เฮ้อ
คนมีเงินนี่มันดีจริงๆ นะเออ
อยากต่อเวลาใช่ไหม?
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญนั่งได้ตามสบาย”
หลินเป่ยเฉินส่งยิ้มให้แก่เด็กสาวอย่างอบอุ่น
เขารีบเอื้อมมือออกไปคว้าถุงเก็บของวิเศษและนำเหรียญทองทั้งหมดนั้น อัปโหลดเข้าไปเก็บเอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์โดยเร็ว
ค่าต่อเวลาเป็นเหรียญทองจำนวน 10,000 เหรียญ
ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
และตัวถุงเก็บของวิเศษก็เป็นสิ่งล้ำค่าด้วยเหมือนกัน
หลินเป่ยเฉินจึงไม่มีเจตนาส่งคืน
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากพูดคุย เราก็จะมาพูดคุยกัน แต่ขออธิบายก่อนว่าไม่ใช่เพราะเจ้าเพิ่มเงินให้ข้าหรอกนะ ข้าถึงยอมคุยต่อด้วย มันเป็นเพราะข้าซาบซึ้งในความจริงใจของเจ้าต่างหาก งั้นเรามาพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันบ้างดีกว่า ไม่ทราบว่าทางครอบครัวเจ้าร่ำรวยมากใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มถามออกไปด้วยความกระตือรือร้น
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยิ้มแย้มอ่อนหวาน
ในดวงตาเป็นประกายนึกสนุก
นางพยักหน้าพร้อมกับตอบว่า “ข้าไม่เคยมีปัญหาด้านการเงินตั้งแต่เกิด และตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ข้าก็มีของเล่นและสัตว์เลี้ยงทุกชนิดอยู่ในการครอบครอง เมื่อข้าโตขึ้น ไม่ว่าอยากมีเพื่อนแบบไหน ข้าก็จะได้มีเพื่อนแบบนั้น… แม้แต่องค์จักรพรรดิก็เอ็นดูข้าเป็นอย่างมากทีเดียว”
“พูดจริงสิ?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ข้าย่อมพูดความจริง” องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ตอบกลับเสียงหนักแน่น “ในอดีตเคยมีลูกชายของขุนนางใหญ่ท่านหนึ่ง เขามีหน้าตาหล่อเหลาน้อยกว่าท่านเพียงเล็กน้อย และว่ากันว่า เขาเป็นอัจฉริยะทางด้านการฝึกวิทยายุทธ์ เพียงอายุไม่ถึง 20 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ”
“แต่เป็นเพราะเขาอวดดีมากเกินไปและมั่นใจในตนเองมากเกินไป จึงทำให้เขามักมองข้าด้วยสายตาดูถูกดูแคลน สุดท้าย ข้าก็เลยจับเขามาทรมานให้หายแค้นและส่งตัวชายหนุ่มผู้นั้นกลับไปปราสาทประจำตระกูล บิดาของเขาโกรธแค้นมากจึงรวบรวมกองกำลังก่อตั้งกลุ่มกบฏ เหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้องค์จักรพรรดิเรียกข้าเข้าไปดุประมาณสองสามคำ ก่อนที่จะสั่งประหารชีวิตครอบครัวขุนนางผู้นั้นรวมแล้วทั้งหมดเก้าชั่วโคตร”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
พูดอะไรไม่ออก
ฟังจากคำพูดแล้ว องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็น่าจะมีนิสัยใจคอร้ายกาจใช้ได้อยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินเทียบกับนิสัยโดยส่วนตัวของตนเองแล้ว…
เด็กหนุ่มจึงลงความเห็นว่าคนเราก็ล้วนแต่มีนิสัยแปลกประหลาดด้วยกันทั้งสิ้นละนะ
“ว่าแต่ว่าองค์จักรพรรดิเอ็นดูเจ้า แล้วองค์จักรพรรดิเอ็นดูพ่อเจ้าด้วยหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์กล่าวตอบ “เอ็นดูยิ่งกว่าเอ็นดูอีกจ้ะ”
“พูดจริงสิ?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินลุกวาวขึ้นมาในฉับพลัน
จะมีอะไรดีไปมากกว่านี้อีก?
“แสดงว่าพวกเจ้าเป็นบุคคลสำคัญสำหรับวังหลวงเลยนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินถูมือของตัวเองไปมาด้วยความตื่นเต้น
ตอนแรก เขาคิดที่จะลักพาตัวองค์หญิงหน้าตาบ้องแบ๊วคนนี้แค่คนเดียว
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีความคิดที่จะลักพาตัวเจ้าชายอวี้ชินหวังอีกคนแล้ว เพราะการจับตัวคนสนิทขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจี้กวงได้ ย่อมสามารถทำให้การเจรจาต่อรองของพวกเขาบรรลุผลสำเร็จง่ายดายมากขึ้น “นี่หมายความว่าองค์จักรพรรดิคงเป็นห่วงพ่อเจ้ามากใช่ไหม?”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ผงกศีรษะ อธิบายว่า “ยกตัวอย่างเช่น การเดินทางมาสานสัมพันธไมตรีในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าบิดาของข้าจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสูง แต่องค์จักรพรรดิก็ยังส่งองครักษ์ฝีมือดีมาคอยคุ้มกันพวกเราสองพ่อลูกระหว่างการเดินทางอีกกลุ่มใหญ่…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินหายวับไปทันที
เจ้าชายอวี้ชินหวังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ฝีมือสูงส่งอย่างนั้นหรือ?
และมีกลุ่มองครักษ์ระดับสูงจากวังหลวงคอยดูแลความปลอดภัย?
ถ้าอย่างนั้น…
คงต้องล้มเลิกแผนการลักพาตัวทั้งพ่อทั้งลูกไปก่อนแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินคิดทบทวนอย่างจริงจังและพบว่าตนเองยังไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ อีกอย่าง พ่อลูกคู่นี้ก็ได้รับการคุ้มครองโดยกลุ่มองครักษ์ฝีมือดีจากทางวังหลวง เขาคงไม่สามารถลงมือก่อเหตุลักพาตัวองค์หญิงเค่อเอ๋อร์กับเจ้าชายอวี้ชินหวังพร้อมกันได้ง่ายๆ เด็ดขาด
ถ้าอย่างนั้น เปลี่ยนแผนกลับมาเป็นลักพาตัวเพียงเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้แค่คนเดียวดีหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินยังคงชั่งใจ
ทำไมชีวิตเขามันถึงได้ยากลำบากขนาดนี้นะ
“จริงด้วยสิ พี่ชาย…”
อยู่ดีๆ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “ข้ามีของขวัญมามอบให้ท่าน หวังว่าท่านคงจะชอบ”
พูดจบ เด็กสาวก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนผืนหนึ่งออกมา
มันเป็นผ้าเช็ดหน้าปักลวดลายชายหนุ่มมือกระบี่ผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆสีขาว กระบี่คู่กายของเขาเหน็บอยู่ข้างเอว ใบหน้าของชายหนุ่มบนผ้าเช็ดหน้าค่อนข้างหล่อเหลามีสง่าราศี ไม่ว่าผู้ใดพบเห็น ก็เป็นต้องตกตะลึงในความสง่างามของเขาแทบหมดสิ้น
หลินเป่ยเฉินรับผ้าเช็ดหน้าปักลายสีชมพูมาสำรวจดู
นี่หรือคือของขวัญที่องค์หญิงเค่อเอ๋อร์พูดถึง?
ผ้าเช็ดหน้ากากๆ ผืนหนึ่งเนี่ยนะ?
มีราคาไม่ถึงหนึ่งเหรียญทองคำเลยด้วยซ้ำกระมัง?
ถึงลวดลายที่ถูกปักอยู่บนผ้าเช็ดหน้าจะค่อนข้างมีความประณีตและมีการลงรายละเอียดที่ยอดเยี่ยม แต่หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์จะเป็นคนปักมันด้วยตนเอง
“ถ้าเจ้าอยากได้ผ้าเช็ดหน้าที่สวยงามมากกว่านี้ล่ะก็ ข้าสามารถบอกแหล่งหาซื้อให้เจ้าทราบได้นะ”
หลินเป่ยเฉินนำผ้าเช็ดหน้าที่เด็กสาวมอบให้มาเช็ดจมูกของตนเองด้วยความไม่เห็นคุณค่าใดๆ เลย
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ดูจะตกตะลึงเล็กน้อย
นี่คือครั้งแรกที่เด็กสาวแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างแท้จริง นับตั้งแต่ที่นางก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของตำหนักไม้ไผ่
“ท่านจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
องค์หญิงจากต่างแดนถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
เมื่อเช็ดจมูกของตนเองเสร็จแล้ว หลินเป่ยเฉินก็นำผ้าเช็ดหน้าปักลายสีชมพูนั้นมาเช็ดคราบสกปรกบนโต๊ะหิน “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะมอบมันเป็นของขวัญแทนใจไว้ให้ข้าได้นึกถึง แต่ข้าคงจะมีความสุขมากกว่านี้หลายเท่า หากเจ้าเปลี่ยนของขวัญเป็นทองคำอีกสักถุงใหญ่…”
หลินเป่ยเฉินหันข้างไปสะบัดฝุ่นออกจากผ้าเช็ดหน้า และพูดว่า “หมดเวลาของเจ้าแล้ว เชิญกลับไปได้”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึงที่แท้จริง
ดวงตาคู่งามของนางปรากฏความพิศวงเกินอธิบายออกมาเป็นคำพูด
ทันใดนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืนตามคำสั่งของเขาและส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนหวาน “พี่ชาย ข้าคงต้องกลับแล้วสินะ… อิอิ แต่ข้าคิดว่าพวกเรากำลังจะได้พบกันอีกเร็วๆ นี้”
หลินเป่ยเฉินยิงฟันยิ้มแฉ่งและตอบรับกลับไปด้วยความตื่นเต้น “ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างบังเอิญเหลือเกิน เพราะข้าก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน”
หลังจากนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็หมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินมองแผ่นหลังของเด็กสาวหายลับไปจากสายตาพร้อมกับยกมือขึ้นนวดขมับของตนเองตลอดเวลา
แล้วเขาก็พยักหน้าเรียกให้หวังจงเข้ามาหา
“เจ้ารีบไปติดต่ออากวงกับเซียวปิงให้คอยตามสะกดรอยเด็กสาวคนนี้และพยายามลักพาตัวนางมาให้ได้…” หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอพลางยกมือขึ้นจับคางของตนเองอย่างใช้ความคิด “เหอเหอเหอ ของดีเช่นนี้ คงปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้แล้ว…”
“นายน้อยขอรับ?”
หวังจงกำลังมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหลือเชื่อ
พ่อบ้านชราแทบอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจว่าหวังจงเป็นอะไรไปอีก
ทันใดนั้น พ่อบ้านชราก็ส่งเสียงกระซิบว่า “ในที่สุด นายน้อยก็กลับมาเป็นคนเดิมอย่างที่ข้าเคยรู้จัก ในที่สุด นายน้อยก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม
หวังจงยกมือปาดน้ำตาพร้อมกับกล่าวว่า “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ หวังจงยังจดจำทุกรายละเอียดได้ดี ไม่ว่าจะเป็นห้องลับแห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เสริมที่นายน้อยชอบใช้ ไม่ว่าจะเป็นโซ่ แส้ กุญแจมือ ตรวนข้อเท้า… หวังจงจะไปหามาไม่ให้ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว รับรองว่านายน้อยจะได้ความรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งเก่าก่อนทุกประการ และสำหรับเด็กสาวนางนี้ หวังจงจะจัดเตรียมทุกอย่างให้นายน้อยเองขอรับ”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุก
รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที
เพี๊ยะ!
สุดท้าย เขาก็ต้องตบศีรษะพ่อบ้านหวังจงอย่างแรง
“เจ้าคิดอะไรของเจ้าฮะ? เห็นข้าเป็นคนบ้ากามวิปริตเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าอยากจะจับตัวนางมาเป็นตัวประกันต่างหาก ถ้าเราสามารถจับตัวนางมาได้สำเร็จ เราก็จะสามารถเจรจาต่อรองให้กองทัพของจักรวรรดิจี้กวงถอนกำลังออกไปจากเขตชายแดนของพวกเรา ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของประชาชนต่างหาก ไม่ได้อยากจะจับตัวนางมาทำบัดสีบัดเถลิงอย่างที่เจ้าคิดสักหน่อย…”
หลินเป่ยเฉินอบรมพ่อบ้านชราชุดใหญ่
“ว่าไงนะขอรับ?”
หวังจงยกมือกุมหน้าผากของตนเอง สีหน้าปรากฏความสดใสมากกว่าเดิม “ที่แท้นายน้อยก็วางแผนเช่นนี้เอาไว้นี่เอง สมแล้วที่เป็นนายน้อยขอรับ ทุกลมหายใจเข้าออกนายน้อยย่อมนึกถึงชาวเมืองหยุนเมิ่งอยู่เสมอ ไม่มีผู้ใดในโลกใบนี้จะมีจิตใจดีงามมากกว่านายน้อยอีกแล้ว… เอ๊ะ ว่าแต่ผ้าเช็ดหน้าในมือนายน้อยไปเอามาจากไหนหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินโยนผ้าเช็ดหน้าปักลายไปให้กับชายชราและพูดว่า “องค์หญิงเค่อเอ๋อร์อะไรนั่นเป็นคนให้ข้ามาน่ะสิ ถ้าเจ้าชอบจะเอาไปก็ได้นะ ข้ายกให้”
หวังจงกางผ้าเช็ดหน้าออกดูลวดลายของมันด้วยความสงสัย ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายน้อยขอรับ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้… นายน้อยรู้สึกคุ้นตาบ้างไหมขอรับ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “คุ้นตาอะไรอีก? ผ้าเช็ดหน้าปักลายที่ไหนมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ หรือเจ้าคิดว่ามีสิ่งใดแตกต่างออกไป?”
“ใช่แล้วขอรับนายน้อย ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เหมือนเป็นของใช้ส่วนตัวของคุณหนู”
หวังจงยังคงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“คุณหนูอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว สีหน้าแปลกใจเล็กน้อย “นางเป็นถึงองค์หญิงขนาดนั้น ก็คงเป็นคุณหนูในตระกูลของตนเองนั่นแหละ ไม่ทราบว่าเจ้ามีปัญหาอะไร?”
“ไม่ใช่ขอรับ หวังจงหมายถึงคุณหนูของพวกเราต่างหาก”
พ่อบ้านชราเริ่มพูดตะกุกตะกัก หายใจติดๆ ขัดๆ
“คุณหนูของพวกเรา… เฮ้ย หรือเจ้ากำลังจะบอกว่า นี่คือผ้าเช็ดหน้าของพี่สาวข้า?”
หลินเป่ยเฉินคิดได้ดังนั้นก็ถึงกับชะงักกึก
อย่าบอกนะว่านี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของ…
ละ ละ ละ… หลินถินชาง?
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย