หลังจัดการเป้าหมายได้เรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก “ถึงเจ้าจะอิจฉาที่ข้ามีความหล่อเหลามากกว่าเจ้า และเจ้าคงเจ็บใจที่ตนเองไม่ได้อยู่ในสายตาของข้าเลย แต่เพื่อเรียกร้องความสนใจจากข้า ก็ไม่เห็นต้องพูดจาดูถูกกันถึงขนาดนี้ก็ได้… เฮ้อ ก็ได้แต่หวังว่าเกิดใหม่ชาติหน้า ปากของเจ้าจะรู้จักระมัดระวังวาจาให้ดีกว่านี้”
เมื่อเด็กหนุ่มพูดจบ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คณะตัวแทนทูตจากจักรวรรดิจี้กวงตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความตกตะลึง
เจ้าชายอวี้ชินหวังผุดลุกขึ้นยืนในทันใด
การสังหารคนจากคณะทูตของจักรวรรดิจี้กวง ถือว่าเป็นการหยามเกียรติกันอย่างยิ่ง
“หลินเป่ยเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองทำสิ่งใดลงไป?”
ดวงตาของเจ้าชายอวี้ชินหวังเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น
เขาคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้ว หากไม่ใช้โอกาสนี้ เค่อเอ๋อร์ก็คงต้องเข้าไปยืนแทนที่องครักษ์ผู้เสียชีวิตบนเวทีประลองคนนั้นแน่ เจ้าชายอวี้ชินหวังในฐานะบิดา ก็มีแต่ต้องออกหน้าเพื่อขัดขวางไม่ให้บุตรสาวทำตามใจได้สำเร็จเท่านั้นเอง
“อ้าว ก็พวกเจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าลงมือเองไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอย่างปวดหัว และมีสีหน้าเอือมระอา “วันนี้เป็นกำหนดการต่อสู้ของพวกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งกับชาวทะเล ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าเลยสักนิด ถ้านี่เป็นนิยายออนไลน์ที่ขายรายตอนอยู่ในเน็ตนะ เดินเรื่องมาถึงตรงนี้เมื่อไหร่ คนอ่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ก็คงรู้สึกว่านักเขียนมัวแต่เขียนอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ได้ มีแต่น้ำล้วนๆ เนื้อมีอยู่กระจึ๋งเดียวเท่านั้น”
ไม่มีใครรู้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังพูดถึงอะไรอยู่
แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นคนที่พูดจาเหลวไหลทำให้ผู้อื่นงงงวยตลอดเวลาอยู่แล้ว
นี่คือการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้เห็นคณะทูตจากจักรวรรดิจี้กวงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
เจ้าชายอวี้ชินหวังเลิกคิ้วสูง ดวงตาเป็นประกายด้วยความดุดัน เขากำลังจะสะกิดปลายเท้าดีดกายออกมาข้างหน้า…
“หุหุ กราบเรียนท่านชายได้โปรดใจเย็นก่อน”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ในที่สุด มันก็ต้องพูดออกมาว่า “ข้าน้อยรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากที่พวกท่านต้องสูญเสียองครักษ์ไปหนึ่งคน แต่วันนี้เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างชาวเมืองหยุนเมิ่งกับพวกเราชาวทะเล ดังนั้นข้าจึงขอกราบเรียนฝ่าบาทเสด็จกลับไปนั่งรับชมการต่อสู้อย่างสบายใจเถิดขอรับ”
แววตาของเจ้าชายอวี้ชินหวังปรากฏความเยือกเย็นมากขึ้น
เขาพยักหน้า และทรุดกายนั่งลงไปที่เดิม
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้สนใจความตายของหนึ่งในองครักษ์ประจำตัวแม้แต่นิดเดียว นางยังคงจ้องมองเจ้าคนปัญญาอ่อนหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับต่อไป
นี่คือเหยื่อที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
คุ้มค่าต่อการลงมือที่สุด
“หลินเป่ยเฉิน อย่าก่อเรื่องวุ่นวายโดยไม่จำเป็นเลยดีกว่า”
แม่ทัพฉลามอู๋หยานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ราวกับเป็นราชาปีศาจที่มีพลังสามารถทำลายล้างโลกได้ทั้งใบ น้ำเสียงของมันที่พูดออกมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอำมหิตน่าขนลุก “วันนี้ตัวแทนของฝ่ายไหนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สามจากห้าคู่ ฝ่ายนั้นถือเป็นผู้ชนะโดยสมบูรณ์ และมีสิทธิ์เอาชีวิตผู้พ่ายแพ้ได้โดยชอบธรรม ตัวแทนของพวกเราพร้อมต่อสู้แล้ว ไม่ทราบว่าตัวแทนของพวกเจ้าพร้อมที่จะขึ้นมาตายบนเวทีแล้วหรือยัง?”
“เจ้าก็ส่งตัวแทนออกมาก่อนสิ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เป็นถึงชาวทะเลผู้สูงส่ง เมื่อต้องมาต่อสู้กับชาวเมืองหยุนเมิ่งที่พวกเจ้าดูถูกนักหนา กลับเกิดความขี้ขลาดถึงขนาดไม่กล้าขึ้นเวทีก่อนเชียวหรือ?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาแค่นหัวเราะในลำคอ “ผู้ใดบอกว่าไม่กล้า?”
มันยกมือโบกสะบัด
แล้วลำแสงสีดำก็พุ่งวาบในอากาศ
ตึง!
ร่างของใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนเวที
ปรากฏว่าเป็นนายทหารฉลามหัวค้อนผู้มีร่างกายสูงใหญ่เท่ากับหลินเป่ยเฉินเกือบสองคนยืนต่อตัวกัน หัวของมันมีลักษณะเหมือนค้อนตอกตะปู ร่างกายแผ่ออกมาด้วยพลังลมปราณสีดำสนิท รูปร่างผอมสูง สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ อาวุธประจำกายเป็นกระบี่คู่…
“ข้าคือตัวแทนจากหน่วยรบคลื่นทมิฬ ไม่ทราบว่าใครจะออกมาสู้กับข้า?” นักรบฉลามหัวค้อนยืนอยู่บนเวทีด้วยความน่าเกรงขามราวกับเทพเจ้าแห่งความตาย คลื่นพลังสีดำที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยิ่งชวนดูให้รู้สึกน่ากลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า
บรรดาชาวเมืองที่จ้องมองอยู่ด้านล่างเวทีรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาทันที
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มองขึ้นไปบนเวที ผู้คนก็จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เสี่ยวจี้ สแกนคิวอาร์โค้ดของฉลามหัวค้อนตัวนี้ให้หน่อย”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งอยู่ในใจ
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน” เสี่ยวจี้เริ่มต้นสแกนข้อมูลของนักรบฉลามหัวค้อนตามคำสั่ง ผ่านไปเพียงสามลมหายใจ การสแกนก็ได้ข้อมูลออกมาว่า “เผ่าพันธุ์ชาวทะเล สายพันธุ์ฉลามหัวค้อน อายุ 61 ปี อยู่ในช่วงจุดสูงสุดของชีวิต…”
“มีพลังปราณธาตุพายุทะเล มีระดับพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 6 อาวุธคู่กายเป็นกระบี่คู่ ชำนาญการใช้วิชากระบี่คลื่นทะเลคลั่ง กระบี่คลื่นสังหารเยือกเย็น กระบี่หกมังกรดำดิ่ง และมีท่าไม้ตายคือกระบี่ฉลามหัวค้อนตอกตะปู…”
“ร่างกายมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง สามารถรับการโจมตีจากผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ได้อย่างไม่มีปัญหา และยังสามารถสร้างม่านพลังขึ้นมาป้องกันตัวได้อย่างดีเยี่ยม…”
“จุดอ่อน : ตำแหน่งลำคอใต้ศีรษะประมาณสามนิ้ว เป็นจุดที่มีการป้องกันน้อยมากที่สุด และสามารถตายได้ทันทีเมื่อถูกโจมตีเข้าจุดนี้”
นั่นคือข้อมูลทั้งหมด
หลินเป่ยเฉินอ่านข้อความเหล่านั้นด้วยความดีใจ
ฟังก์ชันการสแกนคิวอาร์โค้ดคือของรางวัลที่ได้จากการอัปเดทระบบโทรศัพท์ครั้งล่าสุด ความสามารถหลักของมันก็คือการสแกนหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ทุกสายพันธุ์
ถ้ารู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เวลาขึ้นไปต่อสู้ก็ยิ่งได้เปรียบ
และมันยังทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถคำนวณทางหนีทีไล่ได้ล่วงหน้าอีกด้วย
นักรบฉลามหัวค้อนตัวนี้เป็นถึงนายทหารระดับสูงในหน่วยรบคลื่นทมิฬ
ระดับพลังย่อมไม่ต่ำต้อย
แล้วเขาจะส่งใครขึ้นไปสู้เป็นคนแรกดีนะ?
หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นคิดอย่างหนักใจ
“ไต้จือฉุน ท่านขึ้นไปสู้เป็นคนแรก”
บัณฑิตหนุ่มไต้จือฉุนได้รับเกียรติให้ขึ้นไปสู้บนเวทีเป็นคนแรก
“พ่อจ๋า พ่อจ๋า…”
เด็กหญิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งกอดคอผู้เป็นบิดาแนบแน่น และนางก็เริ่มต้นร้องไห้ออกมาโดยทันที
หญิงสาวที่อยู่ข้างกายรีบเข้ามาอุ้มตัวบุตรสาวไปปลอบโยน แต่นางก็ไม่สามารถปิดบังความวิตกกังวลของตนเองได้อีกต่อไป และความวิตกกังวลเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงกลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม
นี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
นางย่อมเป็นห่วงสามีของตนเอง
ไต้จือฉุนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
เขาปลอบโยนภรรยาและบุตรสาว ก่อนจะหันมาพูดกับหลินเป่ยเฉิน “หากข้าเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมา… รบกวนคุณชายหลินช่วยดูแลลูกเมียของข้าด้วย”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนให้เจ้านั่นขึ้นไปสู้แทนก็แล้วกัน”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือชี้ไปที่เซียวปิงซึ่งกำลังยืนแทะขาหมูทอดด้วยความเอร็ดอร่อย
ตุบ
ขาหมูหลุดร่วงจากมือตกลงไปอยู่บนพื้นดิน
“เป็นข้าน้อยหรือ?”
ใบหน้าที่อ้วนกลมของเซียวปิงกระตุกระริก
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ตอบว่า “ถูกแล้ว เป็นเจ้าเอง”
แน่นอนว่าเซียวปิงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักรบฉลามหัวค้อน
เมื่อขึ้นเวทีไปเผชิญหน้ากัน เกรงว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนคงถูกค้อนทุบตายเป็นแน่แท้
แต่ตอนนี้เซียวปิงมีปืนไรเฟิล 98k อยู่ในมือ และเพิ่งเคยปรากฏตัวบนเวทีประลองเป็นครั้งแรก คู่ต่อสู้ย่อมประมาทฝีมือของเจ้าอ้วนคนนี้ ดังนั้นเซียวปิงก็ย่อมสามารถใช้โอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวังตัวลั่นกระสุนใส่จุดตาย จึงกล่าวได้ว่าเซียวปิงมีโอกาสสูงมากที่จะได้รับชัยชนะตามทฤษฎี
หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกให้เซียวปิงมายืนอยู่ข้างๆ และกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหู
เซียวปิงฟังจบ ก็พยักหน้าอย่างเร่งร้อน
เขาก้มหยิบขาหมูที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาแทะกินจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงหันหน้าเดินขึ้นบันไดสามขั้น และกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองด้วยความสง่าผ่าเผย