ตอนที่ 533 เจ้าเด็กไม่เอาไหน…
“ช้าก่อน”
ฉู่เหินเดินออกมาจากกลุ่มคนและพูดว่า “แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของชาวทะเลแน่ใจหรือว่าอยากต่อสู้กับเด็กหนุ่มที่เพิ่งหายป่วยกลับมา?”
เด็กหนุ่มที่เพิ่งหายป่วย?
หมายถึงเขาหรือเปล่านะ
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าฉู่เหิน
เขาป่วยอย่างนั้นหรือ?
ทำไมถึงไม่รู้ตัวเลยล่ะ?
ฉู่เหินยังคงจ้องมองเข้าไปที่ดวงตาของแม่ทัพฉลามอู๋หยา
แม่ทัพฉลามยักษ์หยุดชะงักเล็กน้อย
“มนุษย์แขนเหล็ก เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
สีหน้าของอู๋หยาทั้งดุดันทั้งอำมหิต แววตาที่จ้องมองมานั้น ทำให้ใครหลายคนต้องก้มหน้ามองพื้นไม่อยากสบตาด้วย
แต่ฉู่เหินกลับจ้องมองกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างพิธีตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า บัดนี้เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซ้ำเมื่อสักครู่ เขาใช้กระบี่เอาชนะท่านขุนพลไต้เค่อ ตามด้วยใช้กำปั้นเอาชนะท่านขุนพลหม่าเค่อ เรี่ยวแรงและพละกำลังของหลินเป่ยเฉินย่อมลดลงไปมาก”
“หึหึ นับว่าท่านแม่ทัพอู๋หยาวางแผนมาได้แยบยลเหลือเกิน ท่านสังเวยชีวิตลูกน้องของตนเองเพื่อเป็นการบั่นทอนกำลังของหลินเป่ยเฉิน เมื่อเขาเหนื่อยล้าแล้ว ท่านถึงออกหน้ามาจัดการในท้ายที่สุด แต่การกระทำเช่นนี้ ไม่ถือเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของชาวทะเลเสื่อมเสียเกินไปหรือ?”
พูดจบ ฉู่เหินก็ส่งเสียงหัวเราะจากในลำคอ
แม่ทัพฉลามอู๋หยาหรี่ตาลง
“เจ้ากำลังจะกล่าวหาว่าข้าตั้งใจเอาเปรียบหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นสินะ?”
อู๋หยาเป็นฝ่ายระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจากในลำคอบ้าง “มนุษย์ผู้โง่เขลา คิดหรือว่าคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคจะสามารถเปลี่ยนใจข้าได้?”
ฉู่เหินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ย่อมเปลี่ยนได้ ถ้าท่านเป็นนักรบผู้รักความยุติธรรม”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาส่งเสียงหัวเราะฮ่าฮ่าและพยักหน้า
“ประเสริฐ ข้าขอยอมรับว่าเจ้าทำได้สำเร็จ”
รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า แม่ทัพฉลามผู้เกรียงไกรของชาวทะเลโคจรพลังปราณธาตุน้ำแข็ง และพูดเน้นย้ำทีละคำด้วยเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ “แต่ข้าไม่ได้เปลี่ยนใจเพราะห่วงภาพลักษณ์ของตนเอง ข้าเปลี่ยนใจเพื่อปกป้องชื่อเสียงของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลไม่ให้แปดเปื้อนมลทินต่างหาก เพราะฉะนั้น ข้าจะให้เวลาหลินเป่ยเฉินได้พักฟื้นก่อน 10 วัน หลังจากนั้น ขอให้พวกเจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้งและเราจะมาต่อสู้กันอย่างยุติธรรม แต่ขอบอกก่อนเลยนะว่า ต่อให้เขาใช้เวลาทั้ง 10 วันนี้ฟื้นฟูพลังกลับมาได้ดังเดิม หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีทางรอดพ้นจากความตายได้อยู่ดี”
ฉู่เหินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
อาจารย์ฉู่เหินสามารถยื้อเวลาให้เขาได้ตั้ง 10 วัน นับว่าสามารถทำได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
แต่นั่นก็หมายความว่าในระยะเวลา 10 วันนี้ หลินเป่ยเฉินมีเรื่องราวมากมายหลายอย่างให้กระทำ
“ประเสริฐ หวังว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว เจ้าอย่าหลบหนีไปเองก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินพูด
แม่ทัพฉลามอู๋หยาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นคือประโยคที่ข้ากำลังจะพูดกับเจ้าพอดี”
หลังจากนั้น ดวงตาของมนุษย์ฉลามชื่อดังก็กราดมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉินด้วยความเย็นชาและอำมหิต “ข้าจำหน้าพวกเจ้าทุกคนได้หมดแล้ว หากพวกเจ้ากล้าหลบหนี ข้าจะเป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล นำโลหิตและร่างกายของพวกเจ้ามาเป็นอาหารปลาให้หมดจนหยดสุดท้าย”
ขาดคำ กลุ่มก้อนเมฆดำบนท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามดังครืนครัน
“รับทราบตามนั้น ข้าจะรอวันที่เราได้พบเจอกันอีกครั้ง”
หลินเป่ยเฉินพูดคำนี้ออกไปเรียบร้อย ก็หมุนตัวกลับมา ยกมือโบกสะบัด ส่งสัญญาณบอกทุกคนว่า
“พวกเรากลับ…”
วันนี้ เขาถูกพวกอาจารย์ฉู่เหินหลอกใช้งานตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้สึกตัว จนลืมเรื่องราวของเจ้าหนูอากวงและเหมืองแร่หินของตนเองไปเสียสนิทใจ
ให้ตายเถอะ เวลาล่วงเลยผ่านไปนานหลายเดือนขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าเจ้าอากวงจะต้องเผชิญหน้ากับความเหงาเดียวดายขนาดไหนบนภูเขาเสี่ยวซี ไม่รู้เลยว่ามันจะมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ให้สวมใส่หรือไม่ มันจะมีอาหารให้รับประทานครบทั้งสามมื้อหรือเปล่า และมันจะได้พบเจอหนูอสูรสาวๆ ไว้ให้ปลดเปลื้องอารมณ์ความรู้สึกบ้างไหม
เฮ้อ
เจ้าอากวงที่น่าสงสาร
หวังว่ามันคงไม่ขโมยแร่หินของเขาหนีไปหมดแล้วนะ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะจับมันย่างไฟและแจกจ่ายเนื้อหนูอสูรให้ทุกคนรับประทานด้วยตัวเองเลยทีเดียว
เมื่อหลินเป่ยเฉินนึกถึงแร่หินบูชาของตนเอง เขาก็ปรารถนาที่จะสามารถกางปีกกระบี่ออกมาโบยบินไปยังภูเขาเสี่ยวซีได้อีกครั้ง
แต่ในทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าทุกคนรอบตัวกำลังจ้องมองเขาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนผู้หนึ่ง
พานเว่ยหมินกับหลิวฉีไห่ถึงกับยกมือกุมหน้าผากอย่างพูดอะไรไม่ออก
เฝิงหลุน เกาหมินและเด็กหนุ่มเด็กสาวคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเขาด้วยแววตาร้อนใจ
อ้าว?
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมทุกคนถึงมองเขาด้วยสายตาแบบนี้?
หลินเป่ยเฉินรีบก้มมองช่วงล่างของตนเองโดยไม่รู้ตัว…
เสื้อคลุมและกางเกงของเขาก็ยังอยู่ดี ไม่ได้เกิดไฟลุกไหม้สักหน่อย
“ท่านพี่ พวกเรายังช่วยเหลือผู้คนไม่สำเร็จเลยนะขอรับ”
เซียวปิงเดินเข้ามากระซิบข้างหู
ช่วยเหลือผู้คน?
ช่วยใครล่ะ?
“เจ้าเด็กไม่เอาไหน…”
ในลานประหารฝั่งตะวันออกที่อยู่ห่างออกไป มีเสียงคำรามด้วยความฉุนเฉียวดังขึ้นมา “เดิมทีเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คนไม่ใช่หรือ? ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตแม่นางท่านนี้เอาไว้เพื่อรอคอยให้เจ้ามาถึงอย่างยิ่งใหญ่เชียวนะ เจ้าไม่ได้มองมาเลยหรืออย่างไร? นี่เจ้ายังมีดวงตาอยู่หรือไม่? หา? ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ข้าอยากจะวิ่งเข้าไปเตะผ่าหมากเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองข้ามกลุ่มนักรบชาวทะเลที่ยืนขวางทางอยู่
ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นชายชราในชุดนอนผู้หนึ่งกำลังช่วยประคองหญิงสาวหน้าตาสวยอยู่ในอ้อมแขน รอบกายห้อมล้อมด้วยกลุ่มนายทหารชาวทะเล และมนุษย์ผู้สวมใส่ชุดเกราะกระดองถือกระบี่อยู่เป็นจำนวนมาก
เอ๋?
นี่มันอดีตอาจารย์ใหญ่ของเขาไม่ใช่หรือ?
เกิดอะไรขึ้น?
หรือว่าอาจารย์ใหญ่มีเรื่องแย่งชิงผู้หญิงกับนายทหารชาวทะเล และโดนสามีของหญิงสาวผู้นั้นลากตัวมาเอาเรื่อง?
ว่าแต่หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของอาจารย์ใหญ่หน้าตาสวยใช้ได้เลยนี่นา
“เจ้าเด็กไม่เอาไหน ยังจะมัวยืนมองอะไร? ทำไมถึงยังไม่รีบมาช่วยเหลือข้าอีก”
อาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีตะโกนออกมาเสียงดัง
ถึงแม้หลิงไท่ซวีจะเป็นพวกตาเฒ่าบ้ากามไม่เคยสนใจกิจการสถาบัน แต่ชายชราก็ดูแลหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดีมาตลอด ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเดินตรงไปที่ลานประหารฝั่งตะวันออกโดยไม่ลังเล
เคล้ง! เคล้ง!
จังหวะนั้น พวกชาวทะเลก็ยื่นหอกออกมาขวางทางเดินเอาไว้
หลินเป่ยเฉินยิ้มเล็กน้อยและหันไปมองหน้าเฒ่าทะเล
เฒ่าทะเลยกมือโบกสะบัด
แล้วคมหอกที่ขวางทางก็ถูกยกกลับขึ้นไป
หลินเป่ยเฉินเดินผ่านกลุ่มนายทหารของฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่เขตพื้นที่ลานประหารฝั่งตะวันออก