ตอนที่ 536 ข้าจะออกไปสู้เอง
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าฉู่เหิน
ฉู่เหินส่ายศีรษะเล็กน้อยเป็นคำตอบว่าเขาก็ไม่ทราบเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม แม่ทัพฉลามอู๋หยาไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกพวกเขาอยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าเฒ่าทะเลอีกครั้ง
มนุษย์แมวน้ำชราพยักหน้า กล่าวว่า “เมื่อครึ่งเดือนก่อน เซียวหวังซูผู้เป็นทูตจากมณฑลเฟิงอวี่ได้ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้แก่ฉุยเฮาเฟิง”
“ข้อเสนออะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าบอกไม่ได้”
เฒ่าทะเลตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลินเป่ยเฉินหันมาพูดกับฉู่เหินอีกครั้งว่า “พวกท่านมีอะไรจะเสนออีกบ้างไหม?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารีบไสหัวไปได้แล้วยามที่ยังมีโอกาส”
ฉู่เหินส่งสายตาบอกหลินเป่ยเฉินว่าพวกเขาสมควรกลับกันได้แล้ว
เป้าหมายของการเดินขบวนในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
อนาคตของเมืองหยุนเมิ่งกำลังจะต้องตัดสินด้วยการต่อสู้ในอีก 10 วันข้างหน้า
“ตกลง กลับก็กลับ เจ้าฉลามโสโครก รอรับความตายจากข้าให้ดีก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะนำตัวพวกของอานมู่ซีเดินแหวกกลุ่มนายทหารชาวทะเลกลับออกจากจวนผู้ว่า พร้อมด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเกือบหมื่นคน
“อาจารย์ ศิษย์กลับก่อนนะขอรับ”
เขาหันหน้ามองไปทางเกี้ยวทองคำเป็นครั้งสุดท้าย
เงาคนที่อยู่หลังม่านสายน้ำยังคงไม่ตอบสนองคำใด
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ฉู่เหินดึงแขนเสื้อของเขาเป็นสัญญาณให้ออกเดินได้แล้ว
“อาจารย์ดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากวันใดที่ท่านไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองอีกแล้ว ข้าก็พร้อมที่จะกลับมาเป็นลูกศิษย์ของท่านเสมอ แม้ว่ามันอาจจะเป็นวันสิ้นสุดของโลก ข้าก็ยินดีตามท่านไปสู่สัมปรายภพ และไม่ว่าท่านอยากจะบุกน้ำลุยไฟไปที่ใด ลูกศิษย์คนนี้ก็พร้อมที่จะติดตามท่านไปทุกเมื่อ…”
ฉู่เหินกระตุกแขนเสื้อของเด็กหนุ่มเป็นครั้งที่สองพร้อมกับแอบกระซิบว่า “พอได้แล้วกระมัง คนฟังแทบจะอ้วกแตกกันหมดแล้ว”
อ้าว…
หลินเป่ยเฉินรีบชะงักคำพูดกลืนลงคอแทบไม่ทัน…
จากนั้นถึงได้กระซิบถามว่า “มันไม่ฟังดูซาบซึ้งใจหรือขอรับ? หรือว่าข้ายังพูดได้ไม่จริงใจมากพอ?”
ฉู่เหินไม่รู้จะตอบอย่างไรอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินยังคงมองตาแป๋วอย่างไม่รู้ความหมาย
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มผิดหวังก็คือเงาคนหลังม่านสายน้ำในห้องโดยสารของเกี้ยวทองคำ ยังคงนิ่งเฉย ไม่พูดคำใดออกมาสักคำเดียว
“ติงซานฉือ! เจ้ามันคนขี้ขลาด กล้าทรยศต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ของตัวเอง…”
เฝิงหลุนคำรามออกไปด้วยความโกรธแค้น
“เขายอมละทิ้งศักดิ์ศรีไปเข้าร่วมกับพวกชาวทะเลและกลายเป็นสุนัขรับใช้ของพวกมัน…”
“เขามันลุ่มหลงในสตรี หน้าด้านไร้ยางอาย ไม่คู่ควรที่จะให้หลินเป่ยเฉินเรียกเป็นอาจารย์อีกแล้ว…”
“ถูกต้อง ติงซานฉือเป็นตัวชั่วร้ายที่สุดในโลก…”
ชาวเมืองจำนวนมากอดใจไม่ไหวต้องตะโกนสาปแช่งออกมา
เมื่อข่าวที่ว่าติงซานฉือแต่งงานกับองค์หญิงแห่งท้องทะเล และถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ถูกประกาศออกไปให้ทราบกันทั่วเมือง ความภาคภูมิใจในตัวชายชราสำหรับชาวเมืองทุกคนก็พังทลายลงทันที และติงซานฉือก็กลายเป็นบุคคลที่ชาวเมืองสามารถก่นด่าได้โดยไม่ลำบากใจแม้แต่น้อย
ทุกคนอยากเห็นเขาถูกลงโทษ
“หุบปากซะ”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมาระเบิดเสียงคำรามใส่ชาวเมือง
“ข้าไม่อยากได้ยินพวกท่านพูดถึงอาจารย์ของข้าเช่นนั้นอีกแม้แต่คำเดียว”
สีหน้าของเขาบอกชัดถึงความเคร่งเครียดจริงจัง “ติงซานฉือเป็นอาจารย์ของข้าและจะเป็นอาจารย์ของข้าตลอดไป ไม่ว่าใครก็ตามดูหมิ่นเขา ก็เท่ากับดูหมิ่นข้าด้วยเช่นกัน”
กลุ่มชาวเมืองถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
แม้แต่พวกของฉู่เหินก็คิดไม่ถึงมาก่อน
เฝิงหลุนและพรรคพวกไม่กล้าสบตามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบัดนี้หลินเป่ยเฉินกำลังเดือดดาลอยู่จริงๆ
“เอาล่ะ พวกเรากลับกันดีกว่า”
ฉู่เหินยกมือส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเดินออกมาพร้อมกัน
แล้วขบวนผู้ชุมนุมประท้วงก็เดินไปตามสะพานโครงกระดูกกลับออกไปจากจวนผู้ว่าอย่างเชื่องช้า
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหันกลับไปมองเกี้ยวทองคำ
เด็กหนุ่มพลันยิ้มออกมาด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์
“ไม่ว่าอาจารย์ตัดสินใจทำสิ่งใด ขอแค่ท่านมีความสุขก็พอแล้ว คนเราล้วนมีความลับกันทั้งนั้น และบางคนก็ต้องยอมถูกเกลียดชังเพื่อปกป้องคนที่รัก ศิษย์เพียงปรารถนาขอให้ท่านกับอาจารย์หญิงครองรักกันไปเนิ่นนานและมีความสุขชั่วนิรันดร์… ส่วนเรื่องปกป้องชาวเมืองนั้น เดี๋ยวศิษย์จะเป็นคนจัดการเอง”
เกี้ยวทองคำหมุนกลับเข้าไปที่จวนผู้ว่าอีกครั้ง
เงาคนที่อยู่หลังม่านสายน้ำยังคงอยู่ในความเงียบ
แต่ในทางกลับกัน เงาร่างขององค์หญิงแห่งท้องทะเลดูจะชะงักไปเล็กน้อย แต่ในที่สุดแล้วนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ได้ยินเสียงผู้คนถอนหายใจ
แต่ในไม่ช้า เสียงถอนหายใจนั้นก็หายลับไปพร้อมกับสายลม
…
เมืองหยุนเมิ่ง… หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือเมืองหยุนเมิ่งดั้งเดิมนั้น มีบรรยากาศคึกคักแจ่มใสขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน
นับตั้งแต่ที่ชาวทะเลเข้ามายึดครองเมืองริมทะเลแห่งนี้ ชีวิตของทุกคนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมในตัวเมือง
กำแพงทุกด้านถูกทำลาย
ทางน้ำหลายสายถูกขุดลอกเพื่อระบายน้ำทะเลเข้ามาสู่ตัวเมือง แม่น้ำลำคลองถูกขุดให้ลึกมากขึ้นจนกลายเป็นทะเลลึก นอกจากนั้น พื้นที่ใต้ดินของเมืองหยุนเมิ่งยังถูกขุดเป็นอุโมงค์ใต้น้ำนับไม่ถ้วน เพื่อใช้เป็นเส้นทางการเดินทางไปรอบเมืองหยุนเมิ่งสำหรับชาวทะเล
บ้านเรือนจำนวนมากของชาวทะเลถูกก่อสร้างขึ้นมาในระยะเวลาอันสั้น
คลองใหญ่ทั้งสี่สายที่เชื่อมต่อกับท้องทะเลมีเรือกระดูกวาฬสีน้ำเงินลำใหญ่ยักษ์ลอยลำตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ายังมีเรือลำเล็กลำน้อยลอยลำอยู่อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
ชาวทะเลทำงานหนักเพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของตนเอง
ตัวอย่างเช่น จวนผู้ว่าหลังใหม่ซึ่งเป็นอาคารก่อสร้างที่ใหญ่โตมากที่สุดในตัวเมือง ที่นั่นมีทั้งทะเลสาบจำลอง มีทั้งเกาะจำลองที่ถูกสร้างอยู่ในทะเลสาบ และสถาปัตยกรรมอีกหลายอย่างที่สามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ด้วยความสามัคคีของนักรบและผู้ใช้เวทมนตร์ชาวทะเล
ดังนั้น เมืองหยุนเมิ่งจึงแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกแล้ว
ชาวเมืองส่วนใหญ่รวมตัวกันอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ชานเมืองเก่า
บัดนี้ เมืองหยุนเมิ่งหลงเหลือประชากรที่เป็นมนุษย์อยู่เพียง 15,000 คน น้อยกว่าก่อนหน้านี้ถึงครึ่งหนึ่ง
เวลาที่ผ่านไป 90 วัน 90 คืนเต็มไปด้วยความทุกข์เศร้าหัวใจสลาย ความหิวโหย ความทรมาน และอีกหลากหลายความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ตามบ้านเรือนของผู้คน… ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีชาวเมืองต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย
บนท้องฟ้าปกคลุมด้วยก้อนเมฆดำ เหมือนความโศกเศร้าที่ไม่มีทางเลือนหายไปจากจิตใจของทุกคน
เมืองเล็กๆ ที่เคยเป็นสวรรค์บนดินได้ล่มสลายไปแล้ว
แต่วันนี้บรรยากาศได้เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อชาวเมืองกลับมาจากการเดินขบวนประท้วงเข้าสู่เขตพื้นที่ชานเมืองเก่า เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขก็ดังกังวานไปทั่วทุกพื้นที่
ครึ่งปีก่อน หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเพียง ‘เด็กหนุ่มจอมเสเพลผู้ไม่เอาไหน’ แต่บัดนี้ เขากลับกลายเป็นเสาหลักของชาวเมือง
เด็กหนุ่มเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นมากลางความมืด
บัดนี้ ทุกคนคาดหวังว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถขับไล่ความมืดมิดที่ปกคลุมท้องฟ้าให้หมดไป และเมืองของพวกเขาจะต้องถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างจากเทพีกระบี่อีกครั้ง
มีผู้คนไปรวมตัวกันอยู่ที่หน้าสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นจำนวนมาก
สถานศึกษาที่เคยเป็นความอับอายของชาวเมืองในอดีต บัดนี้ ที่นี่กลับกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวังทั้งมวล
แม้ท้องฟ้ามืดมิด ราตรีกาลมาเยือน ทุกคนก็ยังคงรวมตัวกันอยู่อย่างนั้น
บริเวณหน้าตำหนักไม้ไผ่
มีผู้คนรวมตัวกันหลายร้อยชีวิต
บรรยากาศคึกคักแจ่มใส
บุคคลกลุ่มนี้เป็นแกนนำสำคัญในการเดินขบวนประท้วง
“บัดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการคัดเลือกตัวแทนพวกเราออกไปต่อสู้ในอีก 10 วันข้างหน้า” ฉู่เหินพูดออกมาเสียงดัง “นี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน แพ้คือตาย ชนะคือรอดชีวิต พวกเราต้องคัดเลือกบุคคลที่มีหวังว่าจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้มากที่สุด และเขาต้องเป็นความหวังที่จะต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของทุกคน”
กลุ่มเด็กหนุ่มหันมองหน้ากัน แล้วบรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ
เนิ่นนาน ไม่มีใครยกมือเสนอตัวเลยสักคน
ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวความตาย ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวการต่อสู้
แต่สิ่งที่บรรดาเด็กหนุ่มเหล่านี้หวาดกลัวก็คือ หากตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชาวเมืองต้องพบเจอหายนะใหญ่หลวง
บัดนี้ ในหัวใจของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความกล้าหาญ
แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าตนเองยังไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นตัวแทนประจำเมืองออกไปต่อสู้ในศึกครั้งสำคัญ
“ข้าจะออกไปสู้เองขอรับ”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งพลันผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
หลินเป่ยเฉินถึงกับประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบว่าผู้ที่เสนอตัวออกมานั้นคือผู้ใด