งานเลี้ยงต้อนรับจบสิ้นลง
อาคันตุกะจากจักรวรรดิจี้กวงเดินทางกลับไปเข้าพักที่โรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อน
“ดูเหมือนเจ้าจะสนใจในตัวหลินเป่ยเฉินไม่น้อยเลยนะ”
เจ้าชายอวี้ชินหวังเห็นแววตาของบุตรสาว ก็อดรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
เขารู้จักบุตรสาวของตนเองดี
เมื่อไหร่ก็ตามที่นางพบเห็น ‘เหยื่อ’ เค่อเอ๋อร์จะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อครอบครองเหยื่อของนางให้ได้ ไม่ว่าเหยื่อเหล่านั้นจะเป็นบ้านเมืองหรือผู้คนก็ตาม เพราะการได้เอาชนะและเข้าครอบครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่เค่อเอ๋อร์ได้ดีที่สุด
แต่จวบจนถึงตอนนี้ บุตรสาวของเขาไม่เคยคิดอยากครอบครองผู้คนมาก่อน
ที่ผ่านมานางสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรในจักรวรรดิจี้กวงด้วยการบุกยึดเมืองต่างๆ
ในเมืองเซวียฉุยซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิจี้กวง องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ได้รับการขนานนามให้เป็น ‘นักล่าอัจฉริยะ’ มีผู้คนมากมายอยากจะครอบครองหัวใจของนาง แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อน
แม้แต่บรรดาเจ้าชายด้วยกันเอง
หรือท่านอ๋องผู้ปกครองแคว้น
ล้วนแต่ไม่เคยมีผู้ใดทำให้หัวใจของเค่อเอ๋อร์หวั่นไหวได้มาก่อน
เมื่อเด็กสาวหันมาเห็นสีหน้าวิตกกังวลของบิดา นางก็เอียงศีรษะและคลี่ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “แล้วท่านพ่อไม่คิดว่าหลินเป่ยเฉินน่าสนใจหรือเพคะ?”
ยามที่เด็กสาวเอียงศีรษะ เส้นผมสีทองของนางก็สยายลงมาปรกข้างแก้มเป็นประกายระยิบระยับ “ก่อนเดินทางมาที่เมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ ลูกพอจะได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับเขามาบ้าง หลินเป่ยเฉินมีความน่าสนใจจริงๆ นะเพคะ เขาเก่งกาจมากเกินไปจนเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่วันนี้ลูกได้เห็นเขาด้วยตาของตนเองแล้ว ลูกถึงได้รู้สึกว่าข้อมูลที่เคยรับทราบมาก่อนหน้านี้ ยังบรรยายถึงความยอดเยี่ยมของเขาได้ไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ”
บัดนี้ สองพ่อลูกรู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนหาปลาหน้าตาหล่อเหลาที่พายเรืออยู่ในทะเลสาบนั้น ก็คือหลินเป่ยเฉินในตำนานนั่นเอง
เจ้าชายอวี้ชินหวังพยักหน้าอย่างใช้ความคิด
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ความจริงพ่อก็สังเกตอยู่แล้วว่าเขามีหน้าตาหล่อเหลามากเกินไป บุคคลที่มีผิวพรรณและรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ หากไม่ได้เกิดจากตระกูลมหาเศรษฐี ก็ต้องเป็นคนจากตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเป็นหลินเป่ยเฉิน มิหนำซ้ำ เขายังสังหารคนที่มีพลังขั้นปรมาจารย์ตอนปลายได้จากระยะไกลถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นผู้ชำนาญในการลอบสังหารอย่างเจ้ากับพ่อ ก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นเขาเด็ดขาด”
เหตุผลหลักก็คือระยะห่างในการลอบสังหารมันมากเกินไป
“เขาอาจมีอาวุธวิเศษบางอย่างก็ได้เพคะ”
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ค่อนข้างมั่นใจ
นางแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาว่า “ก่อนหน้านี้ เขาเคยรับพลังของเทพีกระบี่เข้าสู่ร่างกายมาแล้วถึงสองครั้งสองครา บรรดาสาวกของเทพีกระบี่จึงศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง คงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดกระมังเพคะ หากเขาจะมีอาวุธวิเศษ หรือเคล็ดวิชาบางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้…”
พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเด็กสาวก็เป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพ่อพูดว่าอยากจะพาเขากลับไปที่เมืองเซวียฉุยของพวกเราไม่ใช่หรือเพคะ ครั้งนี้ เรามาทำมันให้เป็นจริงดีหรือไม่?”
“แต่ดูจากฝีมือที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินแล้ว เขาคงไม่ใช่บุคคลธรรมดา”
เจ้าชายอวี้ชินหวังพยายามหาข้ออ้างปฏิเสธความคิดของบุตรสาว “โดยเฉพาะในยามนี้ จักรวรรดิเป่ยไห่กำลังเกิดความแตกแยก เราเป็นศัตรูของพวกเขา สำหรับบุคคลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างหลินเป่ยเฉิน พวกเราอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเลยจะดีกว่า”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “แต่การได้เอาชนะคนบ้าคลั่งเช่นนี้ มันทำให้ลูกมีความสุขเหลือเกินเพคะ”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าชอบหลินเป่ยเฉิน?”
เจ้าชายอวี้ชินหวังถามพร้อมกับเลิกคิ้วสูง นับว่าหลินเป่ยเฉินในคราบคนหาปลามีความหล่อเหลามากเกินไปจริงๆ ต่อให้สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด สภาพเนื้อตัวมอมแมมสกปรก แต่ขนาดตัวของเจ้าชายอวี้ชินหวังเองก็ยังอดตกตะลึงในความหล่อเหลาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ แล้วมีหรือที่เด็กสาวในวัยใกล้เคียงกันอย่างเค่อเอ๋อร์จะสามารถต้านทานไหว?
“ยังไม่ใช่ตอนนี้เพคะ”
เค่อเอ๋อร์แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ฉีกยิ้มด้วยความคาดหวัง “แต่ถ้าเขาทำให้ลูกประหลาดใจได้มากกว่านี้ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ท่านพ่อก็รู้ว่าลูกตามหาคนเช่นนี้มานานแล้ว เขาทำให้ลูกรู้สึกว่าตนเองจะต้องยึดครองเขาให้ได้”
เจ้าชายอวี้ชินหวังสูดหายใจลึก
การมีบุตรสาวที่เก่งกาจนับเป็นเรื่องดี
แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าบุตรสาวของตนเองมีนิสัยแปลกประหลาดมากเกินไป
ในระหว่างที่พ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นี้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้”
เจ้าชายอวี้ชินหวังกระแอมไอและออกคำสั่ง
จงปู้หลี่ผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์เดินเข้ามาประสานมือทำความเคารพ “คารวะท่านชาย คารวะท่านหญิง ด้านนอกมีบุคคลชื่อเจิ้งเจินเจี้ยนมาขอเข้าพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ส่วนนี่คือจดหมายของเขาที่ฝากเข้ามา”
เจ้าชายอวี้ชินหวังเอื้อมมือออกไปรับจดหมายมาเปิดอ่าน แล้วรอยยิ้มเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย
จดหมายฉบับนั้นถูกส่งต่อไปสู่มือขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์
เมื่อเด็กสาวอ่านจบ ดวงตาของนางก็เป็นประกายสว่างไสวราวกับดวงดาวขณะพูดว่า “บอกไปว่าบิดากับข้าไม่อยู่ หาห้องพักให้เขาก่อนก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ค่อยอนุญาตให้เข้าพบ”
…
“เอ๋ ของสิ่งนี้คืออะไรหรือขอรับท่านพี่?”
เซียวปิงซึ่งถูกบังคับให้ออกจากเกมอย่างกะทันหันแสดงสีหน้าหงุดหงิดใจเล็กน้อย แต่เมื่อมองเห็นปืนไรเฟิล 98k ที่อยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ถึงกับตกตะลึงไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกแล้ว
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในสมองของเซียวปิงจึงกำลังสั่งงานบอกตัวเองว่า…
เขาต้องยึดถืออาวุธชิ้นนี้เอาไว้ให้แน่นๆ
เพราะชีวิตของเขากำลังจะก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่
เขาต้องยึดถืออาวุธชิ้นนี้เอาไว้ให้แน่นๆ
เพราะตำนานของตัวเขาเองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“นี่คืออาวุธที่เทพีกระบี่ได้มอบให้กับข้า ถึงมันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไร แต่ก็มีพลังโจมตีรุนแรงมหาศาล ใช้ได้ทั้งสำหรับการลอบสังหารระยะไกล และต่อสู้ยามเผชิญหน้ากับศัตรูในระยะใกล้”
หลินเป่ยเฉินอธิบายพร้อมส่งปืนซุ่มยิงให้แก่เซียวปิง “ทันทีที่เป้าหมายของเจ้าอยู่ในระยะหวังผล ชีวิตของพวกมันก็อยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว… รับไปสิ มันควรเป็นของเจ้า”
เซียวปิงก้มหน้ามองปืนไรเฟิลที่อยู่ในมือของตนเองและอุทานออกมาว่า “อาวุธชิ้นนี้… มีน้ำหนักไม่น้อยเลยนะขอรับ”
ความจริงมันมีน้ำหนักมากกว่าที่เซียวปิงคิดเอาไว้เสียอีก
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นสอนให้น้องชายร่วมสาบานใช้งานปืนไรเฟิล 98k อย่างจริงจัง
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มีชื่อว่ากระบี่ลำแสงสลายวิญญาณ วิธีใช้งานเจ้าต้องโคจรพลังลมปราณของตัวเองลงไป แต่ก็สามารถให้มันดูดซับพลังจากศิลาบูชาแทนได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ ข้าเคยลองใช้งานมันมาแล้ว…. ดูจากความสามารถของเจ้า ลองใช้งานดูสักสามครั้งก็น่าจะควบคุมได้อย่างชำนาญ แต่ถ้าฝึกใช้งานดูแล้วเจ้ายังใช้ไม่เป็นอีกล่ะก็ ข้าจะเอามันคืน”
พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็มอบศิลาบูชาให้เด็กหนุ่มร่างอ้วนเป็นจำนวน 300 ก้อน ต่อจากนั้น เขาก็ส่งเซียวปิงกลับเข้าไปในเกม Lost Castle เพื่อให้เล่นแบบระบบผู้เล่นคนเดียว
“จำไว้ว่าจากนี้เป็นต้นไป เจ้ามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือแล้ว”
“จงฝึกฝนให้หนัก อย่าทำให้ข้าผิดหวังก็แล้วกัน”
…
วันเวลาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินไม่มีโอกาสได้เข้าไปลอบสังหารเจิ้งเจินเจี้ยนให้สำเร็จตามที่พูดเอาไว้
แต่อย่างไรเด็กหนุ่มก็เป็นคนที่พูดจาเหลวไหลตลอดเวลาอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่ต้องกลัวว่าภาพลักษณ์ของตนเองจะเสื่อมเสียแต่อย่างใด
สำหรับการลอบสังหารที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ แม่ทัพฉลามอู๋หยามองเป็นเพียงรสชาติส่วนประกอบของการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอันใดเลย
สำหรับกับแม่ทัพฉลามอู๋หยา สิ่งสำคัญคือการได้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังทำอะไรอยู่บ้างต่างหาก
สำหรับมนุษย์ที่ตายไปทั้งสองชีวิตนั้น มีค่าไม่ต่างไปจากสุนัขข้างถนนสองตัว
การที่ชาวเมืองหยุนเมิ่งมีสถานะเป็นทาสรับใช้ของชาวทะเล ทำให้ชาวทะเลไม่เคยมองเห็นชาวเมืองอยู่ในสายตามาโดยตลอด
เพราะฉะนั้น แม่ทัพฉลามอู๋หยาจึงรอคอยด้วยความอดทน
แต่หลังจากนั้น ข่าวที่แม่ทัพฉลามอู๋หยาได้รับทราบก็คือหลินเป่ยเฉินเก็บตัวอยู่ในภูเขาเสี่ยวซีและไม่ได้พากำลังคนออกไปไหนเลยสักครั้ง
เมื่อวันเวลาผ่านไป สุดท้ายกำหนดการประลองก็มาถึง
วันนี้คือวันแห่งการต่อสู้
เช้าตรู่
แสงแรกของวันใหม่ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีทองคำ ส่องแสงสว่างอาบไล้ไปทั่วลานประลองยุทธ์ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
มีชาวเมืองมารวมตัวกันอยู่ที่นี่มากมาย
ทุกคนในเมืองหยุนเมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์ สตรี เด็กหรือคนแก่ ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพื่อมาส่งและให้กำลังใจวีรบุรุษประจำเมืองเป็นครั้งสุดท้าย
“ท่านพี่ท่านลุงทุกท่านขอให้อยู่รอดปลอดภัยกลับมานะเจ้าคะ”
ฮันปู้ฮวยพูดด้วยน้ำตาที่คลอเต็มเบ้า
หลินเป่ยเฉินต้องก้มหน้าลง
ใช่ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองน้ำตากำลังจะไหลเช่นกัน
นี่คือน้องสาวของฮันปู้ฟู่
ป่านนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าศิษย์พี่ฮันของเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง?
กลุ่มคนแยกออกเป็นสองฝั่ง
หลิงไท่ซวีเดินเข้ามาอย่างแช่มช้าพร้อมกับชายเสื้อคลุมที่ปลิวไสวไปตามสายลม
“ข้าและเจ้า” อดีตอาจารย์ใหญ่ชี้มือไปที่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือตำแหน่งตัวแทนอีก 3 คน เจ้าเลือกแล้วหรือยังว่าเป็นใคร?”
ดวงตาของทุกคนหันมาจับจ้องที่หลินเป่ยเฉิน
วันนี้จะมีการต่อสู้ห้าคู่จากตัวแทนฝ่ายละห้าคน และตัวแทนที่จะได้ออกไปต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองหยุนเมิ่งจะเป็นใครบ้างนั้น ก็สมควรได้รับการเปิดเผยในตอนนี้แล้ว