ตอนที่ 548 ข้าจะให้โอกาสมันอีกสักครั้ง
“ท่านพี่ ข้ายังเลื่อนระดับไม่ถึงไหนเลยนะ ทำไมถึงนำพวกเราออกมาเร็วจริง?”
เซียวปิงกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งและหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาที่เหมือนเด็กนักเรียนชั้นประถมถูกพ่อแม่ผู้ปกครองยึดโทรศัพท์มือถือ เด็กหนุ่มร่างอ้วนพูดด้วยน้ำเสียงงอแงต่อไปว่า “ข้ายังอยากฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นอยู่เลย”
“นี่เจ้าเลื่อนขึ้นมาอยู่ในขั้นกระดูกทองคำแล้วงั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินใช้สายตาสำรวจมองน้องชายร่วมสาบานของตนเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“ใช่แล้วขอรับ ในปราสาทมีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งชื่อว่าก็อบลินยักษ์ มันมีพลังแข็งแกร่งมหาศาล เสียแต่ว่าสมองใช้งานไม่ค่อยได้ จึงมีดีแค่ร่างกาย แต่สติปัญญากลับโง่เขลาเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่คนอื่นๆ ถูกก็อบลินยักษ์ต่อยกระเด็นออกไป ข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถยืนหยัดรับหมัดของมันได้ ดังนั้น ร่างกายของข้าจึงสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นกระดูกทองคำได้สำเร็จ…”
เซียวปิงพูดด้วยความภูมิอกภูมิใจ
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างมากกว่าเดิม
ให้ตายสิ เซียวปิงชักจะเก่งเกินไปแล้วนะ
หรือว่าหมอนี่มันก็เป็นคนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน?
ตอนที่หลินเป่ยเฉินเข้าไปอยู่ในเกม Lost Castle นั้น เขาไม่ได้สนใจอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัตว์ประหลาดระดับหนึ่งที่ตนเองฆ่าตายไปนั้นมีชื่อว่าอะไร
หลินเป่ยเฉินรู้เพียงแค่ว่าการเล่นเกมช่วยทำให้ระดับพลังของพวกเขาเพิ่มพูนมากขึ้น
แต่ว่าเจ้าเด็กที่เอาแต่กินอยู่ตลอดเวลาอย่างเซียวปิง กลับสามารถทะยานขึ้นมาเป็นผู้เล่นเกมตัวฉกาจได้อย่างไร?
“การที่เราจะเล่นเกมนั้น… เอ๊ย การที่เราจะเพิ่มระดับพลังให้แก่ตัวเองนั้น จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการฝึกฝนและการพักผ่อนให้ดี”
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้าย เขาก็หาเหตุผลที่จะนำมาใช้เป็นข้ออ้างได้สำเร็จ “อีกอย่าง ในสภาพแวดล้อมของค่ายอาคม มันจะช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายและทักษะการต่อสู้ของพวกเจ้าเท่านั้น แต่มันไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับพลังลมปราณในตัวขึ้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากนี้เป็นต้นไป ข้าจะเปลี่ยนให้ทุกคนหันมาฝึกการโคจรพลังลมปราณแต่เพียงอย่างเดียว”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองหน้าทุกๆ คน
หลังจากผ่านช่วงเวลา 24 วันแห่งการฆ่าฟันและการต่อสู้ในโลกแห่งเกม อาสาสมัครทั้ง 12 คนเหล่านี้ก็นับว่าพัฒนาขึ้นจากเดิมหลายเท่า
ดวงตาและหว่างคิ้วของทุกคนแผ่รังสีอำมหิตออกมาโดยไม่รู้ตัว ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างกายไม่ต่างไปจากเทพเจ้าแห่งความตายกำลังลงมาเยือนโลกมนุษย์
สุดยอดเลยแฮะ!
ฉู่เหินชกกำปั้นเหล็กเข้ากับฝ่ามือของตัวเองเบาๆ “สรุปว่าเวลา 24 วันในค่ายอาคม เท่ากับเวลาเพียง 2 วันในโลกแห่งความจริงเท่านั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
“สมแล้วที่เป็นค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการประทานพรมาจากเทพีกระบี่”
“ข้าถึงกับใกล้จะเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้แล้วด้วยซ้ำ”
“ถึงอยู่ในนั้นจะเหน็ดเหนื่อยและอันตราย แต่มันก็มีประโยชน์ต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่ง”
พานเว่ยหมินกับหลิวฉีไห่กลับมาตั้งสติได้แล้วเช่นกัน และอาจารย์อาวุโสทั้ง 2 ท่านก็กำลังพูดด้วยความตื่นเต้น
มีข่าวลือว่านายทหารระดับสูงของจักรวรรดิเป่ยไห่มักจะได้รับการฝึกฝนในค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งวิธีการสร้างค่ายอาคมเหล่านั้นไม่เป็นที่เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก ข่าวลือบอกเพียงแต่ว่าด้านในค่ายอาคมนั้นจะบรรจุอยู่ด้วยด่านต่างๆ ให้นายทหารฟันฝ่าผ่านอุปสรรค ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มพูนทักษะการต่อสู้และความแข็งแกร่งของร่างกายรวมถึงความแข็งแกร่งของจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คณะอาจารย์อาวุโสจึงคิดไม่ถึงเลยว่าในวันนี้ พวกเขาจะได้มีโอกาสสัมผัสค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบนั้นด้วยตนเอง
ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่หลินเป่ยเฉินแต่เพียงผู้เดียว
แววตาที่อาสาสมัครทุกคนจ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินพลันเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
“ทุกคนเลิกคิดฟุ้งซ่านกันได้แล้ว เรามาตั้งใจดูดซับพลังกันดีกว่า ที่นี่มีศิลาบูชาให้ทุกคนได้ใช้งานไม่มีวันหมด พวกท่านต้องไม่ลืมว่าหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อของเราที่จะต้องเสียไปในการต่อสู้ซึ่งรออยู่ข้างหน้า เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องเสียสละเพื่อชาวเมืองหยุนเมิ่ง และคู่ต่อสู้ที่พวกเรากำลังจะต้องพบเจอ มันก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่อยู่ในปราสาทของค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว!”
ในอดีต หลินเป่ยเฉินเป็นเพียงเด็กหนุ่มจอมเสเพล วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่ พฤติกรรมเหลวไหลไม่ได้เรื่อง
แต่ ณ ตอนนี้ ไม่มีผู้ใดเกลียดชังเขาอีกแล้ว
ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าไปในห้องกักตัวของตนเองพร้อมด้วยศิลาบูชาจำนวนมาก และเริ่มต้นการดูดซับพลังโดยไม่หยุดพัก
ไม่มีใครถามว่าพวกของฉินฉู่อี้ทั้ง 3 คนหายไปไหน
เอ่อ
ทั้งหมดทำเหมือนกับว่าชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนนั้นไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
“แผนการต่อจากนี้ก็คือ เราจะให้ทุกคนนั่งดูดซับพลังจากศิลาบูชาเป็นเวลาหนึ่งวันครึ่ง ส่วนอีกครึ่งวันที่เหลือก่อนการต่อสู้ เราก็จะปล่อยให้พวกเขาได้มีโอกาสเข้าไปสนุกอยู่ในเกม Lost Castle อีกครั้ง เพื่อเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่รออยู่ข้างหน้า”
“แต่การเล่นเกมในรอบนี้ มันจะเป็นตัวตัดสินลำดับคะแนนว่าใครจะเป็นตัวแทนทั้ง 5 คนออกไปต่อสู้กับพวกชาวทะเลบ้าง เราจะคัดเลือกตัวแทนจากสถิติผู้ทำคะแนนในเกมได้ดีที่สุด เพราะนั่นหมายความว่า ผู้ที่ทำคะแนนในเกมได้สูงที่สุด ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินคิดแล้วคิดอีกก็สรุปความคิดสุดท้ายออกมาได้ดังนี้
เด็กหนุ่มกำลังจะกลับมานั่งดูดซับพลังจากศิลาบูชาต่อจากเดิม แต่แล้วในทันใดนั้นเอง…
‘ติ๊ง สินค้าที่ท่านสั่งมาถึงปลายทางแล้ว ต้องการลงนามรับสินค้าเลยหรือไม่?’
ข้อความแจ้งเตือนจากแอป Taobao ปรากฏขึ้นในหัวสมอง
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ในที่สุด ปืนทั้งสองกระบอกที่เขาสั่งซื้อก็มาถึงแล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินเปิดโทรศัพท์และพบว่าปืนไรเฟิล kar98k กับปืนยิงจรวด Type 69 ได้เดินทางมาถึงแล้วจริงๆ
“ตอนนี้แหละ”
หลินเป่ยเฉินกดลงนามรับสินค้าโดยไม่ลังเล
แล้วเหตุการณ์ที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลุมดำที่มีขนาดศูนย์กลางกว้างประมาณเกือบครึ่งจั้งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขาในลักษณะของวังน้ำวน จากนั้น ก็ได้มีวัตถุลักษณะเรียวยาวสองชิ้นยื่นลงมาจากวังน้ำวนตกลงมาอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
ปืนไรเฟิล kar98k มีด้ามจับเป็นสีดำมะเมื่อมและมีกระบอกเรียวยาวเป็นสีส้ม มาพร้อมกับกล้องขยายภาพสำหรับการซุ่มยิงโดยเฉพาะ
ปืนซุ่มยิงกระบอกนี้มีน้ำหนักไม่ใช่น้อย
แน่นอนว่านี่คืออาวุธที่มีน้ำหนักมากถึง 400 กิโลกรัม
โชคดีที่น้ำหนักเพียงเท่านี้ถือว่าเบามากสำหรับหลินเป่ยเฉิน
ส่วนปืนยิงจรวด Type 69 มีลักษณะคล้ายคลึงกับของจริงทุกประการ แต่มันมีน้ำหนักมากกว่าปืนไรเฟิล kar98k อีกประมาณ 100 กิโลกรัม และมาพร้อมกับช่องบรรจุกระสุนที่ว่างเปล่า
เช่นเดียวกับปืนอินทรีหิมะ
ปืนทั้งสองกระบอกนี้จัดว่าเป็นอาวุธหนัก จำเป็นต้องโคจรพลังลมปราณลงไปเพื่อใช้สังหารศัตรูแทนลูกกระสุน
หลังจากที่ลองทดสอบดูหลายรอบ หลินเป่ยเฉินก็ได้คำตอบในที่สุด
ในการยิงปืนหนึ่งนัด ปืนไรเฟิล kar98k จำเป็นต้องใช้พลังลมปราณในร่างกายที่มีอยู่ทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 2 ซึ่งเป็นระดับพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินพอดี
แต่การจะใช้งานปืนยิงจรวด Type 69 จำเป็นต้องบรรจุพลังลมปราณลงไปมากกว่านั้น
ค่อนข้างน่าอายทีเดียว
กล่าวโดยสรุปก็คือ การยิงไรเฟิล kar98k หนึ่งนัด จะสูบพลังลมปราณที่มีทั้งหมดในร่างกายของหลินเป่ยเฉินไปหมดสิ้น
ส่วนการใช้งานปืนยิงจรวด Type 69 นั้น จำเป็นต้องใช้งานพลังลมปราณมากกว่าที่เด็กหนุ่มมีอยู่ในตอนนี้ถึงห้าเท่า
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการใช้อาวุธปืนในแต่ละครั้ง
เห็นได้ชัดว่าอานุภาพการทำลายล้างของปืนสองกระบอกนี้มีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร
แต่โชคดีที่บัดนี้หลินเป่ยเฉินมีเหมืองแร่หินบูชาอยู่ในมือ ซึ่งศิลาบูชาเหล่านั้นสามารถนำมาใช้เป็นลูกกระสุนแทนการดูดซับพลังลมปราณ
“ยังเหลือสายลับที่ยังลอยนวลอยู่อีก 2 คน และนี่ก็ครบกำหนด 3 วันที่เราเคยขู่พวกมันเอาไว้แล้ว เอาเป็นว่าลองไปใช้งานปืน kar98k ให้พวกมันตกใจกันเล่นๆ ดีกว่า”
พลัน หลินเป่ยเฉินหยิบปืนซุ่มยิงขึ้นมาและเดินลงไปจากภูเขา
…
เรือนที่พักข้างจวนผู้ว่า
เจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงใช้เวลาตลอดทั้ง 2 วันที่ผ่านไปด้วยความหวาดกลัวตลอดเวลา แต่เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงวันนี้ สภาพจิตใจของพวกเขาก็เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“หึหึ ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าเด็กเสเพลคนนั้น ไม่มีทางกล้าบุกมาลอบสังหารพวกเจ้าถึงที่นี่เด็ดขาด ทีนี้พวกเจ้าจะเชื่อที่ข้าพูดได้แล้วหรือยัง?”
ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยหนียนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นายท่านเต่าทะเลกล่าวถูกต้องแล้วขอรับ”
“ฮ่าฮ่า นายท่านเต่าทะเลช่างมีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนรีบส่งเสียงหัวเราะเอาใจเต่าทะเลทันที
ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยหนียนผู้นี้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงในโลกใต้ท้องทะเล สถานะของมันสูงส่ง ถูกจัดอันดับเป็นหนึ่งในกุนซือคนสำคัญของแม่ทัพฉลามอู๋หยา ด้วยเหตุนี้ เจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงจึงต้องรีบประจบเอาใจ ไม่กล้าพูดจาขัดคอทำให้เต่าทะเลขุ่นเคืองอารมณ์
กุยหนียนยกมือลูบหนวดเคราของตนเองพร้อมกับพูดด้วยความผ่อนคลาย “นับว่าพวกเจ้าทั้ง 2 คนเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์โดยแท้ นับเป็นต้นแบบดีๆ ที่ทางมนุษย์บนบกควรเอาเป็นแบบอย่าง ฮ่าฮ่า หน่วยก้านของพวกเจ้าก็ไม่เลวทีเดียว ยังสามารถพัฒนาได้อีกไกลในอนาคต ในเมื่ออันตรายผ่านพ้นไปแล้ว วันนี้ท่านแม่ทัพจึงจัดเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษให้แก่พวกเจ้าที่โรงเตี๊ยมสิงโตทะเลนอกจวนผู้ว่า ไม่ทราบว่าพวกเจ้าต้องการเดินทางไปรับประทานหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนชะงักไปเล็กน้อย
แม่ทัพฉลามอู๋หยาจะจัดเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษให้แก่พวกเขาอย่างนั้นหรือ?
นี่ต้องเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
“ดะ… ด้วยความยินดีขอรับ”
“นายท่านเต่าทะเลและท่านแม่ทัพช่างมีเมตตายิ่งนัก”
เจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลงเมื่อได้ยินว่าตนเองมีวาสนาถึงเพียงนั้น ก็ไม่คิดติดใจสงสัยอะไรทั้งสิ้น จึงตกปากรับคำเดินตามที่ปรึกษาเต่าทะเลออกจากเรือนที่พัก ตรงไปยังโรงเตี๊ยมสิงโตทะเลด้วยความเต็มใจ
…
ด้านในจวนแม่ทัพฉลาม
“กราบเรียนท่านแม่ทัพ ท่านที่ปรึกษาเต่าทะเลได้นำตัวสายลับมนุษย์ทั้งสองคนนั้นไปรับประทานอาหารที่โรงเตี๊ยมสิงโตทะเลแล้วขอรับ และข้าน้อยก็ได้สั่งให้บริวารออกไปกระจายข่าวการเลี้ยงรับรองมนุษย์ชั้นต่ำทั้ง 2 คนนี้เป็นที่เรียบร้อย… ข้าน้อยเชื่อว่า ข่าวนี้จะต้องลอยไปถึงหูหลินเป่ยเฉินอย่างแน่นอน”
หนึ่งในกลุ่มองครักษ์ฉลามประจำตัวรายงาน
เมื่อได้รับฟังดังนั้น แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ฉีกยิ้มออกมาด้วยความชั่วร้าย
“นี่คือวันสุดท้ายที่หลินเป่ยเฉินเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะมาสังหารสายลับทั้ง 2 คนนี้ ข้าจะให้โอกาสมันอีกสักครั้ง มาดูกันเถิดว่าเด็กนรกผู้นี้มันจะกล้าบุกมาลอบสังหารผู้คนอีกหรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้ามันมาก็ดี เพราะจะถือเป็นการช่วยประหยัดเวลาให้ข้าได้เยอะเลยทีเดียว”
รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของแม่ทัพฉลามอู๋หยาไม่เสื่อมคลาย