“แม่ทัพแมวน้ำ นี่เจ้ากำลังเข้าข้างพวกมนุษย์หรือนี่ ข้าละอับอายในตัวเจ้าเหลือเกิน” หัวหน้าหน่วยกองทัพฉลามหัวเราะเยาะ “เจ้าไม่มีค่าคู่ควรที่จะเป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลอีกต่อไป และเจ้าไม่มีค่าคู่ควรที่จะสวมใส่ชุดเกราะของนักรบทะเลอีกแล้ว”
เฒ่าทะเลหัวเราะในลำคออย่างไม่ยี่หระ “ฉลามบ้าเลือดอย่างเจ้าสติปัญญาโง่งม จะไปรู้จักการมองการณ์ไกลได้อย่างไร และถ้าเจ้าตั้งใจจะขยายอาณาเขตเพื่อรับใช้เทพเจ้าแห่งท้องทะเลจริงๆ เจ้าก็ควรหาทางประนีประนอมกับพวกมนุษย์ให้มากที่สุด เพราะอย่างไรแล้ว การฆ่าฟันก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาได้ยินดังนั้นก็กำลังจะส่งเสียงคำรามตอบโต้…
“พอได้แล้ว หยุดโต้เถียงกันสักที”
ลำแสงสีทองเปล่งประกายสว่างไสวพร้อมกับที่น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นดังกังวานไปทั่วบริเวณ
นี่คือเสียงพูดขององค์หญิงแห่งท้องทะเล
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็จดจำได้ทันทีว่านี่คือเสียง ‘อาจารย์หญิง’ ของเขาไม่ผิดแน่!!!