วันต่อมา
อากาศขมุกขมัว แดดไม่ร้อน
เปียกชื้น
ยามเช้ามีหมอกปกคลุมท้องถนน
ใบไม้สีเหลืองปลิดปลิวลงจากกิ่งก้าน
ฤดูกาลแห่งความตายของหมู่มวลใบไม้มาถึงแล้ว
หลินเป่ยเฉินนอนฝันร้าย
เมื่อคืนเขาฝันว่าตนเองอยู่บนเตียงนุ่มนิ่มหลังใหญ่ และข้างกายมีเทพธิดาสาวซึ่งนัดพบจากในแอปเจิ้นอ้ายหว่างนอนล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด
ตอนแรก พวกนางก็ยังมีรูปลักษณ์เหมือนคนปกติทั่วไป แต่ไม่นาน เทพธิดาเหล่านั้นก็เริ่มตบตีกันเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการได้ร่วมรักกับเขา เหตุการณ์หลังจากนั้นจึงตามมาด้วยความวุ่นวาย
และมีเทพธิดาถึงสองนางที่อยู่ดีๆ ก็ระเบิดเสียงคำราม ก่อนกลายร่างเป็นปีศาจร้ายกระหายเลือด และพยายามที่จะพุ่งเข้ามาเลียใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน…
“อ้า…”
เด็กหนุ่มส่งเสียงครางออกมา
แล้วเขาก็สะดุ้งตื่นจากความฝัน
ด้วยใบหน้าที่เปียกชุ่ม
หลินเป่ยเฉินรีบหันหน้ามองไปข้างตัว
ก่อนที่จะต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะผู้ที่เพิ่งจะเลียหน้าเขาไปเมื่อสักครู่นี้ ก็คือลูกหมาป่าเสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานต่างหาก
“ท่านพ่อ ข้าหิวแล้ว… ข้าอยากกินเนื้อปลา”
เสี่ยวซานจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาสีแดงเป็นประกายระยิบระยับ
เสียงใสๆ ของมันดังขึ้นในหัวหลินเป่ยเฉิน
หรือนี่จะเป็นการถ่ายทอดเสียงผ่านทางกระแสจิต?
เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วหรือ?
นี่เป็นเพราะว่าเสี่ยวซานย่อยพลังงานจากปลาตากแห้งหมดแล้วใช่หรือไม่?
เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งหลังจากเลียใบหน้าเขาแล้ว มันก็เริ่มส่ายศีรษะ จนสุดท้ายตัวมันเองก็เริ่มเวียนหัว
และในจังหวะที่มันกำลังสะบัดศีรษะอยู่นั้น ตรงบริเวณหัวของเสี่ยวเอ้อร์ก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง เสี่ยวเอ้อร์กลายเป็นลูกหมาป่าสองหัวในเวลาชั่วครู่หนึ่ง แล้วมันก็กลับมามีหัวเดียวอีกครั้ง แต่เมื่อมันสะบัดศีรษะอีกหน เสี่ยวเอ้อร์ก็กลายเป็นหมาป่าสองหัวอีกรอบ และดวงตาทั้งสี่ข้างของมันก็กำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความกระตือรือร้น
“อรุณสวัสดิ์”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นนั่ง
เขากอดสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวอยู่ในอ้อมแขนและพูดกับมันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ไม่นึกว่าพวกหมาป่าจะประจบประแจงเจ้าของได้เก่งเหมือนพวกหมาบ้านเหมือนกันนะเนี่ย”
หลังพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลินเป่ยเฉินก็พบว่าลูกหมาป่าทั้งสองตัวนี้มีสภาพจิตใจค่อนข้างมั่นคง การรับประทานเนื้อปลาตากแห้งวิเศษไม่ได้ส่งผลข้างเคียงในแง่ลบ ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงไม่ลังเลที่จะนำปลาอีกครึ่งตัวที่เหลืออยู่ออกมาให้พวกมันรับประทาน
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินกำลังรอคอยอยู่หน้าประตูห้องนอน
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว พวกนางก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถังน้ำให้เด็กหนุ่มใช้ล้างหน้าล้างตา รวมไปถึงเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขาผลัดเปลี่ยน
จากตอนแรกที่ยังเอียงอายสองสาวรับใช้อยู่ไม่น้อย มาบัดนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกเคยชินกับการที่เฉียนเหมยและเฉียนเจินจะคอยทำความสะอาดร่างกายให้เขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ว
อ้า นี่แหละชีวิตอย่างที่เขาต้องการ
หลินเป่ยเฉินชอบมันมาก
เด็กหนุ่มรู้สึกไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว
แต่สุดท้าย เขาก็ยังต้องตื่นขึ้นมา เพื่อทำอะไรบางอย่างอยู่ดี
สถานศึกษากระบี่ที่สามในยามเช้าดูมีชีวิตชีวามากกว่าปกติ
บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวซึ่งไม่จำเป็นต้องศึกษาอยู่ในสถาบันแห่งนี้ ต่างก็มารวมตัวกันฝึกซ้อมการต่อสู้อย่างขะมักเขม้น
สถานศึกษาแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองหยุนเมิ่ง
แต่โชคดีที่เซียวปิงกับอากวงย้ายสถานที่ฝึกการต่อสู้ขึ้นไปอยู่บนภูเขาเสี่ยวซี ตำหนักไม้ไผ่ของหลินเป่ยเฉินจึงยังคงอยู่ภายใต้ความสงบร่มเย็น
“วันนี้นายน้อยดูหล่อเหลาเป็นพิเศษเชียวนะขอรับ…”
พ่อบ้านหวังจงนำม้วนกระดาษออกมากางรายชื่อยาวเหยียดและพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “วันนี้นายน้อยจะต้องพบปะผู้คนตามรายชื่อทั้งหมดนี้ หวังจงได้คัดแยกบุคคลที่มีความสนิทสนมกับนายน้อยและบุคคลที่ห่างเหินกันไว้เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเกือบทุกคนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าพบนายน้อยทั้งหมด หากนายน้อยอยากดูรายชื่อ…”
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบบั้นท้ายของหวังจง “ตาแก่นี่…”
หวังจงล้มคะมำไปบนพื้นหิน ความรู้สึกอันคุ้นเคยกลับคืนมาอีกครั้ง นายน้อยไม่พอใจเขาในเรื่องอะไรกันนะ? หรือเพราะว่าตัวเขาเองยามเข้าพบนายน้อยไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม?
ใช่แล้ว มันต้องเป็นเพราะเหตุผลนั้นแน่ๆ
ดูเหมือนว่าในระยะหลัง นายน้อยจะบ้าคลั่งเงินตราเป็นที่สุด…
“เจ้าบอกว่าวันนี้ข้าหล่อเหลาเป็นพิเศษ”
ใครจะไปคิดเลยว่านี่คือเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่พอใจ “ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าวันอื่นข้าไม่หล่อหรือไง?”
หวังจงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
นายน้อยของเขายังคงเป็นบุคคลที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เช่นเดิม
หลินเป่ยเฉินรับม้วนกระดาษไปดูรายชื่อ
มีรายชื่อผู้คนมากมายเต็มไปหมด
ชื่อของแต่ละคนมีตัวเลขกำกับเอาไว้ว่าต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าพบเขาคนละเท่าไหร่
ดูจากม้วนกระดาษรายชื่อแล้ว พ่อบ้านหวังจงกำลังโกหก
แน่นอนว่าพ่อบ้านหวังจงเก็บค่าธรรมเนียมผู้มาเยือนเกือบทุกคนในการเข้าพบเขา แต่ลำดับการเข้าพบไม่ได้จัดเรียงตามลำดับความสัมพันธ์และความสนิทสนม อย่างเช่น บุคคลที่มีนามว่าเค่อเอ๋อร์ซึ่งหลินเป่ยเฉินไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนนั้น กลายเป็นบุคคลแรกที่สามารถเข้าพบเขาได้ โดยจ่ายค่าธรรมเนียมถึง 1,000 เหรียญทองคำ ในขณะที่คนสนิทของหลินเป่ยเฉินอย่างเช่นฉู่เหินกับหยางเฉินโจว ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเข้าพบก็จริง แต่กลับถูกจัดไปอยู่อันดับท้ายๆ ที่จะได้เข้าพบเขาในวันนี้…
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปจ้องมองหวังจง
หวังจงหัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความลุ้นระทึก
“เจ้าสุนัขเฒ่า…”
เด็กหนุ่มสบถคำหยาบออกมา พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าทำได้ดีมาก”
หวังจงคลี่ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก
แล้วหลินเป่ยเฉินก็ยื่นมือออกไปข้างหน้า เหมือนกำลังรอรับอะไรบางอย่างจากพ่อบ้านชรา
“หืม?”
หวังจงเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่เข้าใจ
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ค่าธรรมเนียมของผู้เข้าพบในวันนี้อย่างไรเล่า หรือเจ้าคิดจะอมเอาไว้เอง?”
หวังจงรีบส่งบัตรเงินสดมอบให้โดยเร็วไว
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งอยู่หลังโต๊ะหินตัวหนึ่งในสนามหญ้าหน้าที่พักและพูดว่า
“เอาล่ะ เริ่มรับแขกได้”
พ่อบ้านหวังจงผงกศีรษะและโค้งตัวลงรับคำสั่ง
เขาเดินหายออกไปนอกรั้วตำหนักไม้ไผ่และส่งเสียงตะโกนว่า “ผู้ใดมีนามว่าเค่อเอ๋อร์ กรุณาเข้าพบนายน้อยในตำหนักไม้ไผ่ ส่วนผู้เข้าพบลำดับที่สอง เจาโจวหยาน จากหอการค้าสามพันโยชน์ กรุณาเตรียมตัวให้พร้อมด้วยเช่นกัน…”
บรรดากลุ่มคนที่อยู่ท้ายแถวพากันหันขวับกลับมามองเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น และหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นก็คือฉู่เหิน หยางเฉินโจวและบรรดาคนสนิทของหลินเป่ยเฉินอีกหลายคน พวกเขาอุตส่าห์นึกดีใจที่หวังจงไม่เก็บเงินค่าเข้าพบหลินเป่ยเฉิน แต่ที่ไหนได้ สถานการณ์พลิกกลับตาลปัตร เมื่อไม่ต้องเสียเงิน ทุกคนจึงถูกจัดอันดับให้อยู่รั้งท้าย และเห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินก็ไม่ติดขัดอันใดกับเรื่องนี้สักนิด
ไร้ยางอายกันทั้งเจ้านายทั้งบ่าวจริงๆ
แล้วเมื่อไหร่พวกเขาจะได้เข้าพบหลินเป่ยเฉินกันล่ะเนี่ย?
…
ในสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่
หลินเป่ยเฉินกระตุกยิ้มมุมปากให้แก่เด็กสาวหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามโต๊ะหินของเขา
“เด็กสาวอัปลักษณ์จากจักรวรรดิจี้กวง เจ้ากล้าหาญมากทีเดียวนะที่มาหาข้าตามลำพัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มจอมเสเพลและบ้ากามที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง เฮ้อ เจ้าไม่กลัวเลยหรือไงว่าข้าอาจจะกลายเป็น ‘คนแรก’ ของเจ้าก็เป็นได้?”
น้ำเสียงของเขาบอกชัดถึงความเหยียดหยามโดยไม่ปิดบัง
ทั้งๆ ที่เด็กสาวผู้แต่งกายราวกับตุ๊กตาคนนี้ มีสถานะเป็นถึงเจ้าหญิงของพวกจักรวรรดิจี้กวง
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางผู้มาจากดินแดนศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิเป่ยไห่ จะกล้าเดินทางมาเข้าพบเด็กหนุ่มภาพลักษณ์ย่ำแย่อย่างเขาเพียงลำพัง
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์มีความไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่?
หรือนางมั่นใจว่าดูแลตัวเองได้?
“เพราะว่าข้าคิดถึงท่านมากเกินไปน่ะสิ”
เค่อเอ๋อร์ยิ้มแย้มออกมาอย่างอ่อนหวาน
แต่สำหรับในสายตาของหลินเป่ยเฉินแล้ว เขารู้สึกเหมือนกำลังนั่งมองตุ๊กตาไร้หัวใจที่ยิ้มได้มากกว่า
“มีอะไรก็รีบพูดมา”
หลินเป่ยเฉินตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “ขอบอกก่อนนะว่าที่ข้ายอมให้เจ้าเข้ามาพบได้เนี่ย ก็เป็นเพราะเจ้าจ่ายค่าธรรมเนียมให้ข้า เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าเสียเวลา… รีบพูดเถิดว่าเจ้ามาพบข้าด้วยเหตุอันใด?”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์วางข้อศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะหินและยกมือขึ้นเท้าคาง จ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเด็กหนุ่มเจ้าถิ่นด้วยดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ พูดว่า “ข้าก็แค่อยากเห็นหน้าท่านเท่านั้นเอง เพราะข้าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุไฉนในจักรวรรดิจี้กวง จึงไม่มีเด็กหนุ่มสมบูรณ์แบบเช่นท่านเลยแม้แต่คนเดียว”
“เจ้าจะมาพูดสิ่งที่ข้าก็รู้ตัวดีอยู่แล้วเพื่ออะไร”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจจริงนั้น เขาก็อดชื่นชมไม่ได้ว่าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์นับเป็นคนที่มีรสนิยมใช้ได้เลยทีเดียว
เค่อเอ๋อร์ยังคงเอาแต่นั่งส่งยิ้มหวานให้เขาอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไรสักที
“เลิกเสแสร้งแกล้งยิ้มได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินปั้นหน้าดุและพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “ข้าไม่สนใจเจ้า และไม่มีวันที่จะสนใจด้วย ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากเจ้ามาตอแยข้าอีก ข้าจะจับตัวเจ้าส่งให้กับทางนครเจาฮุยใช้เป็นตัวประกัน เรียกร้องให้กองทัพของจักรวรรดิจี้กวงถอนกำลังออกไปจากเขตชายแดนของเรา และถ้าพวกเขาไม่สนใจข้อเสนอ ข้าก็จะจับเจ้าโยนลงทะเลให้เป็นอาหารของฉลามเสีย”
คำข่มขู่เช่นนี้สมควรทำให้องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ตื่นตระหนกและไม่กล้ากลับมาหาเขาอีก
เพราะบัดนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังเปิดธุรกิจใหม่ในการพบปะกับผู้คน ภาพลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ตราบใดที่มีคนจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าพบเขา หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีทางเอ่ยปากปฏิเสธได้เด็ดขาด
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินมีแต่ต้องทำให้องค์หญิงเค่อเอ๋อร์หวาดกลัวจนไม่กล้ากลับมาเองเท่านั้น
การทำตัวดุร้ายและคำขู่ที่น่าสยองขวัญ คงเพียงพอที่จะทำให้องค์หญิงตาหวานจากจักรวรรดิจี้กวงเลิกตอแยเขาได้เสียที
“โอ๊ย พี่ชายรู้ตัวไหมว่าเวลาที่ท่านโกรธ ท่านดูดีมีเสน่ห์มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าเลยนะเนี่ย”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยังคงพูดต่อไป นัยน์ตาหวานเยิ้ม
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุก
เขาหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ
“หมดเวลาแล้ว เจ้ากลับไปได้”
หลินเป่ยเฉินรีบหาข้ออ้างไล่เด็กสาวกลับไป
ไม่รู้เพราะเหตุใดเหมือนกัน หัวใจของหลินเป่ยเฉินถึงเอาแต่สั่งให้ตนเองปฏิเสธการเข้าหาจากองค์หญิงผู้นี้ตลอดเวลา
“เดี๋ยวข้าขอเพิ่มเงินต่อเวลาได้หรือไม่?”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ว่า
“เพิ่มเงินอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “ฝันไปเถิด เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนหน้าเงินหรือไร…”
ตุบ!
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยิ้มกว้าง และก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะทันได้พูดอะไร นางก็วางถุงเก็บสมบัติใบหนึ่งลงบนโต๊ะหิน ปากถุงเปิดอ้าออก เหรียญทองคำจำนวนหลายร้อยเหรียญไหลทะลักออกมาพร้อมกัน เมื่อพิจารณาดูด้วยตาเปล่า ก็คำนวณได้ว่าถุงเก็บสมบัติวิเศษใบนี้ น่าจะบรรจุเหรียญทองคำเอาไว้ไม่ต่ำกว่า 10,000 เหรียญ…
และมันเป็นสกุลเงินของจักรวรรดิเป่ยไห่เสียด้วย
แสงสะท้อนวิบวาวจากเหรียญทองเหล่านั้นเป็นประกายอยู่ในดวงตาของหลินเป่ยเฉิน
ทำเอาเด็กหนุ่มกล้ำกลืนคำพูดขับไล่องค์หญิงเค่อเอ๋อร์กลับลงลำคอแทบไม่ทัน
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย