หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นแววตาของหมาป่าน้ำแข็ง
เพราะมันไม่ได้ตั้งครรภ์โดยเต็มใจ
ตอนที่มันตั้งครรภ์ มันยังอายุน้อยเกินไป
บัดซบ
ต้องบอกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเสือสายฟ้าตัวนั้นจริงๆ
“จำเป็นต้องเลือกแค่อย่างหนึ่งอย่างใดจริงๆ หรือ?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกไปไม่ได้ “ถึงเป็นหมาป่า แต่พวกมันก็มีชีวิตนะ ท่านลองคิดหาวิธีดูให้ดี พยายามช่วยแม่กับลูกเอาไว้ให้ได้ เพราะถ้าแม่มันตาย ลูกที่อยู่รอดก็คงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้อยู่ดี”
“แบบนั้นข้าทำไม่ได้หรอก”
หยางเฉินโจวตอบกลับมาน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าเก็บลูกเอาไว้ดีกว่า สัตว์อสูรที่เพิ่งเกิดใหม่สามารถนำมาฝึกสอนใช้งานได้ดีกว่าแม่มันที่เติบโตมาจากในป่า และดูจากสภาพของแม่มันแล้ว น่าจะพัฒนาได้อีกไม่มากสักเท่าไหร่นัก”
“แต่ทำแบบนั้นมันดูไม่มีศีลธรรมเกินไปหน่อยมั้ง”
หลินเป่ยเฉินว่า
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หยางเฉินโจวไม่เข้าใจ
นี่มันอะไรกัน?
อดีตช่างตีเหล็กพบว่าในบางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาเลย
หลินเป่ยเฉินไม่เสียเวลาอธิบาย พูดต่อไปว่า “ตัวแม่คงไม่อยากสูญเสียลูก และตัวลูกก็คงไม่อยากสูญเสียแม่… เพราะฉะนั้น ข้าตัดสินใจได้แล้ว ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็ตาม ท่านต้องช่วยเหลือทั้งตัวแม่ตัวลูกเอาไว้ให้ได้ทั้งคู่”
หยางเฉินโจวส่งเสียงครางในลำคอออกมาเล็กน้อย “นั่นใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ที่ไหน ซ้ำยังกินเวลามหาศาล อัตราความสำเร็จก็น้อยยิ่ง”
“ไม่เป็นไร”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ารับทราบ “ขอแค่พี่หยางพยายามเต็มที่ก็พอแล้ว ทุกเรื่องราวต่อจากนี้ ขอฝากท่านด้วยก็แล้วกัน”
หยางเฉินโจวผงกศีรษะตอบตกลงอย่างลืมตัว “ไม่มีปัญหา…”
เอ๋?
เดี๋ยวก่อนนะ
คำพูดเมื่อสักครู่นี้หมายความว่าอย่างไร?
กว่าที่หยางเฉินโจวจะรู้ตัวว่าตนเองเผลอรับปากเด็กหนุ่มมันก็สายเกินไปแล้ว
ไต้จือฉุนกับภรรยาหันมองหน้ากันแล้วก็ต้องส่ายศีรษะเล็กน้อย
พวกเขานึกว่าตนเองเข้าใจในตัวตนของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี
แต่ไม่ใช่เลย
“ท่านพี่เป่ยเฉินกล่าวได้ถูกต้องแล้วนะเจ้าคะ ท่านลุง… ติงติงขอร้องด้วยอีกคน ท่านต้องพยายามช่วยชีวิตแม่กับลูกให้ได้นะเจ้าคะ ไม่ว่าจะเป็นลูกที่กำพร้าแม่ หรือแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไป มันก็น่าเศร้ามากเกินไปทั้งนั้น”
ติงติงเดินเข้ามาดึงชายเสื้อหยางเฉินโจว
ดวงตาของเด็กหญิงกลมแป๋วเป็นประกายด้วยความไร้เดียงสา
ท่านลุง… อย่างนั้นหรือ?
หยางเฉินโจวได้ยินคำที่เด็กหญิงเรียกตนเอง ก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเหตุผล
นี่เขาแก่จนถูกเรียกว่าลุงแล้วอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เขาออกจะกำยำดูหนุ่มแน่นถึงขนาดนี้
“แต่ว่า… น้องหลิน ข้าคงต้องขอเรียนตามตรง ความจริงตอนนี้ข้าไม่มีเวลาแล้ว มีเรื่องที่สำคัญรอให้ข้าไปทำให้สำเร็จลุล่วง ข้าควรออกจากตำหนักไม้ไผ่ในเวลาอีกชั่วน้ำชาหนึ่งถ้วย ไม่สามารถช้าไปมากกว่านั้นได้อีก”
หยางเฉินโจวหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความร้อนรน
“ท่านพี่หยาง ทำไมถึงได้พูดจาเช่นนี้เล่า นับดูในโลกใบนี้ ยังมีอะไรสำคัญกว่าการทำคลอดให้กับสัตว์เลี้ยงของข้าอีกหรือ?” หลินเป่ยเฉินบ่นออกมาด้วยความผิดหวัง
หยางเฉินโจวปากกระตุก
เรื่องที่เขาต้องไปทำ มันย่อมสำคัญกว่าการทำคลอดหมาป่าของหลินเป่ยเฉินแน่นอนอยู่แล้ว
หลังลังเลอยู่เล็กน้อย หยางเฉินโจวก็ลุกขึ้นมาพูดคุยกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “น้องชาย ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้า แต่ครั้งนี้ ข้าจำเป็นต้องไปจริงๆ ข้ามีภารกิจต้องไปรับกำลังเสริมจากนครเจาฮุย ใกล้จะถึงเวลานัดพบของพวกเราแล้ว”
เฮ้อ
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับ
พวกผู้คนในนครเจาฮุยไม่รู้จักเข็ดหลาบกันบ้างหรือไง
กำลังเสริมที่ส่งมา 3 ครั้งก่อนหน้านี้ถูกฆ่าตายหมดเกลี้ยง
ยังมีหน้าส่งกำลังเสริมขบวนที่สี่มาอีกได้อย่างไร?
ทำไมไม่หัดเรียนรู้จากความผิดพลาดเสียบ้าง?
“แหม ท่านก็น่าจะบอกตั้งแต่แรก ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายมาก เดี๋ยวข้าไปรับตัวพวกเขาเอง ส่วนท่านอยู่ที่นี่ทำคลอดหมาป่าต่อไป”
หลินเป่ยเฉินโบกสะบัดมือและพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ราวกับว่านี่ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แม้แต่น้อย
หยางเฉินโจวเบิกตาโตทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
หากเด็กหนุ่มจอมเสเพลยอมไปรับตัวกำลังเสริมเหล่านั้นด้วยตนเอง มันย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน
ชายหนุ่มหันไปมองหน้าหลู่หลิงโจวโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมสำทับว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐมาก เมื่อมีน้องหลินคอยช่วยเหลือเราอยู่ทั้งคน ต่อให้มีการซุ่มโจมตีจากพวกชาวทะเล ขบวนกำลังเสริมชุดนี้ก็จะต้องเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองหยุนเมิ่งได้โดยปลอดภัยแน่นอน”
หยางเฉินโจวใบหน้ากระตุก
ทำไมนางถึงได้มั่นใจขนาดนั้น?
ตลอดการรับตัวกำลังเสริมทั้งสามครั้งที่ผ่านมา หลู่หลิงโจวก็มีความมั่นใจไม่ต่างไปจากนี้ แต่สุดท้าย ขบวนกำลังเสริมเหล่านั้นก็ต้องกลับกลายเป็นซากศพไร้วิญญาณอยู่ดี
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน
เหตุผลสำคัญก็คือ หลินเป่ยเฉินย่อมมีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งมากที่สุด
โอกาสที่จะรับกำลังเสริมเข้าสู่ตัวเมืองได้สำเร็จจึงมีมากขึ้น
หยางเฉินโจวถูฝ่ามือด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นให้เป็นหน้าที่ภรรยาข้านำทางเจ้าไปก็แล้วกัน”
หลู่หลิงโจวพยักหน้า
“น้องชาย ข้าขอไปด้วยคน”
ไต้จือฉุนถามออกมาโดยไม่ต้องรอรับคำเชิญ
ฮัดช่า! มันต้องแบบนี้สิ
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “งั้นพวกเรารีบไปกันเลยดีกว่า”
…
ห่างออกไปหลายร้อยลี้ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองหยุนเมิ่ง มันเป็นที่ตั้งของภูเขาที่มีนามว่าเขาโมเจี๋ยน มันเป็นภูเขาซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมียอดเขาที่เป็นหินแหลมสูงโดดเด่นสะดุดตา
แต่ยอดเขาที่มีลักษณะเป็นโขดหินแหลมสูงเหล่านั้นกลับมีผิวเกลี้ยงเกลาราวกับกระจกแก้ว และคงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงแต่อย่างใด หากจะบอกว่าความงดงามของภูเขาลูกนี้ เป็นผลงานการรังสรรค์จากเทพเจ้าโดยแท้จริง
เคยมีตำนานเล่าขานว่าจักรพรรดิพระองค์หนึ่งในอดีตของจักรวรรดิเป่ยไห่ เคยหลอกล่อให้ทัพของชาวทะเลมาตั้งค่ายพักแรมอยู่ระหว่างเส้นทางที่ทอดผ่านภูเขาลูกนี้ ต่อจากนั้น องค์จักรพรรดิก็ได้นำกำลังพลขึ้นมาซุ่มอยู่ตามยอดเขา ก่อนจะบุกลงไปตะลุยตีทัพของชาวทะเลแตกกระเจิง
ยอดเขาที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาโมเจี๋ยนมีขนาดไม่สูงมาก แต่ด้านบนเป็นลักษณะพื้นที่ราบเรียบ สามารถรองรับผู้คนได้จำนวนหนึ่ง
ด้านล่างเป็นถนนที่ตัดผ่านพื้นที่ข้างภูเขา ซึ่งทางจักรวรรดิเป่ยไห่ได้ส่งทหารมาสร้างเอาไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ถนนสายนี้มีความยาวหลายสิบลี้
ในจำนวนเส้นทางเหล่านั้น มีเส้นทางช่วงหนึ่งยาวประมาณหนึ่งลี้ นับเป็นเส้นทางที่โด่งดังที่สุด มีชื่อเรียกขานว่า ‘เส้นทางกระบี่ผ่าขุนเขา’
เส้นทางช่วงนี้มีความกว้างของทั้งสองฝั่งไม่เกินสามวา หน้าผาหินที่ขนาบสองข้างซ้ายขวาก็มีความสูงหลายร้อยจั้ง มันเป็นเส้นทางที่มีความแปลกประหลาดพิสดาร ราวกับว่ามีกระบี่วิเศษเล่มหนึ่งได้ตัดผ่านขุนเขา และสร้างเป็นเส้นทางสายนี้ขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์
และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อเส้นทางกระบี่ผ่าขุนเขานั่นเอง
และนี่ก็เป็นเส้นทางสายเดียวอย่างเป็นทางการเท่านั้น สำหรับการเดินทางเข้าสู่เมืองหยุนเมิ่ง
นี่จึงเป็นคำอธิบายว่าเพราะเหตุใดเมืองหยุนเมิ่งถึงคงสภาพสวรรค์บนดินมาได้อย่างยาวนาน
เพราะมันเป็นเมืองที่ไม่สะดวกต่อการเดินทางเข้าออกนั่นเอง
หลู่หลิงโจวมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย โดยเฉพาะทักษะวิชาตัวเบา นางนำทางหลินเป่ยเฉินและไต้จือฉุนขึ้นมาถึงบนยอดเขาโมเจี๋ยน และรอคอยขบวนผู้มาเยือนอยู่ที่ทางออกของเส้นทางกระบี่ผ่าขุนเขา
ดวงจันทร์ซ่อนตัวอยู่ในความมืด สายลมโชยพัดแผ่วเบา
เที่ยงคืนแล้ว รอบกายมีแต่เทือกเขาทึบทะมึนและป่าลึก…
จะมีผีไหมนะ?
อยู่ดีๆ หลินเป่ยเฉินก็นึกถึงเรื่องเล่าสยองขวัญขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ถึงตอนนี้ หลินเป่ยเฉินจะเป็นยอดฝีมือผู้เก่งกาจ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเลิกกลัวผีได้สักหน่อย
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงเอนตัวเข้าไปแนบติดอยู่กับไต้จือฉุน
ไต้จือฉุนหันมามองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ
“ท่านรู้จักใครในขบวนกำลังเสริมชุดนี้บ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินกระซิบถามหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในคณะ แกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาของไต้จือฉุน
หลู่หลิงโจวตอบว่า “ได้ข่าวว่ากำลังเสริมชุดนี้ประกอบไปด้วยยอดฝีมือจำนวน 3 คน แต่ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร รู้เพียงอย่างเดียวว่าสองในสามเดินทางตรงมาจากนครเจาฮุย ส่วนอีกคนนั้นมาจากกองทัพและมีประสบการณ์ต่อสู้อยู่ในสนามรบไม่ใช่น้อย มิหนำซ้ำ เห็นว่าในกลุ่มคนทั้งสามนี้ มีบางคนเป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งโดยกำเนิด…”
หืม?
เป็นชาวเมืองโดยกำเนิดอย่างนั้นหรือ?
งั้นเขาก็น่าจะรู้จักสิ
เฝ้ารอได้ประมาณสองเค่อ
พลัน หลู่หลิงโจวพูดออกมาด้วยความกระวนกระวาย “ไม่ได้การ ดูจากเวลานัดหมายของพวกเรา กำลังเสริมควรมาถึงนานแล้ว หรือว่าพวกเขาจะพบเข้ากับชาวทะเลระหว่างทาง…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้รวมไปถึงเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากด้านในเส้นทางกระบี่ผ่าขุนเขา
หลินเป่ยเฉินกับไต้จือฉุนหันมองหน้ากัน
เกิดการซุ่มโจมตีแล้วใช่หรือไม่?
พลัน หลู่หลิงโจวพลิ้วกายนำทางลงไปจากยอดเขาด้วยความเร็วไว