ตอนที่ 547 กระดูกทองคำ
‘เจ้าแน่ใจนะ?’
ข้อความก้อนดินบนผนังที่แน่นิ่งเมื่อสักครู่นี้พลันกลับมาขยับเขยื้อนอีกครั้ง
ฉินฉู่อี้เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามเมื่อสักครู่นี้กระตุกระริก
“ไม่นะ…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดปานฟ้าคำรามดังขึ้น
แสงสีขาวสว่างวาบ
ศีรษะของฉินฉู่อี้ระเบิดกระจายเหมือนลูกแตงโมถูกค้อนทุบ ร่างกายอ้วนท้วมปราศจากศีรษะลอยกระเด็นไปด้านหลังและล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
นี่คือฝ่ามือลำแสงพิฆาต!
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความร้ายกาจของวิชานี้ผุดขึ้นมาในสมองของเจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงราวกับสายน้ำไหล
เสียงระเบิดแบบนี้
แสงสว่างแบบนี้
การทำลายล้างแบบนี้…
ไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด
ในเมืองหยุนเมิ่ง มีเพียงหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้นสามารถใช้วิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาตได้อย่างน่าหวาดกลัว เสียงคำรามที่ดังราวฟ้าผ่ากระไรปานนั้น อานุภาพการทำลายล้างที่รุนแรงกระไรปานนั้น แม้แต่ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ก็ไม่อาจต้านทานได้อีกแล้ว
การต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินได้สำแดงวิชาฝ่ามือลำแสงพิฆาตให้ทุกคนได้ประจักษ์ถึงความร้ายกาจ
ทุกคนที่นึกถึงอานุภาพการทำลายล้างของวิชานี้ ล้วนต้องเย็นเฉียบไปทั่วร่างกาย
“ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้…”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาคือบุคคลแรกที่สลัดหลุดออกมาจากห้วงแห่งความตกตะลึงได้สำเร็จ
เมื่อขยับร่างกาย ฉลามหนุ่มก็กระโดดออกจากหน้าต่างขึ้นไปยืนอยู่บนก้อนหินสูงใหญ่ที่อยู่ข้างโรงน้ำชา ร่างกายแผ่พลังลมปราณออกมาอย่างรุนแรง หลังจากนั้น มันก็กระแทกหมัดลงไปใส่ก้อนหินยักษ์ใหญ่ก้อนนั้น
ครืน!
ก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นพังทลายลงไปทันที
ฝุ่นตลบ
บรรดานักรบชาวทะเลที่อยู่โดยรอบรีบรุดมายังที่เกิดเหตุ
แต่ในไม่ช้า แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็เดินออกมาจากใต้กองเศษหิน
ร่างกายปกคลุมด้วยม่านพลังวารีสว่างไสว
ไม่มีส่วนใดของร่างกายได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าเด็กนรก…”
ดวงตาของแม่ทัพฉลามใหญ่เป็นประกายวาวโรจน์ มันเดินสำรวจรอบบริเวณด้วยความระมัดระวัง ปรากฏลำแสงสีเขียวสองสายพุ่งออกมาจากดวงตา ลำแสงสีเขียวเหล่านั้นสแกนรอบบริเวณเหมือนต้องการจะค้นหาอะไรบางอย่าง ดูแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
“หายไปแล้ว ไม่เหลือร่องรอยเลยแม้แต่นิดเดียว”
ลำแสงประหลาดจากดวงตาของแม่ทัพฉลามอู๋หยาก็สลายหายไปแล้วเช่นกัน
สีหน้าของแม่ทัพฉลามกลับมาเคร่งเครียดจริงจังอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินนอกจากสามารถบุกมาซุ่มโจมตีได้สำเร็จ มันยังเป็นการซุ่มโจมตีที่อู๋หยาตรวจสอบไม่พบความเคลื่อนไหวอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าระดับพลังของเด็กหนุ่มผู้นี้มีมากเกินกว่าที่คิดจริงๆ
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงสามารถช่วยเหลือชาวเมืองหยุนเมิ่งเอาไว้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่คนสนิทของเว่ยหมิงเฉินเดินทางมาลงมือด้วยตนเองก็ยังต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
ภายใต้ภาพลักษณ์เหลวไหลไม่ได้เรื่อง คือความร้ายกาจที่ไม่อาจหาใครเสมอเหมือน
นับว่าประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ความโกรธแค้นในจิตใจของแม่ทัพฉลามอู๋หยาก็เบาบางลงไปมาก
ชาวทะเลมักให้ความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อู๋หยามีศัตรูเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้
“พวกเจ้าทั้งสองคนพักอยู่ในเรือนรับรองข้างจวนผู้ว่าก็แล้วกัน”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยขณะจ้องมองสายลับทั้งสองคนด้วยดวงตาเป็นประกาย “ในเมื่อหลินเป่ยเฉินบอกว่าอีก 3 วันจะกลับมาเอาชีวิตพวกเจ้า มันก็จะต้องกลับมาแน่นอน ข้าจะสั่งให้เวรยามนักรบชาวทะเลคอยคุ้มกันพวกเจ้าเป็นอย่างดี มาดูกันเถิดว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถสังหารพวกเจ้าได้อย่างไร”
เจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง
ตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้ว หากให้กลับไปอยู่ร่วมสังคมมนุษย์ ก็คงไม่ต่างจากรนหาที่ตาย
ดังนั้น ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนจึงเตรียมตัวเตรียมใจละทิ้งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และตั้งมั่นที่จะรับใช้ชาวทะเลด้วยชีวิต
“ขอบคุณท่านแม่ทัพมากขอรับ”
“ท่านแม่ทัพช่างมีเมตตาต่อข้าน้อยเหลือเกิน สมแล้วที่พวกท่านเป็นทายาทของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล”
เจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงประสานมือคำนับและพูดจาประจบประแจงเอาใจ
ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ล้วนมีศักดิ์ศรี
แต่อย่างไรก็ตาม เจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงบัดนี้ยินดีทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด ต่อให้ต้องก้มลงไปเลียรองเท้าของแม่ทัพฉลามอู๋หยาเพื่อแลกกับการได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งสองคนก็ยินดีทำโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพขอรับ หลินเป่ยเฉินถึงกับกล้าแอบเข้ามาลอบสังหารถึงขนาดนี้ เท่ากับว่ามันดูถูกเผ่าพันธุ์ของเราเป็นอย่างยิ่ง” ที่ปรึกษาเต่าทะเลพยายามสอบถามความคิดเห็น “ไม่ทราบว่าเราควรแก้แค้นเลยหรือไม่?”
“ไม่เป็นไรหรอก” แม่ทัพฉลามอู๋หยามีสีหน้าที่แสดงออกถึงความเลือดเย็นอย่างน่ากลัว ก่อนพูดว่า “บัดนี้ดำเนินการตามแผนเดิมไปก่อน ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าหลินเป่ยเฉินมันคิดจะทำสิ่งใดต่อไป”
…
“โชคดีนะเนี่ยที่เราวิ่งเร็ว”
เมื่อกลับมาถึงเนินเขาฝั่งตะวันตก หลินเป่ยเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
สุดท้าย การยั่วโมโหของฉินฉู่อี้ก็ทำให้เขาอดลงมือไม่ได้
ความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นในจิตใจทำให้หลินเป่ยเฉินไม่สามารถทนทานได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มจึงดาวน์โหลดปืนอินทรีหิมะออกมายิงชายฉกรรจ์ร่างอ้วนตายคาที่
นับว่าฉินฉู่อี้รนหาที่ตายเองโดยแท้ เรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดเขาไม่ได้เด็ดขาด
แต่การกระทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลังครั้งนี้ เกือบทำให้หลินเป่ยเฉินต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน
แม่ทัพฉลามอู๋หยามีความน่ากลัวเกินกว่าที่หลินเป่ยเฉินได้คาดคิดเอาไว้
ถึงเขาจะเปลี่ยนตำแหน่งยิง แต่ก็เกือบจะถูกจับตัวได้อยู่ดี
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น หลินเป่ยเฉินได้สั่งให้โทรศัพท์มือถือฉายภาพจำลอง 4 มิติของตนเองเพื่อดึงดูดความสนใจของแม่ทัพฉลามผู้โหดเหี้ยม และด้วยความช่วยเหลือของเศษฝุ่นที่ฟุ้งตลบในอากาศ หลินเป่ยเฉินจึงสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด!
กล่าวได้ว่าเมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องใช้ไพ่ตายของตนเองออกมาทั้งหมดเพื่อหลบหนีเอาชีวิตรอด
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็…
ต่อให้มีระดับพลังสูงส่งอย่างอาจารย์ติง เกรงว่าเมื่อถูกรุมล้อมอยู่ในกับดักเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางตีฝ่าวงล้อมออกไปได้เด็ดขาด
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินเผชิญหน้ากับพลังลมปราณของแม่ทัพฉลามอู๋หยาที่ระเบิดเข้าใส่อย่างจวนตัว ทำให้บัดนี้เขายังคงรู้สึกชาดิกไปทั้งครึ่งซีกของร่างกายอยู่เล็กน้อย
“แข็งแกร่งและน่ากลัว”
หลังจากได้เผชิญหน้ากันอย่างจริงจังเมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินก็ต้องทำความเข้าใจกับระดับพลังของแม่ทัพฉลามอู๋หยาใหม่ทั้งหมด
ซึ่งทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่น้อย
การต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ยังคงไม่มีใครรู้ผลแพ้ชนะเช่นเดิม
จังหวะนั้น
‘ติ๊ง’
“นายท่านเจ้าคะ แอปเจิ้นอ้ายหว่างดาวน์โหลดสำเร็จแล้ว ไม่ทราบว่านายท่านต้องการจะติดตั้งเลยหรือไม่?”
เสียงของผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม
“ติดตั้งเลยสิ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับโดยทันที แอปพลิเคชันสำหรับการหาคู่เช่นนี้ ไม่น่าจะมีประโยชน์สำหรับการต่อสู้ระหว่างผู้คนทั้งสองเผ่าพันธุ์สักเท่าไหร่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาจึงลืมเลือนมันไปเสียสนิท
แต่ไหนๆ ก็ดาวน์โหลดมาแล้ว ลองติดตั้งดูหน่อยก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินใช้วิชาตัวเบาเดินทางกลับไปที่ภูเขาเสี่ยวซีพร้อมกับใช้ความคิดอย่างหนัก
ด้านหลังเด็กหนุ่มห่างออกไปประมาณครึ่งลี้ อาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีผู้สวมใส่ชุดนอนกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่ง ในปากของชายชรากำลังคาบใบไม้เล่นอยู่หนึ่งใบ ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินหายลับไปจากสายตา
“เด็กคนนี้สามารถสังหารฉินฉู่อี้ได้ต่อหน้าต่อตาแม่ทัพฉลาม นับว่าเปิดหูเปิดตาข้าแล้วจริงๆ…”
หลิงไท่ซวียิ่งจ้องมองก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจ
สมแล้วที่เขาเลือกให้เป็นหลานเขยหนึ่งเดียวในดวงใจตลอดมา
…
ภายในห้องพักที่เงียบสงบ
หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นการดูดซับพลังอีกครั้ง
ในมือทั้งสองข้างถือไว้ด้วยศิลาบูชา ร่างกายของเขากำลังดูดพลังปราณธาตุขึ้นมาจากก้อนศิลาเหล่านั้นตลอดเวลา
วันเวลาผ่านไป
เพียงพริบตาเดียว การต่อสู้ระหว่างตัวแทนชาวเมืองหยุนเมิ่งกับตัวแทนของชาวทะเลก็กำลังจะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า
“เสี่ยวจี้ อาสาสมัครที่เข้าเล่นเกม Lost Castle ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้นมาถาม
“น่าพอใจมากเจ้าค่ะ ทุกคนยังคงต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” เสี่ยวจี้ตอบกลับมาด้วยความร่าเริง “แต่ในโลกแห่งเกมบัดนี้ก็ผ่านมาได้ 24 วันแล้ว หากปล่อยให้เล่นนานกว่านี้อาจจะมีอาการเสพติดเกมได้เจ้าค่ะ เสี่ยวจี้ขอแนะนำให้ส่งพวกเขากลับออกมาก่อนดีกว่านะเจ้าคะ”
ระหว่างที่พูดถ้อยคำเหล่านี้
ลำแสงสว่าง 12 สายก็พุ่งลงมาจากหลังคาห้องพัก
ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
หลายคนร่วงหล่นลงมาบนเตียงนอน
บรรยากาศปั่นป่วนวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง
“อ๊าก ตายซะ ตายซะ พวกเจ้าต้องตายไปให้หมด…”
“พวกเราสู้”
“ย๊ากกกก พวกท่านรีบหนีไป เดี๋ยวข้าจะคอยระวังหลังให้เอง…”
อาสาสมัครทั้ง 12 คนนั้นยังคงคิดว่าตนเองอยู่ในโลกแห่งเกมอยู่เช่นเดิม พวกเขาส่งเสียงตะโกนฆ่าฟัน หลายคนมีสภาพเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อย แต่กลับไม่ยอมหลบหนีเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ตลอด 20 กว่าวันที่ผ่านมา ได้ถักทอให้มิตรภาพของพวกเขาแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น และบัดนี้ กลุ่มอาสาสมัครก็สามารถแบ่งแยกลำดับชั้นได้แล้วว่าใครเป็นผู้นำ ใครเป็นรองหัวหน้า และใครมีสถานะต่ำลงมาต่อจากนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องตกใจมากก็คือเซียวปิง ซึ่งสมควรเป็นผู้เล่นที่ทำคะแนนได้น้อยที่สุด และไม่น่าเป็นผู้ที่อยากจะเล่นเกมมากที่สุด กลับมีสีหน้าที่แสดงถึงความเสียดายไม่ใช่น้อย เมื่อสำรวจพบว่าตนเองได้กลับออกมาจากโลกแห่งเกมเสียแล้ว
“อ้าว นี่มันอะไรกัน? พวกเราออกมาจากค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือขอรับ? ข้ายังอยากฆ่าพวกมันต่ออยู่เลย…”
เซียวปิงเริ่มมีอาการเหมือนเด็กติดเกมขึ้นมาจริงๆ
และสิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินตกใจมากไปกว่านั้นก็คือเซียวปิงเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
เด็กหนุ่มร่างอ้วนแข็งแกร่งมากขึ้น
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายโดยไม่รู้ตัวมีความหนาแน่นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า
เลือดลมและชีพจรในร่างกายก็ไหลเวียนอย่างสะดวกปลอดโปร่ง เพียงมองด้วยตาเปล่า ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ามีแสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากใต้ผิวหนังของเซียวปิงระยิบระยับ
“อย่าบอกนะว่า… นี่คือขั้นกระดูกทองคำในวิชากระบี่เร้นกาย?”
หลินเป่ยเฉินอดอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงไม่ได้