“ต้องขออภัยพวกท่านด้วยที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน จนรบกวนความสงบสุขของอาคันตุกะผู้มาเยือน”
แม่ทัพฉลามอู๋หยายืนรอต้อนรับเจ้าชายอวี้ชินหวังและองค์หญิงเค่อเอ๋อร์อยู่บนท่าเรือของเกาะกลางทะเลสาบ ใบหน้าของฉลามหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ราวกับว่าเมืองหยุนเมิ่งอยู่ภายใต้การปกครองของชาวทะเลมาหลายร้อยปีแล้วก็ไม่ปาน
นี่ไม่ใช่เพราะมันหวาดกลัวอำนาจของแขกผู้มาเยือน
แต่เป็นเพราะแม่ทัพฉลามอู๋หยาคิดถึงผลประโยชน์สูงสุดของกองทัพมาเป็นอันดับแรก
แม้ว่าแม่ทัพฉลามอู๋หยาเดิมทีมีนิสัยเลือดร้อนวู่วามและเกลียดชังเผ่าพันธุ์มนุษย์ลงลึกถึงระดับจิตใต้สำนึก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีสมอง
เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลผู้มีอำนาจอยู่ในมือมากมายมหาศาล อู๋หยาก็ยินดีที่จะปั้นหน้ายิ้มแย้มแสดงความเป็นมิตร ในอนาคตข้างหน้า มีความเป็นไปได้สูงว่าจักรวรรดิเป่ยไห่จะแบ่งแยกออกเป็นสองฝั่ง แต่อย่างน้อยเมื่อถึงตอนนั้น กองทัพฉลามของมันก็ได้สร้างพันธมิตรไว้กับกองทัพจักรวรรดิจี้กวงเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับกับชีวิตทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ผลประโยชน์คือสิ่งสำคัญที่สุด
“เหตุไฉนองค์หญิงซีกับท่านเจ้าเมืองติงถึงไม่มาปรากฏตัวเล่า?”
เจ้าชายอวี้ชินหวังก้าวลงมาจากเรือรบ ชำเลืองมองกลุ่มชาวทะเลที่ออกมาต้อนรับและถามด้วยสีหน้าถมึงทึง
เขาคือรัชทายาทอันดับหนึ่งของจักรวรรดิจี้กวง เดินทางมาสานสัมพันธ์ไมตรีในฐานะตัวแทนของบ้านเกิดเมืองนอน อีกทั้งเจ้าชายอวี้ชินหวังยังได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงจากประชาชน ไม่ว่าจะเป็นยอดจอมยุทธ์ยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเขา บุคคลเหล่านั้นก็ยังต้องยอมก้มหัวแทบหมดสิ้น
และด้วยสถานะที่สูงส่งเช่นนี้ สมควรที่องค์หญิงซีไห่ถิงหรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนามองค์หญิงแห่งท้องทะเล ต้องออกมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง
“องค์หญิงเกิดอาการป่วยกะทันหันขอรับ บัดนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในจวนผู้ว่า ไม่สะดวกออกมาต้อนรับแขกผู้มาเยือนชั่วคราว”
แม่ทัพฉลามผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มแย้ม กล่าวต่อไปว่า “แต่ฝ่าบาทสามารถสั่งงานทุกอย่างผ่านข้าน้อยได้เลยขอรับ เพราะถึงอย่างไรผลลัพธ์ก็เหมือนกันอยู่แล้ว… โฮะโฮะโฮะ ข้าน้อยได้เตรียมจัดงานต้อนรับไว้ที่จวนแม่ทัพฉลาม ขอเชิญฝ่าบาทเสด็จเข้าด้านในก่อนเถิด”
“หืม?”
เจ้าชายอวี้ชินหวังหันกลับมาจ้องมองแม่ทัพฉลามอู๋หยา แล้วหัวใจก็ต้องกระตุกวูบเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเชิญท่านแม่ทัพนำทาง”
หลังจากนั้น ทุกคนก็โดยสารม้าน้ำยักษ์เดินทางตรงไปที่จวนแม่ทัพฉลามในทันที
“ท่านแม่ทัพอู๋หยา เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้น ?”
บัดนี้ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์เปลี่ยนมาสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีเหลืองทองอร่าม ดูอ่อนหวานและน่ารักน่าชังราวกับตุ๊กตา ผิดแผกกับน้ำเสียงที่ถามออกมาด้วยความสงสัย “ระหว่างล่องเรือมาที่เกาะแห่งนี้ ข้าได้ยินเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น แล้วก็มีผู้คนตะโกนว่าเกิดเหตุลอบสังหาร”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย “เป็นฝีมือหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักของชาวเมืองหยุนเมิ่งแอบเข้ามาก่อความวุ่นวายบนเกาะของเราขอรับ มันบุกเข้ามาลอบสังหารอดีตชาวเมืองที่เปลี่ยนใจหันมารับใช้เทพเจ้าแห่งท้องทะเล น่าเสียดายที่เรายังจับตัวเด็กหนุ่มผู้ร้ายกาจคนนี้ไม่ได้สักที”
นี่คือความเป็นจริงที่น่าอับอาย
แต่ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ อีกไม่ช้า คณะทูตของจักรวรรดิจี้กวงก็คงต้องล่วงรู้อยู่ดี
ดังนั้นพูดความจริงออกไปจึงดีกว่า
เมื่อได้เห็นการลงมือของหลินเป่ยเฉินในครั้งนี้ แม่ทัพฉลามก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มมีพลังเพิ่มพูนมากขึ้น เห็นได้ชัดจากการที่เจ้าเด็กคนนั้นสามารถหลุดรอดเงื้อมมือของมันไปได้อีกครั้ง เพียงเท่านี้ ก็ไม่มีอันใดให้ต้องพูดคุยกันอีกแล้ว
“หลินเป่ยเฉิน?”
ดวงตาขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์เปล่งประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี “ข้าเคยได้ยินชื่อบุคคลผู้นี้มานานแล้ว ว่ากันว่าเขาเป็นบุตรชายของท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพีกระบี่ แล้วเหตุไฉนเขาถึงยังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งอีกเล่า?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาพยักหน้าพร้อมกับอธิบายว่า “ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีความกล้าหาญไม่ใช่น้อย มันพยายามก่อคลื่นใต้น้ำสร้างความวุ่นวายให้กับการปกครองของพวกเรา โชคดีที่ทางฝาบาทและองค์หญิงเสด็จมาได้ถูกเวลา เพราะในวันมะรืนนี้ พวกเรากับพวกของหลินเป่ยเฉินมีกำหนดที่จะต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันกันขอรับ…”
แล้วแม่ทัพฉลามก็บอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้ห้าคู่ห้าคนให้แขกผู้มาเยือนรับฟัง
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของเค่อเอ๋อร์ก็ยิ่งเป็นประกายแวววาว
นี่คือสีหน้าเดียวกับตอนที่นางได้รับคันธนูและลูกศรชุดแรกตอนอายุ 2 ขวบ
เมื่อเจ้าชายอวี้ชินหวังเห็นดังนั้น ก็รู้ทันทีว่าบุตรสาวของตนเองมีความสนใจในการต่อสู้ครั้งนี้
เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “อ้อ การต่อสู้ที่น่าสนใจเช่นนี้ ไม่ทราบว่าทางท่านแม่ทัพจะอนุญาตให้พวกเราเข้าร่วมรับชมได้หรือไม่?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาตอบว่า “หากฝ่าบาททรงสนใจ ข้าน้อยก็ยินดี”
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา
จวนแม่ทัพฉลามก็ปรากฏขึ้นในสายตา
…
“เฮ้อ แม่งเอ๊ย…”
หลินเป่ยเฉินมุดขึ้นมาจากใต้ดินด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
เขาแทบจะไม่มีความรู้สึกที่แขนซ้ายอีกแล้ว
นี่เป็นผลจากการยิงปืนสไนเปอร์ 98k ที่มีน้ำหนัก 400 กิโลกรัม
มันเป็นปืนซุ่มยิงที่ผ่านการดัดแปลงมาแล้ว
แรงถีบจึงมากมายมหาศาล
เหนี่ยวไกเพียงครั้งเดียว เรือน้อยที่เขาอุตส่าห์เช่ามาก็ถึงกับระเบิดกระจุย
ยิ่งไปกว่านั้น แรงถีบของตัวปืนก็ซัดหลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นถอยหลังไกลร้อยกว่าวา สุดท้ายก็ตกลงไปในแอ่งโคลนโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่นั่นก็เป็นโอกาสที่ทำให้เขาสามารถดำดินหลบหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินไม่ได้สลบ
หรือนอนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
มิเช่นนั้นแล้ว นี่คงกลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
เพราะว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้คงถูกพวกชาวทะเลจับตัวไปเป็นแน่แท้
“แค่ปืน 98k แรงถีบยังน่ากลัวขนาดนี้ แล้วแรงถีบของปืน Type 69 จะไม่อัดเราขี้แตกเลยหรือไงวะ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือข้างที่ยังใช้งานได้เป็นปกตินวดหัวไหล่ของตนเองพร้อมกับคิดด้วยความหวาดกลัว
โชคดีที่เมื่อสักครู่นี้ เขาไม่ได้ใช้พลังลมปราณเป็นลูกกระสุน
แต่ลูกกระสุนที่ถูกยิงออกไปเมื่อสักครู่ เป็นพลังที่มาจากศิลาบูชาจำนวน 100 ก้อน
ใครจะไปคิดเลยว่าการยิงปืน 98k หนึ่งนัด จะต้องใช้ศิลาบูชามากมายขนาดนี้
ส่วนปืนยิงจรวด Type 69 นั้น ต้องใช้ศิลาบูชาถึง 500 ก้อนในการยิงระเบิดหนึ่งลูก
ถือเป็นอาวุธที่ผลาญเงินไม่ใช่น้อย
เมื่อไหร่เขาจะได้ใช้อาวุธดีๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินหรือเสียพลังลมปราณเป็นจำนวนมากมายมหาศาลบ้างนะ?
หลินเป่ยเฉินนั่งพักอยู่อึดใจใหญ่ ก็เดินแบกปืน 98k กลับไปวนรอบพื้นที่ริมทะเลสาบอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ลงมืออีกแล้ว
สุดท้าย เจ้าคนทรยศเจิ้งเจินเจี้ยนก็หายตัวไป
ผลจากการลอบสังหารเมื่อสักครู่ ทำให้การรักษาความปลอดภัยของชาวทะเลบนเกาะกลางทะเลสาบและพื้นที่ชายฝั่งมีความแน่นหนารัดกุมมากขึ้น มีนักรบชาวทะเลเดินลาดตระเวนไม่ขาดสาย ในระหว่างที่มีงานเลี้ยงต้อนรับแขกผู้มาเยือนจากจักรวรรดิจี้กวง
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหันหลังกลับ
ในระหว่างเดินทางกลับ
“เสี่ยวจี้ อาวุธที่ข้าซื้อมาสามารถส่งมอบให้ผู้อื่นใช้งานได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
แรงถีบของปืนไรเฟิลกระบอกนี้มันมากเกินไปสำหรับเขา
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเซียวปิงซึ่งร่างกายสามารถบรรลุขั้นกระดูกทองคำได้แล้ว เจ้าอ้วนนั่นต้องสามารถใช้งานปืนกระบอกนี้ได้ดีกว่าเขาแน่นอน
เพราะหมอนั่นมีร่างกายแข็งแรงกว่า
“ตามทฤษฎีแล้วก็น่าจะได้นะเจ้าคะ” เสี่ยวจี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า “ขอแค่เชื่อมต่อกันด้วยสัญญาณไวไฟก็พอ”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
ทำได้จริงด้วยสิ?
ถ้าอย่างนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย
เซียวปิงจะได้ทำตัวมีประโยชน์สักที
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่าปืนไรเฟิล 98k มีแรงถีบที่หนักหน่วงมากเกินไป หลินเป่ยเฉินไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในขณะนี้…
แต่เซียวปิงมีแรงควายและร่างกายกำยำไม่เป็นสองรองใคร
แรงถีบเพียงเท่านี้ย่อมไม่สามารถทำให้เจ้าอ้วนสะทกสะท้านเด็ดขาด
เพียงคิด หลินเป่ยเฉินก็ต้องยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เอาล่ะ ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน
หลังจากนี้เป็นต้นไป เซียวปิงจะมีสถานะเป็นขุนพลปืนยาวของเขา
เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็รีบเดินทางกลับไปที่ภูเขาเสี่ยวซีด้วยความรวดเร็ว
…
“ฮื่อ ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่ๆ…”
ภายในห้องพัก เจิ้งเจินเจี้ยนเดินวนไปวนมาด้วยความกระสับกระส่าย ดวงตาของเขามีเส้นเลือดสีแดงก่ำขึ้นอยู่เต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ไม่ได้หลับนอนมาหลายวันแล้ว
ก็จะให้เขานอนหลับได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ ฉินฉู่อี้ถูกฆ่าตาย ตามด้วยเซียงต้าหลง!
ทั้งสองคนต่างก็ได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดีจากกองทัพชาวทะเล แต่สุดท้ายก็ยังถูกหลินเป่ยเฉินลอบสังหารได้อยู่ดี
โดยเฉพาะความตายของเซียงต้าหลงทำให้ความกล้าหาญในจิตใจของเจิ้งเจินเจี้ยนสูญสลายหายไปหมดสิ้น
ตอนที่เกิดเหตุลอบสังหารนั้น เซียงต้าหลงกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารและพูดคุยกับที่ปรึกษาเต่าทะเลรวมถึงขุนพลชาวทะเลคนอื่นๆ อย่างสนุกสนาน เจิ้งเจินเจี้ยนสามารถจดจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ขึ้นใจ ครั้งสุดท้ายที่เซียงต้าหลงยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นั้นกำลังพูดคุยและส่งเสียงหัวเราะเฮฮา แต่แล้วอยู่ดีๆ หัวของเซียงต้าหลงก็ระเบิดกระจุยโดยปราศจากสัญญาณเตือน
เศษมันสมองที่ร้อนอุ่นกระจายมาเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าเจิ้งเจินเจี้ยน
จากนั้นก็เป็นเสียงร้องคำรามประกาศว่ามีเหตุการณ์ลอบสังหาร
หลินเป่ยเฉินอยู่ที่นี่ หลินเป่ยเฉินอยู่ที่นี่แล้ว!
เด็กนรกคนนั้นอยู่ที่นี่
ในสมองของเจิ้งเจินเจี้ยนมองเห็นเพียงแต่ชื่อของหลินเป่ยเฉินแค่คนเดียว
ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสิงโตทะเล เจิ้งเจินเจี้ยนรีบก้มลงไปหลบอยู่ใต้โต๊ะอาหารโดยปราศจากความลังเล
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ เขาก็ได้ยินเสียงนักรบชาวทะเลจำนวนมากกรูออกมาจากพื้นที่โดยรอบโรงเตี๊ยมสิงโตทะเล ที่ปรึกษาเต่าทะเลรวมไปถึงขุนพลชาวทะเลคนอื่นๆ ส่งเสียงตะโกนโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ ต่อมา แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เจิ้งเจินเจี้ยนตาสว่าง
ปรากฏว่างานเลี้ยงรับรองพวกเขาเป็นเพียงแผนล่อเสือออกจากถ้ำ
เขากับเซียงต้าหลงมีสถานะเป็นเพียงเหยื่อล่อที่ชาวทะเลใช้ดึงดูดหลินเป่ยเฉิน
ต่อให้พวกเขาจะมีฝีมืออยู่ในขั้นปรมาจารย์ แต่บัดนี้กลายเป็นทาสรับใช้ของแม่ทัพฉลามผู้โด่งดัง ชีวิตและความเป็นความตายของเจิ้งเจินเจี้ยนกับเซียงต้าหลง ล้วนไม่มีค่าในสายตาของชาวทะเลแม้แต่น้อย
“ชาวทะเลมีจิตใจเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายมากเกินไป พวกมันไม่ได้ทำกับเราเหมือนเป็นพวกเดียวกันอย่างที่ได้พูดคุยเอาไว้”
สีหน้าของเจิ้งเจินเจี้ยนบ่งบอกถึงความเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
“อยู่ที่นี่ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น เราต้องหนี…”
“แต่จะหนีไปที่ไหนได้อีก?”
“เราคงอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นทางรอดเดียวของเราก็คือ…”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเจิ้งเจินเจี้ยนก็เป็นประกายแวววาว
ใช่แล้ว
เขามีแต่ต้องไปหาคนพวกนั้น