ดูเหมือนกระดูกจะแตกหักไปหมดทั้งร่าง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนอวัยวะภายในกลายเป็นของเหลว และร่างกายของตนเองก็พร้อมที่จะระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือดได้ตลอดเวลา
ทว่า ในเวลาเดียวกันนั้น กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาก็เกิดพลังชนิดใหม่ขึ้นมาสายหนึ่ง
มันเป็นพลังจากวิชากระดูกเร้นกาย
หลังจากฝึกฝนวิชานี้มาเป็นระยะเวลาหลายเดือน หลินเป่ยเฉินก็สามารถทนทานการถูกโจมตีได้หลายร้อยกระบวนท่า
ในที่สุด โอกาสเลื่อนระดับพลังของเขาก็มาถึงแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้ กว่าจะเลื่อนระดับได้สำเร็จออกจะยากเย็นอยู่สักหน่อย
แต่เมื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเกิดพลังชนิดใหม่พวยพุ่งออกมา
มันก็ไม่ต่างจากน้ำพุใต้ดินที่ไหลทะลักด้วยแรงดันมหาศาลจากด้านใน
พลังเหล่านั้นหลอมรวมไปทั่วร่างกายที่แตกร้าวของหลินเป่ยเฉิน
คล้ายกับว่าตุ๊กตาดินเผาที่เกิดรอยร้าวและกำลังจะพังทลายนั้น อยู่ดีๆ ก็ได้รับการซ่อมแซมจนกลับมามีสภาพสมบูรณ์ดีดังเดิม
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากระดูกที่แตกหักและกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หากสามารถมองเห็นภายในร่างกายของตนเองได้
เด็กหนุ่มก็จะพบว่ากระดูกเงินของเขาในขณะนี้กำลังปกคลุมไปด้วยลำแสงสีทองระยิบระยับ
ลำแสงสีทองเหล่านั้นไหลเวียนเข้าสู่เลือดเนื้อ
ส่งผลให้ผิวหนังของหลินเป่ยเฉินมีแสงสว่างสีทองเรืองรองขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินแทบจะกลายเป็นมนุษย์ทองคำไปในพริบตา
“หืม?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นบุคคลแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้
พลังที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ใกล้ตาย
แต่มันเป็นพลังที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
ทันใดนั้น
เปรี้ยง!
ค่ายกลมังกรคู่พลันระเบิดกระจายหายไปต่อหน้าต่อตา
หลินเป่ยเฉินลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ตีลังกา 360 องศาและทิ้งตัวกลับลงไปยืนอยู่บนเวทีได้อย่างสวยงาม
รอยยิ้มแห่งความมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลา
“นี่หรือคือค่ายกลมังกรคู่?”
เด็กหนุ่มยืนหยัดอย่างมั่นคง และถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “ช่างไร้ระดับเสียเหลือเกิน”
แสงสีทองยังคงส่องสว่างออกมาจากใต้ผิวหนัง
สภาพของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้จึงไม่ต่างจากเทวรูปทองคำของเทพเจ้าสักองค์หนึ่ง
เมื่อเห็นดังนั้น กลุ่มคนที่เป็นตัวแทนชาวเมืองซึ่งเมื่อสักครู่นี้มีความคิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ก็ต้องระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขาตัดสินใจเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงต่อไปด้วยความระมัดระวัง
“ท่านพี่เลื่อนระดับได้สำเร็จแล้ว”
เซียวปิงตะโกนออกมาด้วยความดีใจสุดขีด
เห็นเพียงเท่านี้ เขาก็จำได้ทันทีว่านี่คือสัญญาณของร่างกายที่เลื่อนขั้นสู่ระดับกระดูกทองคำได้สำเร็จ
แต่หลังจากส่งเสียงตะโกนด้วยความดีใจ เซียวปิงก็หยุดชะงัก
แบบนี้ไม่ถูกต้อง
ท่านพี่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเขา ก็สมควรเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นกระดูกทองคำได้สำเร็จมานานแล้วไม่ใช่หรือ?
เซียวปิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และยกน่องไก่ขึ้นกัดแทะ
นี่เขาพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรือเปล่านะ?
ทุกคนรอบตัวหันมามองหน้าเด็กหนุ่มร่างอ้วนเป็นตาเดียว
“เลื่อนระดับอะไรหรือ?”
ใครสักคนถามออกมา
เซียวปิงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ”
เพี๊ยะ!
หลิงไท่ซวีที่ยืนอยู่ด้านข้างประทานฝ่ามืออรหันต์เข้าเต็มหน้าผากของเจ้าอ้วนจอมตะกละ “ไม่รู้ก็อยู่เงียบๆ จะพูดออกมาให้คนอื่นตกใจเล่นทำไม”
เซียวปิงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ด้านหลังของพวกเขาเป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งจำนวนนับหมื่นคนกำลังส่งเสียงโห่ร้องด้วยความสะใจ
ในทางตรงกันข้าม
กลุ่มชาวทะเลต้องกลั้นหายใจด้วยความลุ้นระทึก
ค่ายกลมังกรคู่ของแม่ทัพอู๋หยาถูกทำลายลงแล้วจริงๆ หรือ?
ปรากฏความประหลาดใจในดวงตาของเจ้าชายอวี้ชินหวัง
นี่คือพลังที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกประจำเมืองหยุนเมิ่งใช่หรือไม่?
“โอ้โห…”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ผุดลุกขึ้นมาตะโกนให้กำลังใจเสียงดังลั่น “พี่ชายสู้ๆ น้า”
บนเวทีประลอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองได้ตายแล้วเกิดใหม่พร้อมร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิม ความมั่นใจของเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นโดยปริยาย
บัดนี้ เขาแข็งแกร่งมากกว่าเดิมแล้วจริงๆ
ผิวหนังมีความหนากว่าคนธรรมดา ทนทานต่อคมกระบี่
ส่วนภายในก็กลับกลายเป็นโครงกระดูกทองคำ สามารถทนรับแรงกระแทกได้ถึง 500,000 ชั่ง เมื่อประกอบกับผิวหนังที่แข็งแกร่ง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าต่อให้ตนเองยืนอยู่เฉยๆ และปล่อยให้ผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ตอนกลางจนถึงตอนปลายนำกระบี่มารุมฟันแทง กระบี่เหล่านั้นก็ยังไม่สามารถทำให้ผิวหนังเกิดรอยขีดข่วนได้ด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจที่สุด
ประเด็นสำคัญก็คือร่างกายของหลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งมากขึ้น จึงสามารถรับแรงถีบของปืน 98k ได้ดีขึ้น
และนั่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มโอกาสเก็บชัยชนะได้มากขึ้นเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนี้
“หืม?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาพูดเสียงเรียบ “เลื่อนระดับพลังอย่างนั้นหรือ? น่าสนใจดีนี่ แต่ไม่ทราบว่าเจ้าจะมีปัญญาเลื่อนระดับพลังได้อีกสักแค่ไหนกัน?”
“ลองเข้ามาสู้กับข้าดูสิ เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว
เด็กหนุ่มเริ่มต้นโคจรพลังลมปราณในร่างกายอีกครั้ง
วูบ!
คมกระบี่สาดประกาย
กระบวนท่าที่หกจากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรถูกใช้ออกมาแล้ว!
ในระหว่างที่คมกระบี่สาดประกาย มวลอากาศปั่นป่วนตลอดเวลา หลินเป่ยเฉินสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวกับภูตพราย เพียงพริบตาต่อมาเท่านั้น เด็กหนุ่มก็ทิ้งตัวลงมายืนอยู่เบื้องหน้าแม่ทัพฉลามอู๋หยา พร้อมด้วยพลังลมปราณที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายอย่างเนืองแน่น
ลำแสงกระบี่ครอบคลุมผืนฟ้า
“นับว่าเจ้ารนหาที่ตายเอง”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาทุบกำปั้นลงไปบนหน้าอกอย่างเป็นจังหวะจะโคนอีกครั้ง แล้วพลังลมปราณสีดำทมิฬก็พวยพุ่งออกมาเป็นมังกรดำคู่ใหม่ โบยบินในอากาศพร้อมกับแผดเสียงคำรามดังสะเทือนหู “ค่ายกลมังกรคู่… จงตายซะ!”
มังกรคู่โอบล้อมเข้ามาอยู่รอบกายหลินเป่ยเฉิน
พร้อมด้วยพลังกดดันหนักหน่วง
เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!
คมกระบี่แทงทะลุค่ายกลไม่หยุดยั้ง
เงากระบี่แผ่ปกคลุมซ้ายขวา มังกรคู่ที่โอบล้อมเข้ามาถูกกระบี่ฟันตัวขาดเป็นหลายท่อน พลังกดดันสลายหายไป ร่างกายของพวกมันก็สลายกลายเป็นเพียงกลุ่มควันในอากาศ และถูกสายลมพัดพาลอยออกไปไกลๆ แช่มช้า…
“คนเราไม่ควรใช้วิธีการที่ล้มเหลวซ้ำสองนะพวก”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็หัวเราะร่วน
การที่ร่างกายของเขาสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นกระดูกทองคำได้สำเร็จ นอกจากจะทำให้ร่างกายมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมแล้ว มันยังช่วยเพิ่มความสามารถในการหยิบยืมพลังขึ้นมาจากพื้นปฐพีมากกว่าเดิมได้หลายเท่าอีกด้วย
เมื่อรวมเข้ากับพลังลมปราณที่มีอยู่ในร่างกาย ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินจึงมีพลังเทียบเท่ายอดปรมาจารย์ระดับหกแล้ว
เมื่อใช้กระบวนท่ากระบี่ที่หกออกมาอีกครั้ง ระดับพลังในการโจมตีจึงเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิมสามถึงสี่เท่า
หลินเป่ยเฉินสามารถสลายค่ายกลมังกรคู่ได้อย่างง่ายดายเป็นครั้งที่สอง
คมกระบี่ปะทะกับกำปั้น
หลินเป่ยเฉินมีความมั่นใจยิ่ง
กระบวนท่าทั้งสองที่แม่ทัพฉลามอู๋หยาใช้ออกมาโจมตีเขาเมื่อสักครู่นี้ ประกอบไปด้วยเพลงหมัดแยกมหาสมุทรและค่ายกลมังกรคู่ ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถทำอันตรายหลินเป่ยเฉินได้อีกต่อไป
ต่อจากนี้ แม่ทัพฉลามผู้ร้ายกาจก็คงเลือกใช้กระบวนท่าเพลงหมัดพายุทมิฬ
หรือไม่ก็เพลงหมัดเกล็ดทมิฬ
แต่ถ้าอยากจะเผด็จศึกเขาจริงๆ ก็คงจะเป็นกระบวนท่าเพลงหมัดหลับใหลชั่วนิรันดร์
หลินเป่ยเฉินยังคงโจมตีด้วยกระบวนท่ากระบี่ที่หกต่อไป
ลำแสงกระบี่พวยพุ่งออกไปอีกครั้ง
เงาคนเคลื่อนไหวไปรอบกายแม่ทัพฉลามอู๋หยา
คมกระบี่ตวัดกวัดแกว่งทิ่มแทงจากทุกทิศทุกทาง
การต่อสู้และตอบโต้หลายกระบวนท่าผ่านพ้นไป ในที่สุด คู่ต่อสู้ทั้งสองบนเวทีก็หยุดชะงักลงและแยกย้ายออกจากกัน
แม่ทัพฉลามอู๋หยาค่อยๆ ยกมือขึ้นมา
เมื่อเห็นบาดแผลฉกรรจ์ปรากฏขึ้นบนกำปั้นของตนเอง และมีโลหิตสีดำกำลังไหลทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก ใบหน้าของฉลามหนุ่มก็กระตุกระริกโดยไม่รู้ตัว “เพลงกระบี่ของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ทราบว่ามันเป็นเพลงกระบี่ที่มีชื่อเรียกว่าอะไร?”
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบไปว่า “นี่คือกระบวนท่ากระบี่ที่หก”
ครั้งนี้ เขาพูดชื่อกระบวนท่าออกมาโดยไม่ปิดบัง
เพราะแม่ทัพฉลามอู๋หยาแทบจะเป็นบุคคลแรกที่สามารถมองเห็นกระบวนท่าโจมตีจากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรได้สำเร็จ
แม้มือจะเป็นบาดแผลฉกรรจ์แล้วก็ตาม
แต่นั่นก็เป็นเพียงความเสียหายทั้งหมดที่กระบี่สายฟ้าสามารถทำได้เท่านั้น
เมื่อแม่ทัพฉลามอู๋หยายกมือขึ้นมา บาดแผลฉกรรจ์นั้นก็หายไปในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นสักนิด
“กระบวนท่ากระบี่ที่หกอย่างนั้นหรือ?”
แม่ทัพฉลามอู๋หยาพยักหน้าและกล่าวว่า “ช่างเป็นชื่อที่แปลกเหลือเกิน… ข้าไม่เคยได้ยินชื่อกระบวนท่าเช่นนี้มาก่อน นี่นับเป็นเพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยมมาก ในบรรดาสายพันธุ์ชาวทะเลของพวกเรา นับว่าชาวดาวทะเลมีฝีมือกระบี่เก่งกาจที่สุด กระบวนท่าที่เจ้าใช้ออกมาในครั้งนี้ สามารถเทียบเคียงกับเพลงกระบี่ถล่มผืนฟ้าทลายก้นสมุทรของพวกเขาได้เลยทีเดียว”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขากำลังระวังตัว
เมื่อฝ่ายตรงข้ามพูดจาด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ หมายความว่าต้องไม่เป็นเรื่องดีกับเขาแน่นอน
“ไม่ทราบว่าเพลงกระบี่ของเจ้ายังมีกระบวนท่าที่เจ็ดอีกหรือไม่?”
ดวงตาของแม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นประกายแวววาวอย่างน่าอันตราย
ใจกลางดวงตาสีเขียวมรกตของมัน ปรากฏจุดสีดำขนาดเล็กสองจุดที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อน
ผิวที่ราบเรียบราวกับแผ่นหนังพลันเปล่งประกายระยิบระยับ แล้วเกล็ดปลาสีดำทมิฬก็ปรากฏออกมาทั่วร่างกายในเวลาอันรวดเร็ว
แม่ทัพฉลามอู๋หยากำลังจะโจมตีด้วยเพลงหมัดเกล็ดทมิฬ!
หลินเป่ยเฉินมีสมาธิตั้งมั่น เมื่อเห็นดังนั้น หัวใจของเขาก็กระตุกวูบ
กระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวของจริงกำลังจะปรากฏออกมาแล้ว
ให้ตายสิ
ไม่ทราบเลยว่าฉลามมีเกล็ดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ลมหายใจต่อมา จุดสีดำเล็กๆ ในดวงตาของฉลามหนุ่มก็เริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้น
เกล็ดสีดำบนร่างกายจำนวนมากมายเหล่านั้นพลันดีดตัวพุ่งออกมาจากผิวหนัง
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
นี่เรียกว่าเป็นเพลงหมัดไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
เกล็ดปลาทมิฬเหล่านั้นถูกยิงออกมาไม่ต่างจากลูกดอกพิฆาต
แม้หลินเป่ยเฉินจะไม่แน่ใจในพลังโจมตีของเกล็ดปลาทมิฬเหล่านี้ แต่สัญชาตญาณกำลังบอกเขาว่า ต่อให้ตนเองมีกระดูกทองคำ หากยังยืนอยู่เฉยๆ เป็นเป้าให้เกล็ดปลาบินมาปักตามร่างกาย หลินเป่ยเฉินผู้เป็นความหวังของคนทั้งเมือง… ก็คงจะต้องถึงคราวตายในวันนี้เอง
ดังนั้น กระบี่ในมือของเขาจึงเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า
ปลายกระบี่จี้แทงไปข้างหน้าฝั่งซ้ายมือ
กระบวนท่ากระบี่ที่เจ็ด
เมื่อตวัดกระบี่ขึ้น ก็ปรากฏม่านพลังในลักษณะกำแพงโปร่งแสงสว่างวาบขึ้นมาอยู่เบื้องหน้า
“ข้าจะเอาจริงแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณไปทั่วร่างกายอีกครั้ง…
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย