ไม่ใช่นกอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินลองมองมันใหม่อีกครั้ง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
ไม่ใช่นกจริงๆ ด้วย
แต่ว่าเป็นลูกเสือที่มีปีก?
สะ… เสือสายฟ้า?
แต่แบบนี้มันไม่ถูกต้อง
เสือสายฟ้าเป็นสัตว์อสูรที่มีปีกก็จริง แต่เพราะมันมีพลังปราณธาตุสายฟ้าประจำตัว เวลาปกติจึงไม่มีผู้ใดมองเห็นปีกบนแผ่นหลัง
แล้วทำไมลูกเสือตัวนี้ถึงมีปีกให้ทุกคนเห็นตั้งแต่แรกเกิดเลยล่ะ?
หรือเป็นเพราะมันถือกำเนิดขึ้นมาจากการผสมข้ามสายพันธุ์?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
เขารับลูกเสือน้อยมีปีกมาจากอ้อมแขนของอากวงและพิจารณาดูอย่างละเอียด
ขนของมันมีสีขาวปุกปุยไม่ต่างจากลูกแมวน่ารัก แต่ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าลูกแมวทั่วไปเล็กน้อย และขาทั้งสี่ข้างก็อุดมด้วยมัดกล้ามเนื้ออย่างเห็นได้ชัด ลูกเสือตัวนี้มีหางเรียวยาว ปีกบนแผ่นหลังไม่ต่างไปจากปีกนก เพียงแต่มีขนาดที่สั้นกว่าและไม่มีขนนกอยู่บนปีกเท่านั้นเอง
ดูจากลักษณะปีกของมันแล้ว ลูกเสือตัวนี้ไม่น่าบินได้แน่ๆ
ส่วนที่สวยงามที่สุดในร่างกายของมันคือดวงตาสีฟ้ากลมโต
และดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำทะเลคู่นั้นก็กำลังจ้องมองใบหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
ในดวงตาของมันเป็นประกายแวววาวราวกับบรรจุด้วยดวงดาวนับพันดวง
เมื่อจ้องมองแล้วก็ชวนให้รู้สึกหลงใหลอย่างประหลาด
คล้ายกับว่ากำลังโดนสะกดจิต
แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินมีพลังจิตแข็งแกร่ง
เขาสำรวจลูกเสือตัวน้อยต่อไปด้วยความระมัดระวัง
แต่ยิ่งดูมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งประหลาดใจมากเท่านั้น
ลูกเสือตัวนี้เพิ่งเกิดไม่ใช่หรือ?
ทำไมมันถึงลืมตาขึ้นมาได้แล้วล่ะ?
แถมส่วนหัวก็ดูจะใหญ่โตผิดปกติด้วย
วิวัฒนาการของมันดูจะแตกต่างจากลูกเสือทั่วไปพอสมควร
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น เจ้าเสือน้อยในการตรวจสอบของหลินเป่ยเฉินก็เริ่มดิ้นรนและส่งเสียงร้องเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา
หลินเป่ยเฉินมองมันด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจมากเกินไป และทำให้มันนึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
แต่เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
ก็มันเป็นสัตว์เลี้ยงของเขานี่นา
เขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่งั้นจะเลี้ยงไว้เพื่ออะไร?
และด้วยความที่ลูกเสือตัวนี้มีภาพลักษณ์น่ารักเหมือนตุ๊กตาขนปุย
หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกตกหลุมรักอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไหนขอดูหน่อยซิ เป็นตัวผู้หรือว่าตัวเมียกันละเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินใช้นิ้วมือถ่างขาลูกเสือออกดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจ้าเสือน้อยพยายามหุบขาของมันด้วยความเอียงอาย
“แหม รู้จักอายเสียด้วย” หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มและพยายามถ่างขาเจ้าลูกเสือออกอีกครั้ง
“แง่ม!”
ทันใดนั้น ลูกเสือน้อยก้มหัวลงมางับนิ้วหลินเป่ยเฉิน
“หุหุ บัดนี้ข้ามีร่างกายอยู่ในขั้นกระดูกทองคำ อาศัยฟันน้ำนมของเจ้า…เฮ้ย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ เจ็บนะเฟ้ย…”
หลินเป่ยเฉินเริ่มโวยวายด้วยความเจ็บปวด
และเขาก็ได้พบว่านิ้วมือของตนเอง ซึ่งปกติมีผิวหนังหนาด้านในชนิดที่ว่าคมกระบี่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ บัดนี้เมื่อถูกฟันน้ำนมของลูกเสือตัวน้อยกัดหมับเข้าให้ หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนเข็มฉีดยาทิ่มแทง
หลินเป่ยเฉินสะบัดมือ
วูบ!
ลูกเสือตัวน้อยลอยกระเด็นออกไป…
“จี๊ด”
อากวงรีบกระโดดออกไปรับตัวลูกเสือน้อยกลางอากาศด้วยความตื่นตกใจ ราวกับว่าลูกเสือตัวนี้เป็นลูกของมันก็ไม่ปาน
และเจ้าลูกเสือก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มันซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของอากวงพร้อมกับส่งเสียงร้องออดอ้อน เหมือนพยายามอุทธรณ์ว่าหลินเป่ยเฉินคิดที่จะทำร้ายมันมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองนิ้วมือตนเองด้วยความพิศวง
ไม่ใช่แค่กัดเท่านั้น แต่ฟันของเสือน้อยยังทิ้งบาดแผลไว้บนนิ้วมือของเขาอีกด้วย
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉินพบว่าฝ่ามือครึ่งหนึ่งของเขากลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
ผิวหนังตรงบริเวณส่วนนั้นปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินแปลกประหลาด
เขี้ยวของเจ้าเสือน้อยฝังลงไปบนนิ้วมือของเขาเพียงนิดเดียว และไม่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล
เพราะว่าเลือดของเขาแข็งตัวเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
“หรือว่าลูกเสือตัวนี้จะมีพลังปราณธาตุน้ำแข็งเหมือนแม่มัน?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด
แต่ถึงจะมีพลังปราณธาตุน้ำแข็งก็เถอะ ลูกเสือกลายพันธุ์ตัวนี้ก็ไม่สมควรกัดนิ้วมือหลินเป่ยเฉินจนเป็นบาดแผลได้อยู่ดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะทำให้ฝ่ามือของเขากลายเป็นน้ำแข็งได้สำเร็จ… จึงมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ว่าเจ้าลูกเสือตัวนี้มีระดับพลังสูงส่งมากกว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิด
หรือว่าเพียงมันเกิดมาก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดสัตว์อสูรแล้ว?
เพราะว่ามันถือกำเนิดขึ้นมาจากการผสมข้ามสายพันธุ์?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกราวกับว่าตนเองเพิ่งจะโอบอุ้มอสูรร้ายขึ้นมาก็ไม่ปาน
“นายท่านเจ้าคะ ยังมีอีก 2 ตัวเจ้าค่ะ”
สองสาวรับใช้เดินเข้ามาหาพร้อมกับโอบอุ้มสัตว์อสูรตัวน้อยเข้ามาอีกคนละตัว
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมอง
เอาล่ะ
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว เจ้า 2 ตัวนี้เป็นลูกหมาป่าปกติ
พวกมันมีลักษณะคล้ายคลึงกับมารดา ขนบนตัวมีสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายเรืองแสงระยิบระยับ เมื่อลองพิจารณาดูใกล้ๆ ก็จะเห็นว่าบนขนของมันมีลวดลายเฉพาะตัว ลักษณะเหมือนสายฟ้าฟาดปรากฏอยู่ด้วย
ลูกหมาป่าคู่นี้ยังไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ
ขนาดลำตัวของมันไม่เล็กไม่ใหญ่มากไปกว่าเจ้าลูกเสือมีปีกเมื่อสักครู่
“หมาป่าน้ำแข็งตัวนั้นออกลูกมา 3 ตัวเลยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อจ้องมองอย่างละเอียด หลินเป่ยเฉินก็สามารถอธิบายได้ว่าลูกหมาป่าทั้งสองตัวนี้ กำลังใช้ใบหน้าของพวกมันดุนดันเข้าหาหน้าอกของเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน เหมือนกับว่าพวกมันพยายามจะหาน้ำนมรับประทาน…
และในทันใดนั้น หยางเฉินโจวผู้สวมบทบาทหมอตำแยคนเก่งก็เสร็จสิ้นจากการล้างไม้ล้างมือและเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องด้านหลัง ชายหนุ่มเดินออกมานอกบ้านพักและเมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน อดีตช่างตีเหล็กก็เบิกตาโต ทักทายว่า “กลับมาแล้วหรือ คณะกำลังเสริมเหล่านั้นเล่า?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าไปทางด้านหลังของตนเอง
หยางเฉินโจวต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นภรรยาของตนเองยืนอยู่อย่างปลอดภัยพร้อมด้วยคณะกำลังเสริมจากเมืองหลวง
ต่อจากนั้น เขาพูดกับหลินเป่ยเฉินว่า “หมาป่าน้ำแข็งตัวนี้คลอดลูกออกมา 3 ตัว แต่เนื่องจากพวกมันมีพ่อเป็นเสือสายฟ้า ลูกที่เกิดออกมาจึงมีการกลายพันธุ์เล็กน้อย ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย โดยเฉพาะลูกเสือตัวนั้น มันมีพลังระดับยอดสัตว์อสูร หากเจ้าเลี้ยงดูมันให้ดี ในภายภาคหน้ารับรองว่ามันจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีความแข็งแกร่งเกินจินตนาการ ส่วนลูกหมาป่าอีกสองตัวนั้นก็มีการกลายพันธุ์เล็กน้อยเช่นกัน…”
“ด้วยความที่พ่อของมันมีปราณธาตุสายฟ้า ลูกหมาป่าจึงมีพลังปราณธาตุสายฟ้าเช่นกัน แต่ระหว่างที่อยู่ในท้องมารดา เจ้าลูกเสือซึ่งเป็นพี่ชายได้แย่งชิงแหล่งพลังงานและอาหารไปจำนวนมาก หมาป่าน้อยคู่นี้จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษสักหน่อย…”
ปรากฏว่าลูกเสือมีปีกตัวนั้นเป็นตัวผู้
ไม่แปลกที่มันจะกัดหลินเป่ยเฉินซะขนาดนั้น
มันคงคิดต่อต้านสิ่งมีชีวิตเพศเดียวกันนั่นเอง
เกิดมาเพียงอายุเท่านี้ มันก็คิดอิจฉาริษยาใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแล้วหรือนี่ อนาคตคงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไว้ใจไม่ได้เป็นแน่แท้
หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะโอบอุ้มลูกหมาป่าทั้งสองตัวนั้นเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม
ขนบนตัวของพวกมันนุ่มลื่นชวนสัมผัส
และลูกหมาป่าคู่นี้ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พวกมันนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉินพร้อมกับส่งเสียงครางอย่างสบายอารมณ์ ในเวลาเดียวกันนั้น พวกมันก็ดุนศีรษะเข้ากับฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน บางครั้ง ก็จะแลบลิ้นสีชมพูเล็กๆ ออกมาเลียนิ้วมือของเขา…
“น่ารักจังเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพ่อของพวกมันอย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ
ความรักที่เคยมีต่อลูกเสือมีปีกเมื่อสักครู่นี้ ถูกถ่ายเทมายังลูกหมาป่าทั้งสองตัวหมดสิ้น
ดูสิ
เขาคือเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในโลก แม้แต่ลูกเสือตัวผู้ก็ยังนึกอิจฉาและกัดนิ้วมือของเขาด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเปลี่ยนมาอุ้มลูกหมาป่าตัวเมียคู่นี้… พวกมันกลับนอนนิ่งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี… นี่แหละนะ อานุภาพความหล่อเหลาของหน้าตา
หลินเป่ยเฉินและลูกหมาป่าทั้งสองตัวต่างก็พอใจในกันและกัน
“ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงลูกหมาป่าคู่นี้เอาไว้” เด็กหนุ่มกวาดสายตามองทุกคนรอบตัวและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ส่วนชื่อของพวกมันก็ต้องเป็นอะไรที่มีความหมายลึกซึ้งสักหน่อย ข้าจะตั้งชื่อพวกมันว่า… เอ่อ… เอาไงดีนะ… เอ๋… ไม่เป็นไร เรียกว่า เสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานก็แล้วกัน”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน หวังจง หยางเฉินโจวและคนอื่นๆ ถึงกับใบหน้ากระตุกด้วยความเหนื่อยใจ
นับเป็นการตั้งชื่อที่เหมาะสมกับสติปัญญาของหลินเป่ยเฉินเหลือเกิน
“ไม่ต้องห่วง พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้า จะตั้งชื่อพวกมันว่าอะไรก็ตามสบาย”
หยางเฉินโจวส่งเสียงพูดออกมาอีกครั้ง “อ้อ จริงด้วยสิ ข้าลืมบอกเรื่องสำคัญไปหนึ่งอย่าง หมาป่าตัวแม่ตั้งครรภ์ก่อนเวลาอันควร และการคลอดลูกในครั้งนี้ ก็ทำให้มันเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ร่างกายจึงอ่อนแอ ประเมินได้ว่าในระยะแรก มันคงไม่มีน้ำนมเลี้ยงลูกเป็นแน่แท้ เจ้าเตรียมหาน้ำนมสำรองไว้เลี้ยงเด็กๆ ด้วยก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม “เรื่องแค่นี้จะยากตรงไหน?”
เขาหันหน้ากลับมาสั่งงานเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน “พวกเจ้ารีบไปหาน้ำนมมาให้หมาป่าน้อยทั้งสองตัวเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวทั้งสองคนแก้มแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสั่ง ก่อนที่พวกนางจะก้มหน้ารับคำ และหมุนตัวไปจัดหาน้ำนมมาให้หมาป่าน้อย
หลู่หลิงโจวทนยืนดูอยู่นานแล้ว ในที่สุด นางก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมาว่า “น้องหลิน คณะกำลังเสริมเพิ่งมาถึงเมืองนี้เป็นครั้งแรก ยังมีอีกหลายอย่างต้องรีบไปจัดการ ตอนนี้เจ้ากำลังยุ่งอยู่กับสัตว์เลี้ยงของเจ้า เอาเป็นว่าปล่อยทุกคนไปจัดการธุระในตัวเมืองให้เรียบร้อยก่อนดีหรือไม่ หลังจากนั้นค่อยกลับมาพูดคุยกันที่ตำหนักไม้ไผ่ในภายหลัง เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินอุ้มลูกหมาป่าอยู่ในแขนทั้งสองข้างและหันกลับมามองหน้าเยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่
ฮันปู้ฟู่พูดว่า “น้องหลิน เจ้าเองกำลังยุ่ง ให้พวกข้าไปจัดการธุระในเมืองให้เรียบร้อยเสียก่อน เมื่อทุกอย่างลงตัวดีแล้ว เราค่อยกลับมาดื่มกินกันที่นี่ดีหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเห็นด้วย “ในเมื่อพี่ฮันเห็นดีเช่นนั้นก็ย่อมได้ รีบกลับมานะขอรับ ข้าจะเตรียมสุราอาหารไว้รอคอยพวกท่าน”