ตอนที่ 537 ข้าก็ยังบริสุทธิ์อยู่เหมือนกัน
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่เสนอตัวออกมาเป็นคนแรกกลับกลายเป็นเซียวปิงซึ่งเป็นบุคคลที่ขี้ขลาดที่สุดภายในตำหนักไม้ไผ่
แต่หมอนี่ก็เป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงที่สุดเช่นกัน…
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของใครคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นอย่างมีความสุขว่า
“คุณชายเซียวปิงเป็นตัวแทนที่เหมาะสมมากที่สุด…”
“มิผิด ท่านพี่เซียวปิงเป็นบุคคลที่มีวิทยายุทธ์เลิศล้ำ ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องชนะการต่อสู้แน่นอน”
“อย่าลืมสิว่าหลายเดือนที่ผ่านมา คุณชายเซียวได้แสดงฝีมือให้พวกเราทึ่งขนาดไหน”
หลังจากนั้นก็มีเสียงปรบมือสนับสนุนเกรียวกราว
เอ๋?
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ
ตอนแรกเด็กหนุ่มมั่นใจว่าต้องเกิดการเข้าใจผิดอะไรขึ้นสักอย่างแน่นอน เพราะคำชื่นชมเหล่านั้น ทุกคนควรกล่าวชมเขา ไม่ใช่กล่าวชมเซียวปิงสักหน่อย
แต่เมื่อเห็นสีหน้าพวกของฉู่เหิน หลินเป่ยเฉินพลันเข้าใจว่าในระหว่างที่เขาสลบไปตลอด 3 เดือนนี้ เซียวปิงคงทำอะไรบางอย่างที่กลายเป็นความประทับใจของทุกคน
แน่ล่ะ
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่หน้าประตูวิหารคงทำให้เซียวปิงเติบโตขึ้นมาไม่ใช่น้อย
และเจ้าอ้วนก็รู้แล้วว่าตนเองสมควรอาสาออกมาเป็นตัวแทนต่อสู้เพื่อชาวเมือง
“ข้าก็อยากจะเป็นตัวแทนเหมือนกัน”
ฉู่เหินกล่าวออกมาบ้าง
บัดนี้ ชายชรามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ และแขนเหล็กของเขาก็ยังคงยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน ทำให้มีสถานะเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ฝีมือดีที่สุดภายในเมืองหยุนเมิ่งไปโดยปริยาย
หลังจากนั้น ก็มีอาจารย์ใหญ่จากสถานศึกษากระบี่หลวง รวมไปถึงคณะอาจารย์จากสถานศึกษาอื่นๆ ที่อยู่ร่วมเมืองจำนวนมาก เสนอตัวออกมาเป็นตัวแทนชาวเมืองออกไปต่อสู้กับตัวแทนของชาวทะเล
บรรดาผู้ที่อาสาออกมาเหล่านั้นมีทั้งเด็กหนุ่มเยาว์วัย บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ ไปจนถึงเฒ่าชรา
ความแข็งแกร่งก็มีมากน้อยแตกต่างกันไป
ในกลุ่มคนเหล่านี้ ย่อมมีหลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมิน
หลังจากพูดคุยปรึกษากันอยู่พักใหญ่ สุดท้าย พวกเขาก็ได้ผู้อาสามาทั้งหมด 15 คน
ซึ่งยังไม่ได้นับรวมหลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งในนั้น
“พอเห็นแบบนี้ ข้าก็ชักจะรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาบ้างแล้วสิ”
หลิงไท่ซวีโพล่งขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่นิ่งเงียบมาตลอด “ข้าก็จะขอเป็นตัวแทนออกไปต่อสู้เหมือนกัน”
ทุกสายตาหันขวับกลับมามองที่ชายชราทันที
หลินเป่ยเฉินอดถามออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจไม่ได้ว่า “อาจารย์ยังสู้ไหวอีกหรือขอรับ? อาจารย์แก่แล้วนะ อย่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไปนักเลย ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ใช่การต่อสู้บนสังเวียนสวาทที่ท่านชอบนะขอรับ”
หลิงไท่ซวีได้ยินดังนั้นใบหน้าก็กระตุกด้วยความขุ่นเคืองใจ “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าขึ้นไปสู้กับข้าบนเวทีประลอง รับรองว่าข้าย่อมสามารถเลาะฟันเจ้าออกหมดปากได้แน่นอน”
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
หลินเป่ยเฉินพูดตัดบทว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมได้ เราจะนับรวมอาจารย์ใหญ่หลิงเป็นหนึ่งในอาสาสมัครก็แล้วกัน บัดนี้เท่ากับว่ามีคน 16 คนแย่งชิงพื้นที่ตัวแทน 4 ตำแหน่ง ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝนและเรียนรู้ให้ดี เราจะทำการคัดเลือกอาสาสมัครที่มีความสมบูรณ์พร้อมที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด ออกไปต่อสู้เพื่อเมืองหยุนเมิ่งของพวกเรา”
“ทำไมถึงมีตัวแทนแค่ 4 คนล่ะขอรับ?
เซียวปิงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “เราต้องการตัวแทน 5 คนไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืนและต่อยท้องเด็กหนุ่มร่างอ้วนเสียงดังผลั่ก “ก็เพราะข้าต้องกันตำแหน่งหนึ่งไว้ให้ตัวเองอย่างไรเล่า หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นตัวแทนชาวเมืองออกไปต่อสู้?”
ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ยิ่งระเบิดเสียงหัวเราะดังมากกว่าเดิม
เซียวปิงได้แต่ยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย
บรรยากาศในตำหนักไม้ไผ่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
“ขอให้ทุกคนพึงระลึกไว้เสมอ ไม่ว่าผลการต่อสู้ครั้งนี้จะออกมาเป็นเช่นไร แต่พวกท่านคือวีรบุรุษที่แท้จริงของเมืองหยุนเมิ่ง และนับจากวันนี้ไป ไม่ว่าพวกท่านต้องการสิ่งใด จะเป็นเงินทอง ข้าวของ สมุนไพรวิเศษ หรือว่าสตรี ล้วนมาบอกข้าได้ตลอดเวลา”
ชายชราผู้เป็นหัวหน้าตระกูลเซียวคนปัจจุบันลุกขึ้นยืน พูดน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมกับยกมือตบหน้าอกตนเอง
หลินเป่ยเฉินกับเซียวปิงหันมองหน้ากันโดยทันที
เด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างก็พบเห็นแววตาแห่งความประหลาดใจของกันและกัน
นี่หมายความว่าโอกาสดีมาถึงแล้วไม่ใช่หรือ?
“ขออะไรก็ได้ใช่ไหมขอรับ?”
เซียวปิงถามย้ำเพื่อให้แน่ใจ
“ถูกต้อง เจ้าจะขออะไรก็ได้ ขอแค่พูดออกมา”
หัวหน้าตระกูลเซียวพยักหน้า “สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ มีแต่เลี้ยงดูทหารผู้เสี่ยงชีวิตให้ดีที่สุดเท่านั้น ถึงจะมีหวังชนะสงคราม หลังจบจากการต่อสู้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะชนะหรือพ่ายแพ้ เจ้าก็จะมีสถานะเป็นวีรบุรุษของชาวเมือง และตระกูลเซียวของพวกเรา ก็จะยอมรับเจ้าเป็นสมาชิกระดับสูง”
เซียวปิงลังเลเล็กน้อย ก่อนพูดอ้อมแอ้มออกมาว่า “ขะ…ข้าน้อยยังบริสุทธิ์อยู่ขอรับ”
ชายชราหัวหน้าตระกูลมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเอ็นดูและพูดว่า “เจ้าเป็นเด็กดี หลานรัก รีบบอกออกมาหญิงสาวที่เจ้าหมายปองไว้เป็นผู้ใด เดี๋ยวพวกข้าจะไปสู่ขอให้เอง อย่างน้อยก็ขอให้เจ้าได้มีโอกาสทิ้งเมล็ดพันธุ์ของเจ้าเอาไว้บ้าง ก่อนที่มันจะสายเกินไป”
เซียวปิงตอบกลับว่า “แต่เกรงว่านางจะไม่ชอบข้าน้อยขอรับ”
ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลกล่าวต่ออีกครั้ง “เจ้ามีสถานะเป็นวีรบุรุษประจำเมืองแล้ว จะมีสตรีนางใดไม่ชอบเจ้าบ้าง?”
เซียวปิงคิดตามที่ชายชราพูดเล็กน้อย ก็กล่าว “หากข้าน้อยจะเพาะเมล็ดพันธุ์ไว้กับสตรีมากกว่าหนึ่งนาง มันจะเป็นอะไรไหมขอรับ?”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ชายชราหัวหน้าตระกูลเซียวยกมือลูบหนวดเคราของตนเองและระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือขึ้นโดยทันที “ความจริงนั้น… ข้าก็ยังบริสุทธิ์อยู่เหมือนกันขอรับ”
บรรยากาศในห้องรับแขกที่เคยเงียบงันพลันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้เฒ่าหัวหน้าตระกูลเซียวยิ้มแย้มด้วยความขบขัน “ไม่นึกเลยว่าคุณชายหลินจะเป็นคนที่มีอารมณ์ขันถึงเพียงนี้”
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
มีใครไม่ทราบบ้างว่าหลินเป่ยเฉินรู้จักล่วงเกินสตรีตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้เลยว่ามีดอกไม้งามมากมายเพียงใด ที่ต้องถูกเด็กหนุ่มเด็ดดมแล้วทิ้งขว้างให้ชอกช้ำระกำใจ
แล้วเขาจะยังบริสุทธิ์อยู่ได้อย่างไร?
ฉู่เหินก็กำลังพยักหน้าอยู่เช่นกัน
บรรยากาศในตำหนักไม้ไผ่กลับมาสู่ความผ่อนคลายอีกครั้ง
อย่างน้อยความตึงเครียดก็มลายหายไปแล้ว
หัวใจของทุกคนเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งนักสู้
หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุด พวกเขาก็ได้ข้อสรุปที่ลงตัวว่าจะใช้วิธีไหนในการคัดเลือกตัวแทนออกไปต่อสู้กับนักรบชาวทะเลในอีก 10 วันข้างหน้า เมื่อบอกรายละเอียดแผนการจนเข้าใจกันเป็นอย่างดี ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนและแยกย้ายกันกลับบ้าน
เมื่อแขกคนสุดท้ายเดินหายลับออกไปจากอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่ บ้านพักแห่งนี้ก็กลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
“นี่บ้านเรากลายเป็นสถานที่สาธารณะไปแล้วหรือไงนะ…”
หลินเป่ยเฉินอดบ่นออกมาไม่ได้
เขาเดินตรงเข้าไปหากงกงและออกคำสั่งว่า “นี่ ช่วยพาข้าขึ้นไปที่ภูเขาเสี่ยวซีหน่อยสิ”
บัดนี้ กงกงมีแขนเทียมและขาเทียมที่ผลิตขึ้นมาจากคัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ พลังการต่อสู้ของเขาจึงยกระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย และกงกงก็มีสถานะเป็นหนึ่งในบริวารผู้ซื่อสัตย์ที่สุดของหลินเป่ยเฉิน
ในไม่ช้า รถม้าก็พร้อมสำหรับการเดินทาง
หลินเป่ยเฉินบอกให้หวังจงอยู่บ้านในขณะที่ตนเองก้าวขึ้นรถม้าและออกเดินทางตรงไปที่ภูเขาเสี่ยวซี
ระหว่างทาง
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมา
โชคดีที่ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะอย่างเสี่ยวจี้พัฒนาความสามารถมากกว่าเดิม เพราะฉะนั้น ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา นางจึงคอยชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เขา ทำให้โทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉินจึงยังคงสามารถใช้งานได้จนถึงตอนนี้
“ตรวจพบการอัปเดตระบบเวอร์ชันใหม่ ต้องการอัปเดตระบบเลยหรือไม่ ?”
“การอัปเดตในครั้งนี้ ต้องใช้การโอนถ่ายข้อมูลเป็นจำนวน 80 GB โปรดทำให้แน่ใจว่าท่านมีการเชื่อมต่อที่ดีเพียงพอ และโปรดหลีกเลี่ยงอย่าทำให้โทรศัพท์ปิดตัวระหว่างการอัปเดต โปรดชาร์จแบตเตอรี่ของท่านให้เพียงพอ…”
ข้อความแจ้งเตือนเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโดยทันที
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเอง
ตอนนี้เขาไม่ได้มีพลังสูงส่งเหมือนเก่า เรียกได้ว่าไม่เหลือพลังลมปราณอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
แล้วจะไปอัปเดตได้อย่างไร?
การโอนถ่ายข้อมูลเป็นจำนวน 80 GB อย่างน้อยก็ต้องมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 2
เด็กหนุ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนเองจะสามารถฟื้นฟูพลังทั้งหมดกลับคืนมาได้ทันเวลา 10 วันหรือไม่
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาต้องรีบเดินทางขึ้นไปยังภูเขาเสี่ยวซี
เพราะมีแต่แร่หินบูชาเหล่านั้นที่จะช่วยทำให้ร่างกายของหลินเป่ยเฉินฟื้นฟูพลังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนการใช้งานแอปพลิเคชันอื่นๆ อย่างเช่นแอปวีแชทน่ะหรือ?
เนื่องจากในร่างกายของเขาไม่เหลือพลังลมปราณอยู่เลย โทรศัพท์มือถือจึงขึ้นว่าไม่มีสัญญาณ ดังนั้น แอปพลิเคชันที่จำเป็นต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตจึงไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว
เสียงกีบเท้าของอสูรลมกรดดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าคำราม
กงกงนั่งทำหน้าที่สารถีและสะบัดสายแส้ด้วยความชำนาญ
หลังจากไถหน้าจอวนไปวนมาด้วยความเบื่อหน่าย สุดท้ายหลินเป่ยเฉินก็เก็บโทรศัพท์มือถือ และเอนหลังพิงผนังรถม้าก่อนพูดว่า “กงกง ระหว่างที่ข้าสลบไปนั้น เกิดอะไรขึ้นกับแผ่นยันต์เทพเจ้าของคุณชายเหลียนซานบ้าง นักพรตหญิงชินได้ตรวจสอบดูหรือไม่?”
ตั้งแต่ตื่นฟื้นคืนสติขึ้นมาจนถึงขณะนี้ หลินเป่ยเฉินมีเรื่องราวให้จัดการไม่รู้จบ และเขายังไม่มีเวลาได้สอบถามรายละเอียดเลยสักนิด ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่ตนเองหมดสติไปในวันตรวจสอบวิหารครั้งนั้น
กงกงซึ่งมีสถานะเป็นผู้ช่วยมือขวาของหวังจงและเป็นหัวหน้าหน่วยสืบข่าวประจำเมืองให้คำตอบด้วยความคล่องแคล่ว
“หลังจากที่คุณชายหลินสามารถเอาชนะเจ้าเหลียนซานได้สำเร็จ แผ่นยันต์ในมือของมันก็สลายหายวับไปในอากาศเลยขอรับ”
เสียงของสารถีหนุ่มดังขึ้นจากนอกห้องโดยสารด้วยความเคารพ
“อ้อ แล้ววีรบุรุษหน้ากากแดงที่มาช่วยเหลือพวกเราต่อสู้เล่า ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเขาบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มถามออกมาอีกครั้ง
กงกงตอบว่า “เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่จนถึงวันนี้เลยขอรับ นับตั้งแต่วันนั้นเกิดข่าวลือมากมาย แต่ภายหลังก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าข่าวลือยังคงเป็นข่าวลือ มิหนำซ้ำ นักพรตหญิงชินยังไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่เรื่องราวของวีรบุรุษหน้ากากแดงแม้แต่น้อย ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างนักบวชเยว่ ตั้งแต่นางกลับไปอยู่วิหารหลวง ก็ไม่มีใครได้พบเจอนางอีกเลย”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงรับคำในลำคอ และถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น ทางจักรวรรดิส่งคนมาสืบสวนเรื่องที่เซียวปิงสังหารโหดพวกของท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันบ้างหรือไม่?”