วันนี้ถึงกำหนดการประลองที่จะชี้ชะตาอนาคตชาวเมืองหยุนเมิ่งทุกคน
แต่ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะเป็นตัวแทนออกไปต่อสู้บ้าง
ทุกคนต่างก็เฝ้ารอการประกาศจากหลินเป่ยเฉิน
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยที่ผู้คัดเลือกตัวแทนจะเป็นหลินเป่ยเฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงฝีมือก่อนหน้านี้ของคุณชายหลินก็ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเคารพยกย่องและเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้น
เพราะเขาคือผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้า
“อาจารย์ใหญ่ขอรับ ข้าขอคุยด้วยสักครู่”
หลินเป่ยเฉินดึงแขนหลิงไท่ซวีกลับเข้าไปไนสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่
เด็กหนุ่มลดเสียงลงเป็นกระซิบ พูดว่า “อาจารย์ใหญ่แน่ใจหรือขอรับ? อาจารย์ใหญ่ก็อายุปูนนี้แล้ว ถ้าเกิดพ่ายแพ้พวกชาวทะเลขึ้นมา…”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หลิงไท่ซวีมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องรีบอธิบายโดยเร็ว “ข้าไม่ได้ดูถูกอาจารย์ใหญ่นะขอรับ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าท่านอ่อนแอปราศจากน้ำยาด้วย แต่ข้ารู้สึกว่าท่านอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ไม่สมควรเสี่ยงอันตรายขึ้นไปต่อสู้สักนิด ปล่อยให้เป็นเรื่องราวของบุรุษหนุ่มรุ่นหลังเถิดขอรับ อาจารย์ใหญ่กลับไปนอนอยู่ในอ้อมอกของนางคณิกาเหล่านั้นเหมือนเดิมดีที่สุดแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลิงไท่ซวียกมือลูบหนวดเคราและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีน้ำยาสินะ”
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว “ถ้าอาจารย์ใหญ่จะเข้าใจเช่นนั้น ก็ไม่เป็นไรขอรับ”
หลิงไท่ซวีแค่นหัวเราะในลำคอและสบถว่า “เจ้าเศษสวะ”
น้ำเสียงเหยียดหยามเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “อาจารย์ใหญ่เข้าใจหน่อยสิขอรับ ที่ข้าทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อตัวของท่านเอง…”
“ในคืนหนึ่งข้าสามารถเริงสวาทได้ถึง 7 รอบเชียวนะ”
หลิงไท่ซวีพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ “เจ้ามีปัญญาทำได้หรือไม่?”
“ท่านถามว่าข้าสามารถทำได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “พูดแล้วจะหาว่าคุย อาจารย์ใหญ่ขอรับ ข้าคือผู้ที่ได้รับการขนานนามให้เป็นสุดยอดนักรบแห่งสนามสวาท ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ขึ้นเตียงกับผู้ใดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ว่า… เดี๋ยวก่อนนะ? 7 รอบเลยหรือขอรับ… มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักและต้องเบิกตาโตจ้องมองหลิงไท่ซวีด้วยความเหลือเชื่อ
อดีตอาจารย์ใหญ่เหยียดยิ้มเย้ยหยัน
ในไม่ช้า ทุกคนก็ได้เห็นว่าหลินเป่ยเฉินกับหลิงไท่ซวีกำลังโต้เถียงเรื่องราวบางอย่างกันอยู่บนสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่ บรรยากาศของการโต้เถียงค่อนข้างร้อนระอุ หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ สีหน้าของชายชราและเด็กหนุ่มถึงได้ผ่อนคลายลง
ทั้งสองคนตบหลังตบไหล่กันและกัน แสดงว่าปรับความเข้าใจกันได้เรียบร้อย
ดูสิ
นี่คือยอดวีรบุรุษทั้งสองคนที่ชาวเมืองต้องฝากความหวังเอาไว้
พวกเขาคงกำลังปรึกษาเรื่องกลยุทธ์ที่จะเอาชนะคู่ประลองชาวทะเลเป็นแน่แท้
เพราะว่ามีชีวิตของชาวเมืองหยุนเมิ่งเป็นเดิมพัน หลิงไท่ซวีกับหลินเป่ยเฉินจึงต้องถกเถียงกันอย่างดุเดือด
บางทีนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณของผู้ยิ่งใหญ่
ไม่นานหลังจากนั้น
ชายชราและเด็กหนุ่มก็เดินกลับออกมาจากสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่
“วันนี้อาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีจะเป็นหนึ่งในตัวแทนของพวกเราออกไปต่อสู้” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นอกจากอาจารย์จะมีความแข็งแกร่งทางร่างกายแล้ว พลังแฝงของท่านยังมากล้นอย่างไม่น่าเชื่อ ซ้ำอาจารย์ใหญ่ยังมีแรงอึดเกินมนุษย์ปกติอีกด้วย…”
ทุกคนหันไปมองหลิงไท่ซวี
ทุกคนมีสายตาที่แสดงถึงความเคารพหลิงไท่ซวีอย่างยิ่ง
ต่อให้ก่อนหน้านี้ ชายชราจะมีภาพลักษณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
แต่พวกเขาก็ไม่สงสัยในคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
ไม่มีใครส่งเสียงคัดค้าน
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองไปที่กลุ่มคน “เซียวปิงและข้าก็จะเป็นหนึ่งในตัวแทนเช่นกัน”
ฝูงชนส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง
พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นหนึ่งในตัวแทนออกไปต่อสู้
แต่สำหรับกับเซียวปิง…
เซียวปิงเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
จะมีโอกาสเก็บชัยชนะสักเท่าไหร่กัน?
แต่ก็ยังไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านอยู่ดี
ต้องไม่ลืมว่า
นี่คือบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจากหลินเป่ยเฉินมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักอีกเล็กน้อย ก็เรียกดูลำดับคะแนนจากเกม Lost Castle ในโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นรายชื่อผู้ทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่ง หลินเป่ยเฉินก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ผู้ใดคือไต้จือฉุน?”
แล้วชายหนุ่มในชุดบัณฑิตผู้หนึ่งก็เดินอย่างแช่มช้าออกมาจากกลุ่มอาสาสมัครทั้ง 12 คนนั้น เขาประสานมือพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ไต้จือฉุนคือข้าน้อยเองขอรับ”
หลินเป่ยเฉินสำรวจมองบัณฑิตหนุ่มคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าในเมืองหยุนเมิ่งมีบุคคลพลังสูงส่งเช่นนี้อยู่ด้วย
ไต้จือฉุนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 4
และเมื่อดูจากลำดับคะแนนที่อยู่ในเกม Lost Castle มันก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าไต้จือฉุนมีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกของฉู่เหินรวมไปถึงคนอื่นๆ โดยเฉพาะจำนวนการสังหารสัตว์ประหลาดในเกมนั้น ไต้จือฉุนสามารถทำได้ไม่เป็นสองรองใคร
คิดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มที่มีท่าทางเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนผู้นี้
กลับมีฝีมือการต่อสู้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
แต่การจะออกไปต่อสู้กับพวกชาวทะเล แตกต่างจากการฆ่าสัตว์ประหลาดในเกม Lost Castle
“ท่านยินดีที่จะเป็นตัวแทนหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องถามความสมัครใจของชายหนุ่มดูอีกครั้ง
ไต้จือฉุนคลี่ยิ้ม มวลอากาศรอบกายเขาปั่นป่วนเล็กน้อย “ข้าน้อยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
หลังจากนั้น เขาก็หันมามองที่หลิวฉีไห่
ดูเหมือนว่าอาจารย์อาวุโสท่านนี้จะเฝ้ารออยู่นานแล้ว หลิวฉีไห่ส่งเสียงหัวเราะ รีบพูดว่า “ตำแหน่งตัวแทนคนสุดท้าย ข้าจะขอรับไว้เอง”
อดีตอาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีของสถานศึกษากระบี่ที่สาม บัดนี้สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จแล้ว
แต่จากการเข้าร่วมโครงการเลื่อนระดับพลังแบบกลุ่มของแอปพลิเคชัน Keep เมื่อหลายเดือนก่อน หลิวฉีไห่ไม่สามารถเลื่อนระดับขึ้นมาสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ ทำให้เขาจัดเป็นผู้มีระดับพลังต่ำต้อยที่สุดในกลุ่มคณะอาจารย์อาวุโสด้วยกัน
ทว่า ลำดับคะแนนในเกม Lost Castle หลิวฉีไห่กลับเป็นรองเพียงแค่ไต้จือฉุนคนเดียวเท่านั้น
เขาสามารถทำคะแนนทิ้งห่างฉู่เหินกับพานเว่ยหมินได้อย่างไม่เห็นฝุ่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
นั่นหมายความว่าผู้ที่ทำคะแนนได้ต่ำกว่าสองอันดับแรกของเกม Lost Castle ยังคงเป็นผู้ที่ใช้งานไม่ได้อยู่ดี
เพราะการต่อสู้ในเกม Lost Castle นั้น คือบททดสอบทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ควรค่าต่อการเชื่อถือในระดับหนึ่ง
“เฒ่าหลิว เจ้า… เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร?”
ฉู่เหินเดินเข้ามาจับแขนหลิวฉีไห่ด้วยอาการร้อนรน “ขนาดข้า เจ้ายังเอาชนะไม่ได้ แล้วเจ้าจะไปเอาชนะพวกชาวทะเลได้อย่างไร ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเจ้ายังไม่อยากกลายเป็นศพบนเวทีประลอง ได้โปรดสละสิทธิ์และมอบหน้าที่นี้ให้ข้าได้ทำแทนเจ้าเถิด”
นี่คือการขอร้อง
การขอร้องด้วยความห่วงใย
เพราะนี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
พานเว่ยหมินหันมามองที่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินไม่พูดคำใด
“ฮ่าฮ่า เฒ่าฉู่ เจ้าคงลืมไปแล้วกระมังว่าระหว่างนี้ ข้าดูดซับพลังจากศิลาบูชา ประกอบกับการต่อสู้ในค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ทำให้ข้าสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เหมือนพวกเจ้าได้สำเร็จแล้ว”
หลิวฉีไห่ยิ้มแย้มพูดกับฉู่เหินต่อไป “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่มีทางเอาชนะเจ้าได้ ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็คงดูดซับพลังจากศิลาบูชาของหลินเป่ยเฉินอย่างเปล่าประโยชน์เสียแล้ว… หุหุ”
ฉู่เหินถึงกับต้องเบิกตาโตด้วยความตื่นตกใจ
หลิวฉีไห่สามารถทำผลงานได้ดีในค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์
เขาเองก็รู้
ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ ทรัพยากรสำหรับการเสริมสร้างพลังของสถานศึกษากระบี่ที่สามมีอย่างจำกัดจำเขี่ย หลิวฉีไห่จึงไม่มีโอกาสได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งของตนเองอย่างจริงจัง อีกทั้งยังไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้ในค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์มาก่อน เมื่อมีโอกาสได้รับศิลาวิญญาณจำนวนไม่จำกัด หลิวฉีไห่ก็สามารถแสดงถึงความแข็งแกร่งที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ออกมาแล้ว
หรือว่าหลิวฉีไห่จะปิดบังฝีมือที่แท้จริงตลอดมา?
หลิวฉีไห่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
เด็กหนุ่มผงกศีรษะ ไม่เสียเวลาอธิบายอะไรเพิ่มเติม พูดเพียงว่า “พวกเราไปกันเถิด”
ผลก็คือ ตัวแทนทั้ง 5 คนและชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน เริ่มต้นเดินขบวนออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สาม ข้ามผ่านท้องถนนและสะพานโครงกระดูก มุ่งหน้าตรงไปยังทะเลสาบซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนผู้ว่าแห่งใหม่