“ขอบคุณคุณชายหลินมากนะเจ้าคะ”
โจวจิงที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นางรู้ดีว่าคำพูดของหลินเป่ยเฉินมีน้ำหนักขนาดไหน
นอกจากเป็นวีรบุรุษประจำเมืองแล้ว ต้องไม่ลืมว่าหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ ก่อนหน้านี้ก็เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาแล้วหลายครั้ง เมื่อเขาพูดว่าจะมอบความยุติธรรมให้แก่สามีของนาง ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่ามลทินของไต้จือฉุนจะต้องได้รับการชำระล้าง
ที่สำคัญก็คือ สามีของนางไม่ได้ทำอะไรผิด
เป็นฝ่ายคนชั่วร้ายเหล่านั้นต่างหากที่ลงมือรังแกผู้คนก่อน
เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่ทราบได้กว่าที่โจวจิงจะสามารถผ่านพ้นฝันร้ายเหล่านั้น และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นในปัจจุบันนี้อีกครั้ง
“เร็วเข้าสิ ติงติง ยังไม่รีบขอบคุณท่านอาเป่ยเฉินอีก” หญิงสาวรีบออกคำสั่ง
“เขาไม่ใช่ท่านอา แต่เป็นท่านพี่เป่ยเฉินต่างหาก” เด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าอ้วนกลมเลิกคิ้วขึ้นสูง นางดูเหมือนตุ๊กตาดินเผาที่สมบูรณ์แบบที่สุด และไม่ยอมเรียกหลินเป่ยเฉินว่าเป็นท่านอาตามที่มารดาสั่งสอน
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้ม พูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรหรอกขอรับพี่สะใภ้ นับจากนี้ไป พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันอีกแล้ว ขอให้ติงติงเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ส่วนข้านั้นก็จะเรียกบิดาของนางว่าท่านพี่เช่นกัน”
ไต้จือฉุนกับภรรยาพูดอะไรไม่ออกด้วยความตื้นตันใจ
ในไม่ช้า สาวรับใช้ก็นำจอกสุราสี่จอกและไหสุราหนึ่งใบมาที่โต๊ะรับรอง
“พี่ใหญ่ นี่หรือคือสุราที่มีมูลค่าหมื่นเหรียญทองคำ?”
ติงติงถามออกมาด้วยความสงสัย
“ติงติงอย่าได้เที่ยวพูดจาไร้สาระ” หญิงสาวรีบส่งเสียงดุบุตรสาวของตนเองทันที
“หุหุ ไม่เป็นไรขอรับพี่สะใภ้ เมื่อสักครู่ ข้าน้อยก็แค่คุยโวไปอย่างนั้นเอง… ครอบครัวของข้าช่างยากจน ซ้ำยังต้องเลี้ยงดูสาวรับใช้กับพ่อบ้านชรา รวมถึงกลุ่มจอมยุทธ์อีกจำนวนหนึ่ง ต่อให้ข้าน้อยจะเป็นเจ้าของเหมืองแร่หินบูชาก็จริง แต่ในบ้านหลังนี้ ไม่ร่ำรวยมากพอที่จะดื่มสุราไหละเป็นหมื่นเหรียญหรอกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจไร้การเสแสร้ง
หญิงสาวถึงกับต้องชะงักไปอีกครั้ง
คุณชายหลินเรียกได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์แบบ ติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่บางครั้งชอบพูดจาเหลวไหลนั่นเอง
ประเมินดูแล้ว น่าจะเป็นอาการสมองเสื่อมกำเริบขึ้นมาตามข่าวลือ
และคงเห็นว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้มีสติไม่สมประกอบ องค์จักรพรรดิถึงได้เคยไว้ชีวิตเขาในอดีต
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสาร
ไต้จือฉุนหยิบจอกสุราขึ้นมา พูดว่า “คุณชายหลิน สุราจอกนี้ข้าขอมอบให้กับท่าน…”
หลินเป่ยเฉินรออยู่อึดใจใหญ่แล้วและไม่เห็นไต้จือฉุนหยิบจอกสุราขึ้นมาสักที จนเขาเริ่มเกิดความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เมื่อได้ยินประโยคที่รอคอย หลินเป่ยเฉินจึงรีบรับจอกสุราจากมือของบัณฑิตหนุ่มโดยไม่ปฏิเสธ “ท่านพี่ไต้ จะอย่างไรนับจากนี้ไป พวกเราก็คงต้องร่วมหัวจมท้ายกันไปอีกนาน มีอะไรก็ขอให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ในเมื่อวันนี้ฤกษ์งามยามดี ท่านหิ้วสุรามาให้ข้าถึงที่ พวกเรามาใช้สุราไหนี้แทนการดื่มน้ำร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันตลอดไปดีหรือไม่?”
ไต้จือฉุนยังหนุ่มยังแน่น อายุเพียง 30 ปี แต่กลับมีพลังสูงส่งถึงขั้นยอดปรมาจารย์ หากได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มรูปแบบ ในภายภาคหน้าก็ต้องก้าวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือผู้น่ากลัวคนหนึ่งได้แน่นอน
แต่ที่สำคัญก็คือ ไต้จือฉุนมีนิสัยซื่อสัตย์และจริงใจ จึงเป็นโอกาสดีที่หลินเป่ยเฉินจะสร้างสัมพันธ์และความเชื่อใจ ไม่ว่าหลังจากนี้ไต้จือฉุนจะเป็นลูกมือที่มีประโยชน์ต่อเขาหรือไม่ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะรับไว้เลี้ยงดูในตอนนี้
เพราะถึงอย่างไรเสีย มียอดฝีมืออยู่ใกล้ตัวหลายคน ก็ดีกว่าต่อสู้แบบหัวเดียวกระเทียมลีบ
หลินเป่ยเฉินพอจะรับทราบเรื่องราวของผลประโยชน์ในโลกมนุษย์ใบเดิมอยู่บ้าง เมื่อคิดจะทำการใหญ่ ก็จำเป็นต้องมีพวกพ้องฝีมือดีอยู่ไม่ใช่น้อย หากไม่ใช่เพราะเหตุผลข้อนี้ เว่ยหมิงเฉินจะสามารถเรืองอำนาจขึ้นมาได้อย่างไร?
หากไม่มีผู้ช่วยฝีมือดี
เว่ยหมิงเฉินก็เป็นเพียงมือกระบี่คนหนึ่งเท่านั้น
“เรื่องนั้น…”
ไต้จือฉุนอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เฮ้อ หากพี่ไต้เห็นว่าไม่เหมาะสม ข้าก็ไม่ว่ากระไรหรอก…”
หลินเป่ยเฉินทำท่าเหมือนกำลังจะถอดใจ
ไต้จือฉุนรีบส่ายหน้า พูดล่ำละลักว่า “ไม่ใช่ขอรับ เพียงแต่ว่าคนอย่างข้า คู่ควรที่จะเป็นพี่ชายร่วมสาบานของท่านแล้วหรือ…”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะโดยที่ชายหนุ่มยังพูดไม่จบประโยค “อะไรคือคู่ควรไม่คู่ควร? ขอเพียงพี่ไต้เห็นว่าเหมาะสม ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น อีกอย่าง พวกเราล้วนเป็นบุรุษหนุ่มรูปหล่อผู้รักในความยุติธรรมเหมือนกัน อย่าได้สนใจถ้อยคำอิจฉาริษยาจากผู้อื่นเลย พวกเรามาช่วยกันฟื้นฟูเมืองนี้ ให้กลับมาสวยงามดังเดิมดีกว่า…”
ไต้จือฉุนรู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมราวกับปาฏิหาริย์
แต่เขาก็ยังคงอดคิดไม่ได้ว่าตนเองเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดี เหตุไฉนถึงคู่ควรที่จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหลินเป่ยเฉิน?
ทว่า ในเวลาเดียวกันนั้น การที่วีรบุรุษของชาวเมืองหยุนเมิ่งให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ไต้จือฉุนรู้สึกตื้นตันใจที่สุดในชีวิต
หลังจากนั้น ไต้จือฉุนกับหลินเป่ยเฉินก็ดำเนินพิธีดื่มสุราร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันตลอดไป
“ท่านพี่”
“น้องชาย”
“ท่านพี่เชิญดื่ม”
“น้องชายเชิญดื่ม”
แล้วทั้งสองคนก็ดื่มสุราร่วมสาบานรวดเดียวหมดจอก
ไต้จือฉุนรู้สึกเหมือนกับตนเองได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่
แต่มันก็เป็นการก้าวเดินเข้าไปด้วยความเต็มใจ
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไรออกมา พ่อบ้านหวังจงที่หายตัวไปพักใหญ่ ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องรับแขก “นายน้อยขอรับ แย่แล้วขอรับนายน้อย นายน้อยขอรับ แย่แล้วขอรับนายน้อย…”
หลินเป่ยเฉินวางจอกสุรากลับคืนลงบนโต๊ะ ผุดลุกขึ้นยืนและหันไปกระโดดเตะหวังจงล้มกลิ้งกระเด็นไปด้านข้าง “เจ้าสุนัขเฒ่า มีอะไรก็รีบพูดออกมา รู้หรือไม่ว่าเจ้าเข้ามาเห่าหอนขัดจังหวะการดื่มสุราร่วมสาบานของพวกเรา…”
หวังจงที่โดนเตะกระเด็นออกไปรีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสดชื่น
เขาส่งเสียงครางด้วยความสบายเนื้อสบายตัว “อ้า นายน้อยไม่ได้เตะหวังจงมา 3 เดือนเต็มๆ แล้ว นี่คือสัมผัสที่หวังจงถวิลหาเหลือเกิน… ไม่มีอะไรจะดีงามเช่นนี้อีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ชักสีหน้าด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นเจ้าหรืออย่างไร?”
พ่อบ้านชราตัวสั่นเทาขึ้นมาจริงๆ
ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“มีอะไรรีบพูดมา”
หลินเป่ยเฉินคำรามเสียงห้วน
หวังจงกลับมาได้สติอีกครั้ง ใช้มือนวดบั้นท้ายของตนเองพร้อมกับรายงานว่า “นายน้อย กำลังจะคลอดแล้วขอรับ กำลังจะคลอดแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก “ข้าเป็นบุรุษ จะคลอดลูกได้อย่างไร?”
หวังจงเบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ
ถึงเขาจะอยู่รับใช้นายน้อยมาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจการทำงานของสมองนายน้อยได้อยู่ดี พ่อบ้านชราจึงต้องรีบอธิบายว่า “หมายถึงอาฮัวขอรับ อาฮัวของท่านกำลังจะคลอดลูกแล้ว…”
“แล้วใครคืออาฮัวอีกล่ะเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
หรือว่าก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินตัวจริงก่อนตายได้เคยทำสตรีที่ชื่อว่าอาฮัวตั้งครรภ์?
หวังจงรีบประสานมือรายงานว่า “หมายถึงหมาป่าน้ำแข็งที่เป็นสัตว์เลี้ยงของนายน้อยขอรับ ช่วงระหว่างที่นายท่านหมดสติไม่รู้ตัว อากวงมาสอนหนังสือมันทุกวัน และตั้งชื่อมันว่าอาฮัว…”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ
“งั้นก็ให้มันคลอดลูกไปสิ”
เด็กหนุ่มรู้สึกเหนื่อยใจ
หวังจงพูดเสียงเครียด “แต่มันคลอดไม่ได้ขอรับ สงสัยก่อนหน้านี้ ข้าคงนำหนวดปลาหมึกเส้นนั้นมาทำอาหารให้มันกินมากเกินไป ลูกๆ ในท้องของมันจึงตัวใหญ่ผิดปกติ… บัดนี้ อาฮัวมีอาการตกเลือดแล้วขอรับ”
“งั้นเจ้าก็ไปตามหมอตำแยมาซะ”
หลินเป่ยเฉินยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว “เจ้าคิดว่าข้าจะทำคลอดได้หรือไง”
หวังจงก้มหน้าต่ำ “หมอตำแยก็ไม่เคยทำคลอดหมาป่าน้ำแข็งมาก่อนขอรับ เรามีแต่ต้องตามตัวแพทย์รักษาสัตว์เท่านั้น…”
“งั้นก็ไปตามตัวเขามา”
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องแค่นี้ทำไมหวังจงถึงต้องมาบอกเขาด้วย
เพียงเรื่องเกี่ยวกับทำคลอดหมาป่าน้ำแข็งตัวเดียว ตัดสินใจเองไม่ได้หรือไง?
เมื่อหวังจงได้ยินดังนั้น เขาก็รีบหมุนตัววิ่งออกไปตามหาแพทย์รักษาสัตว์ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน หยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวผู้เป็นภรรยาก็เดินทางมาถึง
“ว่าไง ท่านพี่หยาง”
หลินเป่ยเฉินต้อนรับด้วยรอยยิ้มจริงใจ
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินอดไม่ได้ต้องยกมือขาวเนียนของตนเองปิดบังใบหน้า
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินยังก่นด่าหยางเฉินโจวเหมือนไม่ใช่มนุษย์ผู้หนึ่งอยู่เลย
ในยามนี้ หยางเฉินโจวดูมีความร้อนรนมากยิ่งกว่าหวังจงเสียอีก
เขาพยักหน้าทักทายหลินเป่ยเฉินพอเป็นพิธี ก่อนจะวิ่งไปที่สนามหญ้าข้างตำหนักไม้ไผ่ราวสายลมวูบหนึ่ง และเริ่มต้นทำคลอดให้แก่หมาป่าน้ำแข็งตัวนั้น
หลินเป่ยเฉินเดินตามไปดูด้วยความพิศวง
เขานึกว่าอาชีพแพทย์รักษาสัตว์เป็นเพียงงานบังหน้าที่หยางเฉินโจวใช้หลอกลวงผู้อื่นเท่านั้น แต่ที่ไหนได้ หยางเฉินโจวกลับมีความสามารถรักษาสัตว์ได้จริงๆ หรือนี่?
หลังจากนั้นไม่นาน หยางเฉินโจวก็หันมาถามหลินเป่ยเฉินด้วยคำถามที่ทำเอาตัวเย็นเฉียบในฉับพลัน
“เจ้าจะเลือกช่วยชีวิตแม่หรือช่วยชีวิตลูก?”
ชายหนุ่มจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาต้องการคำตอบด่วนที่สุด
“หา?”
หลินเป่ยเฉินตั้งตัวไม่ทัน
นี่มัน… คำถามในละครหลังข่าวหรือไม่ก็พวกนิยายน้ำเน่าไม่ใช่หรือไง?
“หมาป่าน้ำแข็งตัวนี้อาการหนักมากเกินไป เจ้าสามารถเลือกที่จะช่วยได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น”
หยางเฉินโจวพูดต่อ “มันเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้า รีบตัดสินใจเร็วเข้า จะให้ช่วยแม่หรือช่วยลูก?”
แม่งเอ๊ย
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองอุตส่าห์ทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ขนาดนี้ ก็ยังหนีคำถามโลกแตกเช่นนี้ไม่พ้นอยู่ดี
เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะพบเจอสถานการณ์นี้
หลินเป่ยเฉินหันไปจ้องมองเจ้าหมาป่าน้ำแข็งที่นอนจมอยู่ในกองเลือด
มันผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อย แววตาบอกถึงความเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญา
ยามจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน แววตาคู่นั้นก็สามารถสื่อสารความหมายได้ทำนองว่า…
ท่านจะมามองข้าหาพระแสงอะไร เรื่องนี้ท่านต้องเป็นคนตัดสินใจนะ!