“แม่นางเค่อเอ๋อร์เป็นคนทิ้งผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เอาไว้หรือขอรับ?”
ดวงตาของหวังจงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “นายน้อยขอรับ ในที่สุดเราก็พบเจอเบาะแสของคุณหนูเสียที สวรรค์เมตตาพวกเราแล้ว นายน้อยรีบสืบหาดีกว่าขอรับว่าคุณหนูหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด”
หลินเป่ยเฉินกลับมาได้สติอีกครั้ง
“ทำไมเจ้าถึงมั่นใจเหลือเกินว่านี่คือผ้าเช็ดหน้าของพี่สาวข้า?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ดูสวยงามมากเกินไป เอาเท่าที่ข้าจำได้ ผ้าเช็ดหน้าของพี่สาวข้า ไม่เคยมีผืนไหนสวยงามเช่นนี้มาก่อน…”
“นายน้อยอาจจะจำผิดก็ได้”
หวังจงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แต่เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินมีแววตาเคลือบแคลงสงสัย พ่อบ้านชราจึงรับหน้าที่อธิบายต่อไป “นายน้อยขอรับ สมัยก่อนนายน้อยหวาดกลัวพี่สาวยิ่งกว่าอะไรดี ระหว่างพวกท่านไม่ได้มีความสนิทสนมกันมากนัก ดังนั้น จึงยังคงมีอีกหลายเรื่องราวที่นายน้อยไม่รับทราบเกี่ยวกับพี่สาวของตนเอง”
“ถึงแม้ว่าคุณหนูจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นมือกระบี่หญิงอัจฉริยะ แต่ทางด้านงานเย็บปักถักร้อยของสตรี คุณหนูก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน แต่เนื่องจากคุณหนูทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกวิทยายุทธ์ ทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผ้าเช็ดหน้าปักลายที่คุณหนูลงมือปักด้วยตนเองนั้นจึงมีเพียงผืนเดียว และมันก็เป็นลวดลายมือกระบี่หนุ่มยืนอยู่บนก้อนเมฆผืนนี้แหละขอรับ ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย เส้นด้ายหรือวัสดุที่นำมาใช้ทำเป็นผ้าเช็ดหน้า หวังจงจำได้ดีว่ามันต้องเป็นฝีมือของคุณหนูแน่นอน ต่อให้ควักลูกตาของหวังจงออกมา หวังจงก็ไม่มีทางจำผิดพลาดเด็ดขาด”
“งั้นไหนเจ้าลองควักลูกตาออกมาซิ แล้วดูว่ายังจะจำมันได้อยู่อีกหรือไม่”
หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับเงื้อมือขึ้นสูง
หวังจงได้แต่หัวเราะแหะๆ
เด็กหนุ่มกล่าวต่ออีกครั้ง “เจ้าอย่าเพิ่งตื่นเต้นให้มากเกินไป นี่อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็ได้ เด็กสาวจากจักรวรรดิจี้กวงคนนี้ อาจจะได้รับผ้าเช็ดหน้าของพี่สาวข้ามาโดยไม่รู้ตัว นางไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะอยากจะทิ้งผ้าเช็ดหน้าผืนนี้อยู่แล้ว ก็เลยเอามาเป็นของฝากให้ข้านี่แหละ…”
“นายน้อย…”
พลัน หวังจงส่งเสียงโอดครวญออกมา “ข้ารู้ว่านายน้อยย่อมตื่นเต้นเช่นกัน แต่นายน้อยจะทำเหมือนหวังจงเป็นคนโง่ไม่ได้นะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ
หวังจงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดหัวใจ “นายน้อยขอรับ โอกาสดีงามเช่นนี้หาไม่ได้อีกแล้ว มีสาวงามมาหาท่านถึงหน้าประตูบ้านและยังทิ้งผ้าเช็ดหน้าไว้ให้ท่านอีกด้วย นางคงได้รับทราบข่าวเกี่ยวกับพี่สาวของท่าน และถึงนางอาจจะตั้งใจปลอมแปลงผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ขึ้นมา แต่อย่างน้อย พวกเราก็สมควรตรวจสอบดูให้ดีว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่ เพราะว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ อาจเป็นเพียงเบาะแสเดียวที่นำเราไปสู่การพบตัวคุณหนูก็เป็นได้”
หลินเป่ยเฉินได้รับฟังดังนั้นหัวใจก็กระตุกวูบ
ความรู้สึกในใจจริงของเขานั้น หลินเป่ยเฉินไม่เคยนึกอยากเจอบิดาหรือพี่สาวของตัวเองเลย
เพราะถ้าเจอหน้ากันเมื่อไหร่ ก็ต้องแสดงละครตบตาให้แนบเนียนที่สุด
แต่เมื่อได้ยินหวังจงพูดออกมาเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้ดีว่าตนเองทำตัวมีพิรุธอีกแล้ว และมันดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวข้าจะสืบสวนเรื่องราวนี้เอง”
เขาตัดสินใจรับปาก “แต่เจ้าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้เด็ดขาด เจ้าพูดถูก เด็กสาวชาวจี้กวงคนนี้อาจจะตั้งใจนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อทำให้ข้าเกิดความรู้สึกไขว้เขว และเมื่อข้าไม่มีสมาธิ ชาวเมืองก็จะเกิดความระส่ำระสาย แต่ถ้าเราสามัคคีและตั้งสติกันเอาไว้ให้ดี ก็จะไม่มีภัยอันตรายใดเข้ามาคุกคามพวกเราได้อีก…”
เชี่ย
หลินเป่ยเฉินแอบสบถอยู่ในใจ ขนาดพูดเอง เขายังอายเองเลยเนี่ย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหวังจงกลับแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจออกมาแล้ว
เมื่อเด็กหนุ่มรับปากเช่นนั้น พ่อบ้านชราก็ไม่มีอะไรติดใจสงสัยอีกต่อไป
“ทั้งหมดก็สรุปตามนี้แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดตัดบทและพูดเสียงเข้ม “เดี๋ยวข้าจะแอบสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง… ส่วนเจ้าไปเรียกลูกค้าคนต่อไปเข้ามาได้แล้ว”
หวังจงประคองผ้าเช็ดหน้าส่งคืนให้กับหลินเป่ยเฉินด้วยความทะนุถนอม หลังจากนั้น ชายชราก็หมุนตัวเดินออกไปนอกรั้วตำหนักไม้ไผ่อีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมากางดูอยู่อีกหลายรอบ
“มือกระบี่ขี่เมฆขาวอย่างนั้นหรือ?”
ทำไมพี่สาวของเขาถึงต้องปักลวดลายนี้ด้วย?
หรือว่ามือกระบี่หนุ่มบนผ้าเช็ดหน้าผู้นี้จะเป็นคนรักของพี่สาวเขา?
หลินเป่ยเฉินส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้กับเฉียนเหมยและออกคำสั่ง “นำไปซักล้างให้สะอาดซะ”
…
เจาโจวหยาน ประมุขแห่งหอการค้าสามพันโยชน์สาขาเมืองหยุนเมิ่ง เป็นลูกค้าคนต่อมาที่เข้าพบหลินเป่ยเฉิน
เขามาพร้อมกับเจาอู๋หยางบุตรชายของตนเอง
“เชิญนั่งลงก่อน”
หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายเริ่มต้นทักทายตามมารยาท
เมื่อเมืองหยุนเมิ่งถูกชาวทะเลยึดครอง หอการค้าสามพันโยชน์ก็ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ร้านค้าและทรัพย์สินจำนวนมากถูกชาวทะเลปล้นสะดม กล่าวได้ว่านับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ แต่แน่นอนว่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างเจาโจวหยานแห่งหอการค้าสามพันโยชน์ ย่อมแอบเก็บทรัพย์สินของเขาเอาไว้ก่อนหน้าเป็นจำนวนมากแล้ว…
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สภาพในปัจจุบันของเจาโจวหยาน ก็เห็นได้ชัดว่าน้ำหนักของเขาลดลงไปเยอะทีเดียว
“คุณชายหลิน พวกเราหาใช่คนอื่นคนไกลกันไม่ ที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ ก็เพื่ออยากจะสอบถามว่าท่านมีแผนการกระทำสิ่งใดต่อไปแล้วหรือยัง?”
ประมุขใหญ่ถามอย่างตรงไปตรงมา
“บัดนี้ ข้ายังไม่มีแผนการอะไร ข้าแค่อยากจะใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้นเอง”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
เมื่อได้รับทราบคำตอบ เจาโจวหยานก็กัดฟันกรอดและสอบถาม “ไม่ทราบว่าคุณชายหลินมีแผนการที่จะเดินทางไปยังนครเจาฮุยบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมามองหน้าลูกค้าของตนเองด้วยความประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าประมุขเจากำลังวางแผนที่จะอพยพออกไปจากเมืองหยุนเมิ่ง?”
เจาโจวหยานพยักหน้า “คุณชายหลินคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว พวกเราไม่สามารถทนอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งได้อีกต่อไป ชาวทะเลทำเหมือนพวกเราไม่มีชีวิตจิตใจ แต่เนื่องจากคุณชายหลินฟื้นขึ้นมาได้ทันเวลา พวกชาวทะเลจึงไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเหมือนเมื่อก่อนอีก”
“แต่นี่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ พื้นที่เกษตรกรรมของชาวเมืองถูกทำลายไม่เหลือสิ้น พวกชาวทะเลบุกรุกยึดครองอาณาเขตทำลายอาคารบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างไม่เหลือหลอ ประเมินจากสถานการณ์แล้ว อีกไม่นาน ถ้าพวกเราไม่ตายด้วยคมกระบี่ของชาวทะเล ก็ต้องอดตายในฤดูหนาวอยู่ดี…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจาโจวหยานหยุดชะงักเล็กน้อยและเมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังรับฟังเขาอยู่ด้วยความสนใจ ประมุขใหญ่แห่งหอการค้าชื่อดังจึงกล่าวต่ออีกครั้งว่า “บัดนี้ พวกเรากลุ่มพ่อค้าวานิชจากหอการค้าใหญ่ๆ ทั้งหลาย ซึ่งสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน รวมตัวกันประชุมและลงมติว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะอพยพออกจากเมืองหยุนเมิ่ง เพื่อไปอยู่ในเมืองที่ขึ้นตรงต่อจักรวรรดิเป่ยไห่ อย่างน้อย ที่นั่นก็คงมีชีวิตที่ดีกว่านี้”
หลินเป่ยเฉินรับฟังและนิ่งเงียบ
ความจริง หลังจากที่เขาสามารถเอาชนะแม่ทัพฉลามอู๋หยาได้จากการต่อสู้ พวกชาวทะเลก็ไม่กล้าเข่นฆ่ามนุษย์อีกเลย แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของชาวเมืองได้อยู่ดี
ชาวทะเลได้เข้ามาทำลายระบบนิเวศของเมืองหยุนเมิ่งไปหมดสิ้นแล้ว
ภูเขาและต้นไม้จำนวนมากถูกพังทลายเพื่อสร้างเป็นเส้นทางน้ำนำน้ำทะเลเข้ามาสู่ตัวเมือง พื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมากได้รับความเสียหายอย่างที่ไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้อีก
กล่าวได้ว่าฤดูใบไม้ร่วงของเมืองหยุนเมิ่งในปีนี้สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรได้หนักหน่วงยิ่งกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา
หลายคนไม่สามารถมีชีวิตรอดได้อีกต่อไป
บรรดาพ่อค้าใหญ่ในตัวเมืองต้องรวมตัวกันบริจาคอาหารแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้
แต่พวกเขาจะสามารถบริจาคได้ตลอดไปหรือไม่?
เหตุไฉนทุกคนจะต้องยอมอดตายอยู่ที่นี่?
“คุณชายหลิน พวกเราอยากจะเชิญคุณชายให้อพยพออกไปด้วยกัน”
เจาโจวหยานรวบรวมความกล้าหาญและพูดออกมาในที่สุด “เมืองหยุนเมิ่งถูกทำลายย่อยยับ ต่อให้ทางจักรวรรดิแย่งชิงดินแดนคืนมาได้ ก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ก่อนหน้านี้กลับคืนมาอีก ที่นี่ไม่มีวิหารเทพกระบี่อยู่อีกต่อไป ตัวท่านมีสถานะเป็นถึงผู้ที่ถูกเลือก คุณชายจำเป็นต้องอยู่ในดินแดนที่เป็นอาณาเขตของเทพีกระบี่ พวกชาวทะเลมันจะมองท่านเป็นหนามยอกอก ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวพวกมันก็ต้องหาทางเล่นงานคุณชายอีกแน่นอน”
“เพราะฉะนั้น ข้าจึงหวังว่าคุณชายจะอพยพมาพร้อมกับพวกเรา และด้วยพรสวรรค์ของท่าน ความฉลาดเฉลียวของท่าน ความแข็งแกร่งของท่าน คุณชายหลินจะต้องไปได้ดีในเมืองเจาฮุย อยู่ที่นั่นท่านจะได้เฉิดฉายดั่งดวงดาวที่สุกสกาวอยู่บนฟากฟ้า แต่ถ้าอยู่ที่เมืองนี้ต่อไป ท่านก็เป็นได้เพียงต้นไม้ใหญ่โดดเดี่ยวไร้คนคอยดูแล”
พูดจบ เจาโจวหยานก็มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคร่งเครียด
สำหรับกับชายหนุ่มที่มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก และเป็นคนที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรียิ่งกว่าอะไรดี คำพูดเช่นนี้อาจจะเหมือนคำดูถูก แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
“ที่ท่านมาเชิญข้าให้ร่วมอพยพไปด้วยกัน ก็เพราะอยากให้ข้าช่วยคุ้มครองความปลอดภัยของขบวนผู้เดินทางใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมา น้ำเสียงแผ่วเบา
“คุณชายหลิน ความจริงแล้ว พวกเรานั้น…”
เจาอู๋หยางอยากจะอธิบายอะไรบางอย่าง
แต่เจาโจวหยานผู้เป็นบิดาก็ยกมือขัดจังหวะบุตรชายกลางคันและยอมรับด้วยความจริงใจ “คุณชายหลินพูดได้ถูกต้องแล้ว ที่พวกเรามาหาท่านในวันนี้ ก็เพราะหวังว่าคุณชายหลินจะพิจารณาถึงความหนักหน่วงของสถานการณ์ในปัจจุบัน พวกเราได้รับทราบข่าวมาว่าชาวทะเลมันคิดที่จะสร้างแท่นบูชาขนาดยักษ์ขึ้นในเมืองหยุนเมิ่ง และมันจะเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นอาณาจักรของพวกมันเอง ที่นี่จะกลายเป็นสรวงสวรรค์ของชาวทะเล และเป็นฐานใหญ่ลำดับแรกสำหรับการบุกโจมตีดินแดนอื่นๆ ต่อไป… ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริง มีความหนักหนาสาหัสมากกว่าที่พวกเราเคยจินตนาการเอาไว้”
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขามองหน้าสองพ่อลูก ถามว่า “ถ้าข้าไป ชาวเมืองที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้จะทำอย่างไรเล่า?”
เจาโจวหยานและบุตรชายพูดอะไรไม่ออก
ในอดีต ถ้ามีใครสักคนบอกว่าหลินเป่ยเฉินจะนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของชาวเมืองมากกว่าชีวิตของตนเอง เจาโจวหยานกับเจาอู๋หยางย่อมไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเปรียบดั่งเทพเจ้าที่มีชีวิตอยู่จริงๆ บนโลกของพวกเขา
จึงถือเป็นเรื่องปกติที่หลินเป่ยเฉินจะพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย