“เอาเลย กินเยอะๆ นะเด็กดี…”
หลินเป่ยเฉินกำลังถือขวดนมสองขวดป้อนใส่ปากของเสี่ยวเอ้อร์และเสี่ยวซาน
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินสามารถหานมมาให้ลูกหมาป่าได้สำเร็จ เพราะในเมืองขณะนี้ ยังคงมีแม่ลูกอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก พวกนางบางคนมีน้ำนมเหลือเฟือ เมื่อได้ยินว่าหลินเป่ยเฉินต้องการน้ำนม แม่ลูกอ่อนเหล่านั้นก็ยินดีบริจาคให้ด้วยความเต็มใจ สองสาวรับใช้จึงเดินทางกลับมาที่ตำหนักไม้ไผ่พร้อมด้วยขวดนมเป็นจำนวนมาก
เสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน ปากของพวกมันงับจุกขวดนมแน่นและในเวลาเดียวกันนั้นก็ดูดกินนมอย่างหิวกระหาย
ในเวลาเดียวกันนี้ อากวงก็กำลังให้อาหารลูกเสือมีปีกอยู่เช่นกัน
ลูกเสือตัวนี้เพราะว่าเกิดมาจากการผสมข้ามสายพันธุ์ มันจึงมีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่แรกเกิด และมันไม่ต้องการดื่มนม อาหารที่ลูกเสือน้อยชอบกินคือเนื้อสัตว์ และยังต้องเป็นเนื้อสัตว์ดิบๆ อีกด้วย
ดังนั้น อากวงจึงปฏิบัติหน้าที่บิดาที่ดีด้วยการกลับไปล่าสัตว์บนภูเขาเสี่ยวซี เพื่อนำเนื้อสัตว์กลับมาเลี้ยงเจ้าเสือน้อยตัวนี้
“นายท่านช่วยตั้งชื่อให้ลูกเสือหน่อยสิขอรับ”
อากวงเขียนข้อความลงบนกระดานชนวน
มันมีท่าทางระมัดระวังและฉีกยิ้มอย่างประจบประแจง
หลินเป่ยเฉินโบกมือปฏิเสธด้วยความรำคาญใจ “ชื่ออะไรเจ้าก็คิดเอาเอง”
อากวงก้มหัวคำนับขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าและหลังจากนั้นมันก็เดินกลับไปตั้งชื่อให้เจ้าเสือน้อยอย่างมีความสุข
แม้แต่คนตาบอดก็ยังต้องมองออกว่าอากวงห่วงใยเจ้าเสือน้อยมากมายขนาดไหน มันเลี้ยงดูลูกเสือราวกับเป็นลูกของมันเอง เวลาโอบอุ้มอยู่ในอ้อมแขน อากวงคอยประคับประคองราวกับกลัวว่าลูกเสือจะตกหล่นลงไปกระแทกพื้น เรียกได้ว่ามันคอยดูแลเจ้าเสือน้อยในชนิดที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมขนานแท้
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอากวงมีปมในใจจากในอดีต ระหว่างที่มันมีตำแหน่งเป็นราชันย์หนูอสูรอยู่ที่หุบเขาชายแดนเหนือ อากวงมีนางสนมมากมายหลายร้อยตัว แต่กลับไม่เคยมีตัวไหนตั้งท้องลูกของมัน
บัดนี้ หมาป่าน้ำแข็งผู้เป็นมารดาของสัตว์อสูรน้อยทั้งสามตัวฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว มันกำลังนอนมองลูกๆ ของตนเองด้วยแววตาเย็นชา
บางทีอาจเป็นเพราะมันเห็นแล้วว่าลูกๆ มีหลินเป่ยเฉินกับอากวงคอยดูแลเป็นอย่างดี
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะในสายตาของมัน ลูกๆ ทั้งสามตัวนี้เป็นสายพันธุ์วิปริต หมาป่าน้ำแข็งผู้โชคร้ายไม่ได้เต็มใจตั้งครรภ์ตั้งแต่แรก ครั้งนั้นมันไม่สามารถขัดขืนได้ต่างหาก…
เมื่อลูกหมาป่าทั้งสองตัวอิ่มท้องแล้ว พวกมันก็ดูจะคึกคักมากขึ้นกว่าเดิมด้วยการวิ่งวนอยู่รอบตัวหลินเป่ยเฉิน บางครั้งก็เลียฝ่ามือของเขา หรือไม่ก็เอาหลังหัวของมันมาถูไถแขนของเด็กหนุ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจ…
ในขณะที่เจ้าลูกเสือมีกิริยาเงียบขรึมแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง
หลินเป่ยเฉินจะชำเลืองมองมันบ้างก็เพียงครั้งคราว แต่ไม่ว่ามองเมื่อไหร่ เด็กหนุ่มก็จะรู้สึกขนลุกขนชันเมื่อนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ดวงตาสีฟ้าคู่เล็กๆ จ้องมองมาที่เขาพร้อมกับแยกเขี้ยวอวดฟันแหลมคม หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกราวกับว่ามวลอากาศรอบกายหนาวเย็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน…
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือซัดพลังลมปราณทำให้ลูกเสือน้อยลอยกระเด็นไปในอากาศ
กล้าดีอย่างไรมาแยกเขี้ยวใส่เขา?
มันไม่คิดเกรงกลัวเขาเลยหรือไง?
ต่อให้ลูกเสือตัวนี้จะเป็นอสูรกลายพันธุ์ แต่มันก็มีสถานะเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา
เขาคือเจ้านายของมัน เขาคือคนที่มีลำดับชั้นสูงกว่ามัน
จี๊ด!
อากวงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและกระโดดไปคว้าตัวลูกเสือน้อยไว้กลางอากาศ หลังจากนั้น มันก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยหัวใจที่แตกสลาย แววตาของอดีตราชันย์หนูอสูรเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ…
“ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินปากกระตุกแทบจะพูดอะไรไม่ออก “เก่งนักก็เอามันไปเลี้ยงบนภูเขาเสี่ยวซีเลยก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไปสั่งสอนมันให้ดี ถ้าลูกเสือตัวนี้กล้าแยกเขี้ยวใส่ข้าอีกละก็ รับรองว่ามันไม่ตายดีแน่”
อากวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จังหวะนั้น
ลูกเสือตัวน้อยก็ส่งเสียงคำรามออกมาจากในลำคอ
เมื่อลูกหมาป่าที่อยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงร้องของเสือน้อย พวกมันก็ตัวแข็งเกร็งและพร้อมใจกันเงยหน้าส่งเสียงหอนใส่ท้องฟ้า
“บรู๊ววว์!”
เสียงหอนของพวกมันทำให้มวลอากาศปั่นป่วน
ยิ่งกว่าเสียงฟ้าคำรามจากพายุใหญ่
ทันใดนั้น ในกลุ่มก้อนเมฆบนฟากฟ้า ปรากฏสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมังกรตัวใหญ่กำลังโบยบินอยู่ในหมู่ก้อนเมฆ ดวงตาขนาดใหญ่ยักษ์ของมันสว่างไสวราวกับเป็นดวงจันทร์สีโลหิตสองดวง
ไม่ว่ามันจะเคลื่อนผ่านไปตรงพื้นที่ใด ก้อนเมฆในบริเวณนั้นก็จะกระจายหายไป
มวลอากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรง
“นั่นมันอะไรกัน?”
สีหน้าของหวังจงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“ดูเหมือนจะเป็นมังกรนะเจ้าคะ”
“สวรรค์ทรงโปรด หรือว่านี่คือราชันย์มังกร?”
ฮันปู้ฮวยกับเซียวปิงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืน
โลกนี้มีมังกรอยู่ด้วยจริงๆ หรือ? มันเป็นสัตว์ที่ควรมีอยู่แต่ในตำนานไม่ใช่หรือไง?
แต่เมื่อหรี่ตามองพิจารณาดูให้ดี หลินเป่ยเฉินก็เห็นว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มีความยาวของร่างกายเกินกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป เมื่อเห็นดังนั้น เด็กหนุ่มก็ตัวสั่นเทา
“พวกเจ้าจะมัวยืนมองกันอยู่ทำไม?”
พลัน หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามด้วยความร้อนรน
เมื่อหวังจงและคนอื่นๆ เห็นว่าหลินเป่ยเฉินยืนตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น พวกเขาก็เข้าใจผิดคิดว่าเด็กหนุ่มหวาดกลัว จึงเตรียมตัวที่จะวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ด้านในตำหนักไม้ไผ่
แต่หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินพูดต่อเสียงดังกังวานว่า “ไปเอาธนูสำรองของข้าออกมา วันนี้เราจะมาล่ามังกรกัน”
ปรากฏว่าที่นายน้อยตัวสั่นก็เป็นเพราะตื่นเต้นมากเกินไปนั่นเอง
ตำนานเล่าขานว่าผู้ใดที่ได้อาบเลือดมังกร ผู้นั้นจะมีร่างกายแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
และเนื้อมังกรก็จัดเป็นยาอายุวัฒนะ
แล้วหลินเป่ยเฉินจะสามารถปล่อยให้ของดีเช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไร?
ทว่า ลมหายใจต่อมา ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะทันได้มีโอกาสนำธนูเหล็กไหลออกมาแผลงศรมังกรคราส มังกรเขียวตัวนั้นก็บินวนอยู่เหนือเมืองหยุนเมิ่ง ก่อกวนให้มวลอากาศปั่นป่วนและสร้างกระแสคลื่นลมพร้อมด้วยห่าฝนโหมกระหน่ำใส่ตัวเมืองอย่างรุนแรง เรียบร้อยดีแล้ว มันถึงได้บินหายไปทางเกาะกลางทะเลสาบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนผู้ว่าหลังใหม่
“เมื่อสักครู่ข้าตาฝาดหรือเปล่านะ?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความสงสัย “มีใครเห็นเหมือนข้าหรือไม่ว่าบนหัวมังกรมีคนยืนอยู่บนนั้น?”
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย