ตอนที่ 540 ความสามารถแห่งการเพาะปลูก
หลินเป่ยเฉินรู้สึกอย่างชัดเจนว่าในร่างกายของเขามีพลังปราณธาตุอยู่ 2 ชนิดจริงๆ พลังสายหนึ่งเป็นสีเหลืองและพลังอีกสายหนึ่งเป็นสีเขียว พลังเหล่านั้นหมุนเวียนไปมาตามร่างกายและทะลวงทุกจุดที่เป็นเส้นลมปราณอย่างทั่วถึง
ถ้าไม่ได้มีพลังปราณธาตุ 2 ชนิด พลังลมปราณก็จะไม่ปรากฏออกมาในลักษณะ 2 สีเด็ดขาด
เด็กหนุ่มลองโคจรพลังดูหลายครั้ง
และเขาพบว่าตนเองสามารถเรียกใช้งานพลังปราณธาตุได้แค่ครั้งละหนึ่งชนิดเท่านั้น หลินเป่ยเฉินไม่สามารถระเบิดพลังออกมาทั้งสีเหลืองและสีเขียวได้พร้อมๆ กันอีกแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ตกลงแล้วมันคือพลังอะไรกันแน่…
หลินเป่ยเฉินพยายามโคจรพลังดูอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดจริงจังมากขึ้น
สองมือของเขามีแสงสีเหลือง
แต่แสงสีเขียว… กลับไปปรากฏขึ้นเหนือศีรษะซะอย่างนั้น
“โว้ยยย! เทพีกระบี่หิมะไร้นาม รีบตอบมาเดี๋ยวนี้เลยนะ…”
หลินเป่ยเฉินพิมพ์ข้อความลงไปในแอปวีแชทด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ‘ไหนว่าเป็นพลังปราณธาตุชนิดพิเศษไงเล่า? แล้วทำไมข้าถึงเปิดได้พลังปราณธาตุดินกับพลังปราณธาตุต้นหญ้า? แถมยังใช้พลังพร้อมกันไม่ได้อีก หงุดหงิดโว้ยๆๆๆๆ…’
‘น้องชายใจเย็นๆ ก่อน’
เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความตอบกลับมาทันที ‘เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า? มันจะเป็นพลังปราณธาตุต้นหญ้าไปได้อย่างไร?’
‘ไม่ต้องมาบอกให้ข้าใจเย็น ก็ในเมื่อมันเป็นพลังปราณธาตุดินกับพลังปราณธาตุต้นหญ้าจริงๆ… ข้าสามารถร้องเรียนได้ที่ใครบ้างเนี่ย แบบนี้มันหลอกลวงผู้บริโภคชัดๆ’
หลินเป่ยเฉินส่งข้อความกลับไปด้วยความโมโห
‘ฟังข้าก่อนนะ พลังปราณธาตุต้นหญ้าที่เจ้าพูดถึงน่ะ ความจริงมันควรเป็นพลังปราณธาตุไม้ต่างหาก…’
‘ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่อยากรับฟัง…’
‘น้องชายใจเย็นก่อนสิ จำได้ไหมว่าครั้งแรกเจ้าเปิดได้พลังปราณธาตุน้ำ ต่อมาเจ้าเปิดได้พลังปราณธาตุไฟ ครั้งนี้เปิดได้พลังปราณธาตุดินกับพลังปราณธาตุไม้ เจ้าสังเกตเห็นถึงสิ่งใดหรือไม่?’
‘จะให้สังเกตเห็นสิ่งใดล่ะ?’
‘พลังปราณธาตุที่สำคัญในโลกนี้ประกอบไปด้วยพลังปราณธาตุดิน พลังปราณธาตุน้ำ พลังปราณธาตุลม พลังปราณธาตุไฟและพลังปราณธาตุทองคำ…’
‘แล้วไง?’
‘เจ้าไม่คิดลองสะสมพลังปราณธาตุสำคัญๆ ให้ครบหมดทุกชนิดดูบ้างหรือ?’
‘ข้าไม่ใช่นักสะสม สะสมไปแล้วมันจะมีประโยชน์อันใด?’
‘ต่อให้สะสมได้ทั้งหมด ข้าก็ไม่สามารถใช้งานพลังพวกนั้นพร้อมกันได้สักหน่อย แล้วมันจะมีประโยชน์ตรงไหน!’
‘พูดไม่ออกเลยล่ะสิ?’
‘คิดว่ามันสนุกนักหรือไง?’
‘ท่าน… ข้าจะทำให้ท่านได้ชดใช้ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม’
เมื่อถูกข้อความของเด็กหนุ่มเด้งใส่หน้ารัวๆ เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ต้องตอบข้อความกลับมาว่า
‘เดี๋ยวก่อนสิ น้องชายได้โปรดฟังคำอธิบายก่อน ทุกครั้งที่เจ้าต้องกลับมาเปิดพลังปราณธาตุใหม่นั้น พลังปราณธาตุเก่าที่เจ้าเคยมีอยู่ในตัว มันไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่มันซ่อนอยู่ในจุดลมปราณในร่างกายของเจ้านั่นเอง’
‘เอ่อ… ถ้าอย่างนั้นมันสำคัญตรงไหน?’
‘เท่ากับว่าเจ้าจะมีพลังเหล่านั้นเป็นพลังแฝงอยู่ในร่างกาย และเมื่อเจ้าสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเซียนได้เมื่อไหร่ พลังเหล่านั้นก็จะทำให้อายุขัยของเจ้ายืนยาวขึ้น มีพลังลมปราณแข็งแกร่งมากขึ้น มีผิวหนังเต่งตึงมากขึ้น และเจ้าก็จะสามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ’
‘พูดจริงสิ?’
‘พี่สาวคนนี้เคยโกหกน้องชายด้วยหรือ?’
‘ท่านเคยโกหกข้ามาหลายครั้งแล้วนะ…’
‘เรื่องนั้นอย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่ามันจะสำคัญต่อเจ้ามาก ถ้าเจ้าสามารถเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ เจ้าก็อยากจะขึ้นไปให้ถึงขั้นนั้นไม่ใช่หรือ?’
‘สรุปว่าการที่มีพลังปราณธาตุแฝงอยู่ในตัวหลายชนิด มันจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อตัวข้าเอง เมื่อเลื่อนระดับขึ้นไปอยู่ในขั้นเซียนได้จริงๆ หรือ?’
‘จริงแท้แน่นอน’
‘ก็ได้… ข้าจะลองเชื่อใจท่านดูสักครั้ง’
‘แหม แหม แหม อย่าบอกนะว่าน้องชายสนใจในเรือนร่างของพี่สาวคนนี้ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ตั้งใจเลื่อนระดับพลังให้ได้เร็วๆ แล้วกัน เมื่อเจ้าขึ้นมาอยู่ในขั้นเซียนได้เมื่อไหร่ เจ้าก็จะสามารถ… อุ๊ยๆๆๆ ไม่อยากจะพูด’
‘ข้าไม่มีรสนิยมแบบนั้นหรอก’
‘ชิชะ… รู้ไหมว่ายิ่งปฏิเสธก็เท่ากับเป็นการยอมรับไปในตัว วันนั้นเจ้ายังเลือดกำเดาไหลเลยนะ’
‘เหลวไหล ท่านพูดอะไรข้าไม่รู้เรื่อง’
หลินเป่ยเฉินรีบปิดแอปวีแชทไปทันทีด้วยความรู้สึกผิด
แม้ว่าคำพูดของเทพีกระบี่หิมะไร้นามจะเชื่อถือไม่ค่อยได้ แต่บัดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดได้กระทำลุล่วงแล้ว เวลาจะเป็นสิ่งพิสูจน์เท่านั้นว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามพูดโกหกกับเขาหรือไม่
เด็กหนุ่มเริ่มกลับมาสนใจพลังปราณธาตุที่ตนเองเปิดได้ใหม่อีกครั้ง
พลังปราณธาตุน้ำซึ่งเคยเปิดได้ครั้งแรกนั้น มีสรรพคุณช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ
พลังปราณธาตุไฟซึ่งเปิดได้ในครั้งที่สอง มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งเรื่องการต่อสู้
แล้วพลังปราณธาตุดินกับพลังปราณธาตุต้นหญ้า เอ๊ย พลังปราณธาตุไม้พวกนี้ล่ะ จะมีสรรพคุณอะไรบ้าง?
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลินเป่ยเฉินใช้เวลาหมดไปกับการลองโคจรพลังลมปราณ
ในที่สุด เขาก็ได้รับทราบคำตอบ
พลังปราณธาตุดินมีความสามารถพิเศษอยู่ 3 อย่าง
มันทำให้เขาสามารถมุดลงไปใต้ดินเพื่อใช้เป็นเส้นทางหลบหนีคู่ต่อสู้
มันทำให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพผิวดินรอบตัวได้ตามใจชอบ
และมันทำให้เขาสามารถดูดซับพลังจากพื้นดินขึ้นมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเอง
ส่วนพลังปราณธาตุไม้มีความสามารถเพียงอย่างเดียว…
มันช่วยทำให้พืชพรรณไม้เจริญเติบโตและงอกงาม
“ถึงไม่อยากยอมรับสักเท่าไหร่ก็เถอะนะ แต่ก็ต้องบอกว่าพลังปราณธาตุสองชนิดนี้ มีความพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินสรุปผลการวิเคราะห์ของตนเองออกมาเช่นนั้น
จากการประเมินโดยส่วนตัว พลังปราณธาตุดินมีประโยชน์อย่างยิ่งยามที่ต้องหลบหนีจากศัตรู ขอเพียงหลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณอยู่ตลอดเวลา เขาก็จะสามารถมุดดินหลบหนีได้ตามปรารถนา แม้แต่ก้อนหินหรือชั้นดินแข็งๆ ที่อยู่ใต้ดิน ร่างกายของเขาก็จะสามารถผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหา ถึงวิธีการนี้จะผลาญพลังลมปราณไม่ใช่น้อย แต่มันก็เป็นความสามารถที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการหาเงิน การขโมยของ และการลอบสังหาร
เท่าที่หลินเป่ยเฉินได้เคยรับทราบมา ไม่เคยมีมือกระบี่ซึ่งมีพลังปราณธาตุดินคนไหน สามารถมุดดินหลบหนีได้เช่นนี้มาก่อน
เดิมที มันเป็นพลังปราณธาตุที่ไม่มีประโยชน์สำหรับการหลบหนีเลยด้วยซ้ำ
ความคิดที่เด็กหนุ่มมีในตอนนี้ก็คือ เขาต้องรีบควบคุมสภาพผิวดินให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะมันจะมีประโยชน์มากเมื่อต้องออกไปต่อสู้กับศัตรู
และความสามารถในการดูดซับพลังจากพื้นดิน ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินเช่นกัน
นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินนึกภาพว่าตราบใดที่เท้าของเขายังคงยืนอยู่บนพื้นดิน เขาก็จะไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยหรือหมดแรงเป็นอันขาด
กล่าวโดยสรุปก็คือ พลังปราณธาตุดินสามารถทำให้หลินเป่ยเฉินกลายเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
ส่วนพลังปราณธาตุไม้นั้น…
“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้ความสามารถของมันจะเรียบง่าย แต่ถ้าลองคิดดูให้ดี หากเรานำรากไม้วิเศษ สมุนไพรวิเศษหรือผลไม้วิเศษมาปลูกที่สวนหลังบ้าน และใช้ความสามารถของพลังปราณธาตุไม้ช่วยทำให้พวกมันขยายพันธุ์ออกผลเติบโต นั่นก็หมายความว่าเราจะมีคลังสมุนไพรวิเศษอยู่ในมือเลยนะ เพียงแค่คิดก็มีความสุขแล้วเนี่ย อุ๊วะฮ่าๆๆๆ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
หลังจากนั้น เขาก็ออกคำสั่ง “เสี่ยวจี้… มีอะไรจะให้ช่วยหน่อย”
ชายหนุ่มตัดสินใจเรียกหาผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ
“เสี่ยวจี้มาแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน”
“ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน เจ้าลองคำนวณดูหน่อยสิว่าหากอัปเดตโทรศัพท์โดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อร่างกายของข้า เจ้าต้องใช้เวลาประมาณกี่วัน”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
หลังจากหยุดไปเล็กน้อย เสี่ยวจี้ก็กล่าวตอบ “หลังจากคำนวณดูแล้ว ด้วยระดับพลังของนายท่านในปัจจุบัน ต้องใช้เวลาอัปเดตประมาณ 15 วันเจ้าค่ะ แต่ถ้านายท่านสามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างรวดเร็วเหมือนเช่นในวันนี้ต่อไป และยังคงดูดซับพลังจากศิลาบูชาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าน่าจะอัปเดตระบบได้เสร็จสิ้นในเวลาแค่ 5 วันเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“งั้นก็เริ่มได้เลย ฝากดูแลด้วยนะ”
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”
เสียงพูดจบลง
แล้วความเสียวสยิวจากการถูกดูดพลังลมปราณออกจากร่างกายก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินหยิบศิลาบูชามาถือในมือทั้งสองข้างแนบแน่น ก่อนจะเริ่มต้นดูดซับพลังจากพวกมันโดยไม่หยุดพัก
กาลเวลาผ่านไป
นี่ก็ผ่านมาได้ 3 วันแล้ว
ความเงียบถูกทำลายโดยเสียงเคาะประตูห้อง
ปรากฏว่าเป็นสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินนำอาหารและเครื่องดื่มมาให้หลินเป่ยเฉินนั่นเอง
“อ้า พวกเจ้าสองคนช่างน่ารักเหลือเกิน รู้ใช่ไหมว่าต้องประจบข้าอย่างไร”
หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นด้วยความดีใจ
สายลมภูเขาพัดผ่าน ทำให้อากาศยามราตรีเย็นขึ้นเล็กน้อย
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง พื้นดินและภูเขาอาบไล้ด้วยแสงสีเงินยวง ต้นไม้เก่าแก่ไหวเอนไปตามสายลม ก้อนหินยังคงยืนตระหง่านท้าทายกาลเวลา ทิวทัศน์ที่สวยงาม สาวงามที่คอยป้อนอาหารและรินสุราอยู่ข้างกายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีอะไรจะทำให้หลินเป่ยเฉินมีความสุขได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
พวกเขาดื่มฉลองให้กับแสงจันทร์ที่สวยงาม
พวกเขาดื่มฉลองให้กับความสงบสุข
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงความสงบสุขระยะสั้น แต่มันก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสดชื่นและมีความหวัง
เจ้าหนูอากวงก็อาศัยโอกาสนี้เข้ามาร่วมวงรับประทานอาหารด้วยเช่นกัน
กงกงยืนอารักขาความปลอดภัยให้แก่หลินเป่ยเฉินอยู่ที่ข้างโต๊ะอาหารเหมือนรูปปั้นแกะสลัก
“สถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมา
“พวกชาวทะเลก่อความวุ่นวายไม่น้อยเลยขอรับ”
กงกงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง “แม่ทัพฉลามอู๋หยาคัดเลือกตัวแทนจากกองทัพของตนเองมา 4 ตัว พวกเขาอ้างว่าตนเองมีพลังเทียบเท่ากับมนุษย์ระดับยอดปรมาจารย์ มีความกำแหงและดุร้ายเป็นที่สุด พวกเขาเข้ามาก่อเหตุอาละวาดภายในตัวเมืองของเรา โดยอ้างว่าเป็นการกวาดล้างและปราบปรามแกนนำกลุ่มกบฏที่ทำให้ชาวเมืองออกมาเดินประท้วงเมื่อวันก่อนขอรับ”
“แกนนำกลุ่มกบฏอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
กงกงตอบ “พี่ใหญ่หวังจงบอกว่าคุณชายฉุยวางแผนรับมือทุกอย่างไว้แล้วขอรับ นายท่านไม่ต้องเป็นกังวล ขอให้นายท่านตั้งใจฝึกฝนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าให้ดี เพราะมีเพียงแต่คว้าชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้เท่านั้น พวกเราชาวมนุษย์ถึงจะสามารถกลับมาอยู่กันอย่างสงบสุขได้อีกครั้ง”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
กงกงหยุดเล็กน้อยและกล่าวต่อ “แล้วก็มีรายงานว่าทางเมืองเจาฮุยได้แอบส่งมือกระบี่ฝีมือดีท่านหนึ่ง มาช่วยเหลือพวกเราที่เมืองหยุนเมิ่งด้วยขอรับ”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความสนใจพร้อมกับถามว่า “มือกระบี่ฝีมือดีอย่างนั้นหรือ? ใครกัน? เป็นคนที่ข้ารู้จักหรือไม่?”