ด้านล่างเวทีประลอง
ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียนเมื่อได้ยินถ้อยคำเหน็บแนมของหลินเป่ยเฉิน คิ้วของมันก็กระดกขึ้นลงตลอดเวลา
เดิมทีมันก็เป็นผู้ที่อ่อนไหวต่อถ้อยคำเหล่านี้อยู่แล้ว
ฝีเท้าของนักรบชาวทะเลเหล่านั้นหยุดชะงักลงทันที
เด็กหนุ่มคนนี้กล่าวได้ถูกต้อง
กฎเหล่านี้เป็นแม่ทัพฉลามอู๋หยาตั้งขึ้นมาเองก่อนการต่อสู้ ฝ่ายใดก็ตามที่สามารถเก็บชัยชนะได้จากผู้ประลองสามในห้าคนได้สำเร็จ ให้ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นผู้ได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ และผู้ชนะมีสิทธิ์เอาชีวิตผู้แพ้ได้โดยชอบธรรม
แม่ทัพฉลามอู๋หยาบอกว่าตนเองยินดียอมรับความตาย และตอนที่ยังไม่ตาย ก็เท่ากับว่าการต่อสู้ยังไม่ยุติลง
เหล่านายทหารในหน่วยรบคลื่นทมิฬไม่ว่าจะกรูขึ้นไปบนเวทีด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม แต่ก็เท่ากับว่าพวกมันได้ละเมิดกฎการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว
มิหนำซ้ำ พวกมันยังเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีใส่หลินเป่ยเฉินก่อน
ตามกฎกติกาที่ระบุเอาไว้ หลินเป่ยเฉินมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะสังหารพวกมันทุกๆ ตัว
เพียงแต่ว่า…
เหตุไฉนเขาถึงใช้เวลาเพียงพริบตาเดียว?
ยอดฝีมือและเหล่านักรบชาวทะเลเริ่มเกิดความลังเลใจขึ้นมา
ความเกลียดชังที่มีต่อมวลมนุษย์มาอย่างช้านาน ผสมรวมกับความศรัทธาที่มีต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเลผู้ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เหล่ายอดฝีมือของชาวทะเลกลุ่มนี้ ไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองควรทำอย่างไรดี
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลยก็ได้” หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะปราศจากความกลัวเกรง “ข้าหลินเป่ยเฉินบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง มีอะไรให้พวกเจ้าหวาดกลัวถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
แต่ในใจจริงนั้น หลินเป่ยเฉินแอบภาวนาอยู่ว่าให้พวกนักรบชาวทะเลกลุ่มนี้ถอยหลังกลับไป
อย่าได้ทำอะไรโง่เขลาออกมาเลย
ช่วยเห็นแก่หน้าเทพเจ้าแห่งท้องทะเลบ้างเถอะ
อย่าบังคับให้เขาถึงกับต้องใช้งานปืนยิงจรวด Type 69 เลยนะ
ทันใดนั้น…
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองไปยังเกี้ยวทองคำที่อยู่ห่างจากเวทีประลองไม่มากเท่าไหร่
องค์หญิงแห่งท้องทะเลมัวทำอะไรอยู่นะ
เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังนั่งดูอยู่เฉยๆ อีกได้อย่างไร?
ตอนนี้ท่านควรแสดงตัวออกมาได้แล้ว
แต่เมื่อเห็นว่ายังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากภายในห้องโดยสารเกี้ยวทองคำ หลินเป่ยเฉินก็จัดการบรรจุแหล่งพลังงานกระสุนลงในปืนยิงจรวด Type 69 สีหน้าของเขาเรียบเฉย ขอให้ฝ่ายตรงข้ามเดินออกมาข้างหน้าอีกก้าวเดียว รับรองได้เลยว่าสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลลึกเหล่านี้ระเบิดกระจุยแน่…
แต่ในทันใดนั้น
“ทุกคนพอได้แล้ว”
ในที่สุด เสียงที่ฟังไพเราะเสนาะหูขององค์หญิงแห่งท้องทะเลก็ดังขึ้น
“พวกเราชาวทะเลถอยกลับมา”
ร่างขององค์หญิงที่อยู่หลังม่านสายน้ำลุกขึ้นยืน
“การต่อสู้ในครั้งนี้ มีเทพเจ้าแห่งท้องทะเลเป็นพยาน แม่ทัพฉลามอู๋หยาตายอย่างสมเกียรติเพื่อรับใช้พระองค์ท่าน พวกเจ้าไม่อาจทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติยศที่แม่ทัพฉลามอู๋หยาอุทิศตัวในครั้งนี้เด็ดขาด เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็ขอให้ทุกคนถอยกลับมา… เดี๋ยวนี้”
สองคำสุดท้ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
ไม่มีสิ่งใดให้โต้แย้งอีกแล้ว
สุดท้าย เหล่านักรบชาวทะเลก็ต้องถอยกลับไป
แม้แต่กองทัพของชาวทะเลก็ต้องลดอาวุธลง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นับว่าองค์หญิงยังคงยื่นมือเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทันเวลา
มิฉะนั้นแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าปืนยิงจรวด Type 69 จะสร้างความเสียหายรุนแรงขนาดไหน
และมีอีกหนึ่งอย่างที่หลินเป่ยเฉินยังไม่รู้ นั่นคือแรงถีบของปืนยิงจรวด Type 69 จะมีความรุนแรงอยู่ในระดับไหน
แรงถีบของมันรุนแรงมากพอที่จะทำให้เขาตายไปพร้อมกับทุกคนเลยหรือไม่?
“องค์หญิงสมแล้วที่เป็นยอดไข่มุกของมหาสมุทร เป็นความภาคภูมิใจของชาวทะเล ยึดตามกฎกติกาที่ได้ตกลงกันเอาไว้ การต่อสู้ในวันนี้ ถือว่าฝ่ายชาวเมืองเป็นผู้ชนะโดยสมบูรณ์ ท่านสมควรทำตามที่ได้รับปากเอาไว้ ชาวเมืองหยุนเมิ่งทุกคนจะต้องไม่ถูกกระทำหยามเกียรติ ดังเช่นสัตว์ตัวหนึ่งอีกต่อไป…”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางจ้องมองไปที่เกี้ยวทองคำ
“ไม่มีปัญหา”
องค์หญิงแห่งท้องทะเลตอบกลับมาน้ำเสียงหนักแน่น
บังเกิดเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นจากกลุ่มคนในลานจัตุรัสทันที
ในที่สุด… พวกเขาก็ทำสำเร็จแล้ว!
หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานนานหลายเดือน ในที่สุด ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็จะได้พบกับความสงบสุขอีกครั้ง
แม้ว่าพวกเขาจะยังคงต้องอยู่ภายใต้การปกครองของชาวทะเลต่อไป แต่เมื่อมีหลินเป่ยเฉินอยู่ทั้งคน สถานการณ์ทุกอย่างก็คงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“แม่จ๋า ท่านพ่อไม่ต้องออกไปต่อสู้แล้วใช่ไหม?”
เด็กหญิงยิ้มแย้มอย่างมีความสุขขณะโอบกอดมารดา
หญิงสาวผู้เป็นแม่เด็กน้อยพยักหน้า น้ำตาแห่งความสุขไหลรินเต็มสองแก้ม “ใช่แล้ว ติงติง พ่อของเจ้าไม่ต้องออกไปต่อสู้อีกแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าต้องจดจำท่านอาบนเวทีคนนี้ให้ดี เขาเป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา โตขึ้นภายภาคหน้าเจ้าต้องตอบแทนบุญคุณเขาให้ได้”
ความจริง ก่อนที่การต่อสู้คู่ที่สามจะเริ่มขึ้น ฝ่ายมนุษย์กุมความได้เปรียบอยู่พอสมควร
หากหลินเป่ยเฉินรักตัวกลัวตายและปฏิเสธที่จะไม่ออกไปต่อสู้กับแม่ทัพฉลามอู๋หยา คนที่จะต้องขึ้นไปบนเวทีหากไม่ใช่ไต้จือฉุน ก็ต้องเป็นหลิวฉีไห่เพียงสองคนเท่านั้น และดูจากระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามแล้ว แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ต้องสามารถเก็บชัยชนะได้อย่างไม่มีข้อสงสัย และนั่นก็จะนำมาสู่การต่อสู้คู่ที่สี่ นอกจากหลินเป่ยเฉินจะไม่ต้องพบกับยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอย่างแม่ทัพฉลามอู๋หยาอีกแล้ว สถานการณ์ของฝ่ายชาวเมืองก็จะตกอยู่ในการควบคุมของเด็กหนุ่มโดยสมบูรณ์
หากหลินเป่ยเฉินเลือกทำเช่นนั้น ก็ไม่มีผู้ใดคิดกล่าวโทษ
มันเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้
แม้แต่ครอบครัวของไต้จือฉุนก็ไม่มีคำโต้แย้ง
เมื่อเทียบกันแล้วระหว่างไต้จือฉุนกับหลิวฉีไห่ ฝ่ายหลังยังมีสถานะเป็นถึงอาจารย์ของหลินเป่ยเฉิน หากมีใครสักคนต้องเสียสละชีวิตของตนเอง ก็มีความเป็นไปได้สูงที่หลินเป่ยเฉินจะเลือกไต้จือฉุนให้ขึ้นไปต่อสู้บนเวที
แต่ทว่า หลินเป่ยเฉินกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขายอมรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง
เขาเดินขึ้นเวทีไปเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากฝั่งชาวทะเล
นี่แหละคือวีรบุรุษตัวจริง
สำหรับในหัวใจของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาไต้จือฉุน นางมีความเคารพเทิดทูนในตัวหลินเป่ยเฉินยิ่งนัก
เด็กหญิงหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำพูดของมารดา “แม่จ๋า เมื่อข้าโตขึ้น ข้าจะแต่งงานกับพี่ชายท่านนั้นเอง”
หญิงสาวชะงักเล็กน้อยและหันไปมองหน้าสามี
พรืด
พวกเขามองหน้ากันและหลุดหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน
ให้ตายเถอะ
ติงติงของพวกเขาเป็นเด็กที่มองการณ์ไกลเหมือนกันนะเนี่ย
หากติงติงเติบโตขึ้นไปได้แต่งงานกับยอดวีรบุรุษอย่างหลินเป่ยเฉินจริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีงามไม่ใช่หรือ?