บทที่ 56 ไก่ศรน้ำแข็ง
หลินเป่ยเฉินยิ้มหน้าบาน
“สุดยอด”
เมื่อมีระบบนำทางที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้ ป่าต้องห้ามที่อันตรายก็กลายสภาพเป็นเหมือนสวนหลังบ้านของเขาเอง
เขาจะไปที่ไหนก็ได้ตามต้องการ
หลังจากนั้นไม่นาน…
“พบไก่ศรน้ำแข็งห่างออกไป 30 จั้ง ตรวจพบอันตรายระดับ 1 ต้องการหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นหรือไม่?”
เสียงคำเตือนดังขึ้นอีกครั้ง
อันตรายระดับ 1 ?
ครั้งนี้ แอปแผนที่นำทางไม่ได้แนะนำให้เขาใช้เส้นทางอื่นเสียด้วย
ชื่อฟังดูน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มดีจริง
แถมขึ้นชื่อว่าไก่ จะเอามาต้มยำทำแกงอะไรก็อร่อยทั้งนั้น
ซ้ำยังมีอันตรายเพียงระดับ 1 …
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกดตัวเลือก “ใช้เส้นทางนี้ต่อไป”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจว่าควรลองสำรวจดูสักเล็กน้อย
หลังจากเดินไปข้างหน้าได้ประมาณ 25 จั้ง เสียงวัตถุแหวกอากาศก็ดังมากระทบหู
“ฟ้าว!”
ลูกศรน้ำแข็งดอกหนึ่งพลันถูกยิงออกมาจากดงไม้ข้างทาง
หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้ตั้งตัว ลูกศรจึงปักเข่าของเขาเข้าอย่างจัง
“ฉิบ…”
เขาโดนลูกศรปักหัวเข่า!
ขาซ้ายของเด็กหนุ่มรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในพริบตา
ขณะนี้ ลูกศรที่ปักเข่าเขาได้กลายเป็นไอน้ำแข็งสีน้ำเงินระเหยหายไปแล้ว
“กระต๊าก….”
วินาทีต่อมา ไก่ขนเทาตาแดงตัวหนึ่งก็กระโดดออกมาจากดงไม้ เผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคมขณะที่มันส่งเสียงร้องและวิ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความดุร้าย
“ชวิ้งงง!”
หลินเป่ยเฉินพลันชักกระบี่ออกมาจากฝักและเสือกแทงออกไปข้างหน้า
เจ้าไก่กระต๊ากถูกคมกระบี่แทงทะลุศีรษะ ล้มตายลงไปทันที
น็อคเอาท์!
จัดการศัตรูได้สำเร็จแล้ว!
เฮ้อ ทำไมเจ้าไก่ศรน้ำแข็งอะไรนี่ มันถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่า ‘เหยื่อ’ ของพวกมันไม่สามารถจัดการได้โดยง่าย เจ้าไก่สีเทาที่เหลืออีกสามตัว ก็หันหลังกลับวิ่งหนีไปคนละทิศละทางด้วยความแตกตื่น
แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งในนั้นคงตกใจมากเกินไป มันถึงได้วิ่งชนต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งจั้งเข้าเต็มแรง ส่งผลให้เจ้าไก่เคราะห์ร้ายล้มลงขาชี้ฟ้า ตายไปแบบงงๆ ในที่สุด
เจ้าไก่ตัวนี้มันฆ่าตัวเองแท้ๆ
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
กล่าวได้ว่าไก่ศรน้ำแข็งไม่ได้อ่อนแอ แต่ออกจะโง่เขลาอยู่ไม่น้อย
ความสามารถพิเศษเดียวที่พวกมันมี ก็คือการวิ่งได้อย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มโคจรพลังปราณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง หลังจากนวดหัวเข่าอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกชาและไอน้ำแข็งก็สลายหายไปสิ้น
เขาพับขากางเกงขึ้นมา พบว่าหัวเข่าเป็นรอยแดงช้ำเท่านั้น ไม่มีส่วนใดแตกหัก
สงสัยคงเป็นผลจากการฝึกวิชากระบี่เร้นกายเป็นแน่แท้
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ศรน้ำแข็งดอกนั้นคงทำให้ขาขาดไปแล้ว
“เจ้าไก่ศรน้ำแข็งมีความสามารถเพียงเท่านี้ ก็หมายความว่าถ้าเจอสัตว์ที่มีอันตรายไม่เกินระดับ 3 เราก็น่าจะรับมือได้ไม่ยาก แต่ถ้าระดับสูงมากกว่านั้น เลี่ยงได้ก็เลี่ยงจะดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินกำชับกับตนเองอยู่ในใจ
1 เค่อต่อมา หลินเป่ยเฉินก็เดินหิ้วไก่ตายสองตัวมาถึงริมทะเลสาบในที่สุด
นี่คือทะเลสาบไร้นาม มีขนาดพื้นที่กว้างใหญ่หลายลี้ ฝั่งตะวันตกเป็นพื้นที่ซึ่งติดกับแม่น้ำ ทะเลสาบแห่งนี้เงียบสงบ น้ำใสสะอาด น่าจะมีความลึกไม่น้อย บริเวณชายฝั่งเป็นหาดทรายสีขาวสบายตาที่หาได้ยากยิ่ง หลินเป่ยเฉินลองดูข้อมูลในแอปแผนที่ จึงพบว่าทะเลสาบแห่งนี้ไม่มีอันตราย
เข็มกลัดดาราชิ้นแรกซ่อนอยู่ที่ก้นทะเลสาบ
หลินเป่ยเฉินยืนยืดเส้นยืดสายอยู่บนชายหาด เมื่อร่างกายพร้อมแล้ว เขาก็กระโดดพุ่งหลาวลงไปในน้ำ
ตอนยังอยู่บนโลกมนุษย์ เด็กหนุ่มชำนาญเรื่องการดำน้ำยิ่งกว่าอะไรดี
ในขณะนี้ เมื่อมีพลังปราณและพื้นฐานการฝึกกำลังภายในคอยเกื้อหนุน หลินเป่ยเฉินจึงสามารถกลั้นลมหายใจได้นานกว่าปกติ และเคลื่อนไหวใต้น้ำได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว
ด้วยมีโทรศัพท์คอยนำทาง เพียงดำน้ำลงไปได้ประมาณ 10 ช่วงตัว เขาก็พบเจอเข็มกลัดดาราชิ้นแรก
“ฮ่า!”
หลินเป่ยเฉินพุ่งขึ้นมาเหนือผิวน้ำ และกระโดดกลับขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
เข็มกลัดชิ้นนี้มีลักษณะเป็นรูปไข่ มองผ่านๆ ไม่ต่างจากก้อนหินที่จมอยู่ใต้น้ำนานแล้ว ตัวเข็มกลัดมีพื้นหลังเป็นสีน้ำเงินเข้ม พื้นผิวด้านบนประดับด้วยจุดสีเงินเล็กๆ แวววาวมากมายเหมือนท้องฟ้ายามราตรี จึงไม่ต้องแปลกใจอีกแล้วว่าทำไมมันถึงได้ชื่อว่าเข็มกลัดดารา
โทรศัพท์ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า เข็มกลัดดาราชิ้นนี้ มีหมายเลขประจำตัวคือหมายเลข 1
หมายความว่านี่คือเข็มกลัดดาราชิ้นที่ 1 นั่นเอง
หลินเป่ยเฉินเก็บมันไว้ในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์โดยไม่ลังเล
หลังจากนั้น เขาก็ออกตามหาเข็มกลัดชิ้นต่อไปบนแผนที่โดยไม่หยุดพัก
หลินเป่ยเฉินหมดเวลาไปกับการเดินค้นหาเข็มกลัดตามตำแหน่งต่างๆ ที่แผนที่ได้แจ้งเอาไว้แทบทั้งวัน
พริบตาเดียวก็ผ่านไป 4 ชั่วยามแล้ว
“ได้เวลากลับค่ายพักแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินจัดการเก็บเข็มกลัดดาราชิ้นที่ 9 เข้าไว้ในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์
แต่เมื่อมองหน้าจอโทรศัพท์ ก็พบว่าขณะนี้แบตเตอรี่เหลืออยู่เพียง 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว
“ถึงจะโกงจนทุกอย่างง่ายขึ้น แต่ก็กินพลังงานเยอะเหมือนกันนะเนี่ย…”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าใจไม่น้อยเพราะการใช้งานแอปแผนที่นำทางกินแบตเตอรี่จนน่ากลัว
เมื่อเช้านี้แบตเตอรี่ยังเหลืออยู่ 50% ชัดๆ
ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องเสียเงิน 10 เหรียญทองคำ เพื่อชาร์จโทรศัพท์ทุกๆ สองวัน
ตอนที่สอบกลางภาค หลินเป่ยเฉินได้รับรางวัลเป็นเหรียญทองคำ 50 เหรียญ ซึ่งคงไม่พอให้เขาใช้ชาร์จโทรศัพท์ได้เกิน 10 วัน
นั่นหมายความว่าถ้าการสอบครั้งนี้สิ้นสุดลง เขาก็จะไม่มีเงินติดตัวเลยสักเหรียญเดียว
“สงสัยต้องรีบหาเงินแล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินเดินหิ้วไก่ตายทั้งสองตัวเดินมุ่งหน้ากลับสู่ค่ายพักพลางคิดวิธีหาเงินไปพลาง
ป่าต้องห้ามยามราตรีจะเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายอันตราย ไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะมาเดินเพ่นพ่านได้เด็ดขาด
สถานที่ปลอดภัยเพียงแห่งเดียวในบริเวณนี้ ก็คือค่ายพักของพวกเขาเท่านั้น
ตอนเดินกลับ หลินเป่ยเฉินก็ยังคงใช้งานแผนที่นำทาง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจพบเจอโดยไม่ทันตั้งตัว
ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาประหยัดแบตเตอรี่
สุดท้าย เขาก็เดินมาถึงบริเวณชายป่า ซึ่งอยู่ห่างจากค่ายที่พักประมาณห้าลี้
แต่ทันใดนั้นเอง…
“พรึบ!”
ตาข่ายขนาดใหญ่ร่วงลงมาจากต้นไม้ด้านบน กำลังจะครอบคลุมลงมาทั้งลำตัวของเขา
“เช้ง!”
พลัน หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกจากฝัก
คมกระบี่สาดประกายวิบวาว
ตาข่ายยักษ์ถูกฟันขาดสะบั้น
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินลอยตัวออกมาจากตาข่ายที่ขาดวิ่น
พริบตานั้น ลูกตุ้มเหล็กที่ร้อยเชือกจำนวนหนึ่ง ก็พุ่งออกมาจากข้างทางเหมือนอสรพิษเล่นงานเหยื่อ
“ควับ!”
หลินเป่ยเฉินใช้กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อย
หนึ่งกระบี่แยกร่างเป็นสามเงา
แล้วสายลูกตุ้มเหล็กเหล่านั้นก็ถูกตัดขาดสะบั้นไป
ได้ยินเสียงผิวปากส่งสัญญาณดังขึ้นจากในดงไม้
แล้วเงาร่างหลายสายก็กระโดดลงจากต้นไม้รอบตัว หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบ
เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ดูเหมือนจะมีคนรวมกลุ่มกัน คอยดักปล้นเข็มกลัดดาราจากคนอื่นๆ แล้วสินะ โชคดีที่เมื่อกี้พวกมันลงมือล้มเหลว เลยต้องรีบหนีไปแบบนั้น”
หลินเป่ยเฉินคาดเดา
นี่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย
เพราะก่อนที่จะรู้ว่าแอปแผนที่ในโทรศัพท์สามารถตามหาเข็มกลัดดาราได้ หลินเป่ยเฉินก็มีความคิดที่จะดักปล้นผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่กำลังจะเดินกลับค่ายพักเช่นกัน วิธีนี้จะทำให้เขาเสียแรงน้อย แต่ได้คะแนนเยอะ อีกอย่าง การออกตามหาเข็มกลัดด้วยตัวเอง ย่อมช้ากว่าการแย่งชิงจากผู้อื่นอยู่แล้ว
ดูเหมือนจะมีคนคิดแผนการเดียวกับเขาขึ้นมาได้เช่นกัน
นี่เรียกว่าใจตรงกันเป็นอย่างยิ่ง
แต่โชคดีที่เมื่อสักครู่นี้ เขาตอบสนองอย่างเร็วไว
หลินเป่ยเฉินไม่ลืมกำชับกับตนเองว่า หลังจากนี้ เขาต้องระวังตัวทุกย่างก้าว
ตลอดทางกลับที่พัก เด็กหนุ่มไม่เจอการดักปล้นอีกเลย
1 เค่อต่อมา หลินเป่ยเฉินก็กลับมาถึงค่ายพักอย่างปลอดภัย เมื่อนำเครื่องรางประจำตัวให้เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูตรวจสอบ หลินเป่ยเฉินก็ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่ลานจัตุรัสอีกครั้ง
ขณะนี้ ผู้เข้าทดสอบส่วนใหญ่ได้กลับมากันหมดแล้ว
หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองสีหน้าของผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ ด้วยความระมัดระวัง แล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
นั่นเป็นเพราะว่าหลายคน…บ้างก็อยู่ในสภาพกึ่งเปลือยกาย บ้างก็มีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว
“เฮ้อ วันนี้ข้าช่างโชคร้ายเหลือเกิน ออกเดินป่าทั้งวันไม่เจอเข็มกลัดสักชิ้น แถมระหว่างกลับที่พักก็โดนคนดักปล้นเสียอีก พวกมันใช้ไม้พลองทุบตีข้า จนตอนนี้ข้ายังเจ็บที่ศีรษะอยู่เลยเนี่ย” เด็กหนุ่มคนที่มีศีรษะบวมปูดพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“เจ้ายังดีแค่หัวปูดธรรมดา แต่ข้านอกจากถูกปล้นแล้ว พวกมันยังถอดเสื้อผ้าข้าไปหมดอีกด้วย” เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ยืนเปลือยกายท่อนบน พยายามกลั้นสะอื้นขณะยกมือปาดน้ำตา
“ใช่ พวกมันโหดร้ายเหลือเกิน ข้าก็โดนพวกมันถอดเสื้อผ้าไปเหมือนกัน อย่าให้รู้เชียวนะว่าพวกมันเป็นใคร ข้าจะสังหารพวกมันด้วยมือของข้าเอง…”
“แต่พวกมันเล่นคลุมหน้าคลุมตาแบบนั้น เราจะไปรู้ได้ไงว่าพวกมันเป็นใคร มันขโมยเสื้อผ้าของเราไปด้วย อีกหน่อยคงใช้ปลอมตัวตอนลงมือปล้นคนอื่นแน่ๆ…”
กลุ่มศิษย์ที่ถูกดักปล้นระหว่างทาง ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันว่าตนเองพบเจออะไรมาบ้าง
หลังจากได้ระบายความทุกข์ให้กันและกันฟังแล้ว พวกเขาก็รู้สึกเจ็บปวดน้อยลง
หลินเป่ยเฉินเดินเลี่ยงออกมาตรงไปยังแท่นหินที่แจ้งลำดับคะแนน
ลำดับคะแนนของวันแรกประกาศออกมาแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เทพธิดาอัจฉริยะประจำเมืองอย่างหลิงเฉินจะอยู่ที่อันดับ 1 นางมีอยู่ 10 คะแนนจากการพบเข็มกลัดดารา 1 ชิ้น
ส่วนบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ยังมีอยู่ศูนย์คะแนน
ไม่เว้นแม้แต่เถาว่านเฉิงกับหลี่เเทา สองหนุ่มอัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง
“พวกเจ้ามันยังอ่อนหัดนัก” หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้ม พูดกับตัวเองได้อย่างหน้าไม่อายที่สุด