“เจ้าเต่าทะเลปากมาก”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า”
กุยเหนียนใบหน้ากระตุก
“เจ้า…”
มันเป็นที่ปรึกษาเต่าทะเล มีสถานะสูงส่งในกลุ่มชาวทะเลด้วยกัน จึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากุยเหนียนจะดูถูกดูแคลนมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ขนาดไหน และบัดนี้ มันก็กำลังจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังมองมาด้วยแววตาดุดันของจริง และเมื่อมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนนึกถึงภาพการตายอย่างน่าอนาถของ ‘แม่ทัพฉลามอู๋หยาแห่งหน่วยรบคลื่นทมิฬ’ บนเวทีประลอง สันหลังของมันก็เย็นวาบ อารมณ์ที่เดือดดาลเมื่อสักครู่สุดท้ายก็สลายหายไป
“ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะแจ้งให้พวกเจ้าชาวเมืองหยุนเมิ่งได้รับทราบ”
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว กุยเหนียนก็นำเศษกระดองเต่าแผ่นหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะหินตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน ก่อนนั่งลงและพูดว่า “พวกเรากำลังจะจัดการประลองในอีกสองวันต่อจากนี้ ทางเจ้าเตรียมตัวผู้ที่จะขึ้นไปประลองเอาไว้ให้ดี”
การประลอง?
จะประลองอะไรกันอีก?
หลินเป่ยเฉินหยิบเศษกระดองเต่าขึ้นมาดู
มีตัวอักษรเขียนอยู่บนแผ่นกระดองเต่าสองประโยค
ประโยคแรกเป็นภาษาของชาวทะเล
ประโยคต่อมาเป็นภาษามนุษย์
หลังจากเด็กหนุ่มอ่านจบแล้ว หัวคิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น “การประลองครั้งก่อน เราได้ผลแพ้ชนะกันไปแล้วไง ทำไมถึงจะต้องกลับไปประลองต่อจากเดิมอีก?”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของหลินเป่ยเฉิน อารมณ์ที่เย็นลงแล้วของมนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนก็กลับมาปะทุเดือดอีกครั้ง
“ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ กติการะบุว่าทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องต่อสู้ให้ครบทั้งห้าคู่ ฝ่ายใดสามารถเก็บชัยชนะได้สามในห้า จึงถือว่าเป็นผู้ชนะ แต่พวกเจ้าในวันนั้นยังไม่ได้ออกมาสู้ต่ออีกสองคู่ให้ครบตามกำหนด เท่ากับว่าการประลองยังไม่สิ้นสุด และถ้าอีกสองวันต่อจากนี้พวกเจ้าไม่ไปประลอง ก็จะถือว่าฝ่ายมนุษย์มีความผิดโทษฐานตั้งใจละเมิดกฎการต่อสู้”
แต่พูดมาถึงตรงนี้ ที่ปรึกษาเต่าทะเลก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง “ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะมีความกล้าหาญมากพอที่จะกลับไปสู้ต่อก็แล้วกัน”
“เจ้าเต่าทะเลบัดซบ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “ไม่คิดว่าตนเองหน้าด้านเกินไปหน่อยหรือไง?”
จากตอนแรกถูกเรียกว่าเป็นเต่าทะเลปากมาก มาตอนนี้ก็ถูกเรียกว่าเป็นเต่าทะเลบัดซบ นั่นกลับไม่ได้ทำให้กุยเหนียนรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกแล้ว มันเพียงแต่ยิ้มและกล่าวต่อ “เจ้าก็ควรศึกษากฎกติกาให้ละเอียดหน่อยสิ”
“กติกากับผีน่ะสิ”
หลินเป่ยเฉินสวนกลับไปด้วยความเดือดดาล “นักบวชหรงอะไรนั่นที่เป็นคนออกคำสั่งอยู่บนแผ่นกระดองเต่าของเจ้า ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่การประลองต่อจากเดิมครั้งนี้ คงมาจากความคิดของเขาเป็นแน่แท้ เจ้ากลับไปบอกมันนะว่าอย่ามาก่อความวุ่นวายแถวนี้ ไม่งั้นข้าจะระเบิดกระดองเต่าของมันให้กระจุยในพริบตาเดียว”
“ข้าขอแนะนำให้เจ้าโปรดระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้”
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนยิ้มมุมปาก “นักบวชหรงเป็นหนึ่งในแปดนักบวชศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิหารสมุทรของอาณาจักรใต้ทะเล นางมีสถานะเป็นผู้ส่งสาส์นของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล หากเจ้าลบหลู่ดูหมิ่นนักบวชหรง ก็เท่ากับว่ากำลังลบหลู่ดูหมิ่นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าได้ประเมินพลังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลต่ำมากเกินไป”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “แต่พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าข้าก็เป็นตัวแทนของเทพีกระบี่เหมือนกัน ในเมื่อพวกเราต่างก็มีเทพเจ้าคอยหนุนหลัง หรือว่าจะให้นักบวชหรงออกมาสู้กับข้าตัวต่อตัวดีหรือไม่?”
“สู้กันตัวต่อตัวอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกุยเหนียน
“คุณชายหลิน เจ้ามีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาก็จริง แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้านักบวชหรง เกรงว่าความยิ่งใหญ่ทั้งหมดในตัวเจ้าคงกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ประโยชน์แล้ว”
มนุษย์เต่าทะเลพูด
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ในทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็หวนนึกถึงมังกรเขียวที่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเมืองหยุนเมิ่งเมื่อวันก่อน และเขาก็จำได้ดีว่าบนหัวมังกรเหมือนมีใครบางคนกำลังยืนอยู่
หรือว่าคนที่ยืนอยู่บนหัวมังกรผู้นั้นจะเป็นนักบวชหรง?
ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็…
เอ่อ
ตัดสินใจลำบากเหมือนกันแฮะ
แต่เขาจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในการสนทนาครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“มดแมลงอย่างนักบวชหรงของพวกเจ้าน่ะหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า เจอข้าเอาจริงเพียงกระบวนท่าเดียว เดี๋ยวมันก็ตายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าถือดีไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าหัวใจจะเต้นรัวเร็วแล้วก็ตาม “กลับไปบอกนักบวชหรงของเจ้านะว่า ข้าก็อยู่ส่วนข้า นางก็อยู่ส่วนนาง เราอย่ามาข้องเกี่ยวกันเลยดีกว่า เพราะบัดนี้ ข้าไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับพวกสัตว์ใต้ทะเลอย่างพวกเจ้าอีกแล้ว”
กุยเหนียนหัวเราะในลำคอ “ข้าจะนำคำพูดของเจ้าทั้งหมด กลับไปกราบเรียนองค์หญิงแห่งท้องทะเลและนักบวชหรงทุกถ้อยคำ หวังว่าเจ้าคงไม่นึกเสียใจในภายหลังก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความฉุนเฉียว “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”
กุยเหนียนตอบกลับเสียงเรียบ “ข้าเพียงอธิบายข้อเท็จจริงให้ฟังว่าเจ้าควรระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ ถึงเจ้าจะเป็นหลินเป่ยเฉินผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้น”
หลินเป่ยเฉินพลันยกมือขึ้นนวดขมับตนเอง และพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความอำมหิตเอาไว้ไม่น้อย “กระดองเต่าบนหลังเจ้าสวยดีเหมือนกันนี่นา ไม่ทราบว่าเจ้ามีอายุเท่าไหร่แล้ว? ถ้าถอดออกมาตากแดดให้แห้ง น่าจะใช้แทนลูกแก้วดูดวงได้เลยนะเนี่ย”
สีหน้าของมนุษย์เต่าทะเลเปลี่ยนแปลงไปทันที “คุณชายหลินอย่าได้พูดจาล้อเล่นเช่นนี้”
“เปล่าล้อเล่นสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไป “ข้ากำลังพูดจริงอยู่ต่างหาก”
กุยเหนียนพูดอะไรไม่ออก
“คุณชายหลิน ข้าไม่ได้มีเจตนาจะข่มขู่เจ้า”
รอยยิ้มที่จริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมนุษย์เต่าทะเล “นักบวชหรงมาจากมหาวิหารใต้สมุทร แม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์คนโปรดของนาง ครั้งนี้ นักบวชหรงถึงกับเดินทางขึ้นบกมาพร้อมกับน้ำตาเทพเจ้า มันเป็นเครื่องรางที่สามารถควบคุมกองทัพชาวทะเลได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อแม้ แม้แต่องค์หญิงแห่งท้องทะเลก็ยังไม่สามารถขัดคำสั่งของนักบวชหรงได้อีกแล้ว…”
“น้ำตาเทพเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ อดถามออกไปไม่ได้ว่า “มันคืออะไร? ใช่เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับดาวนำโชคหรือไม่?”
“เจ้ารู้จักดาวนำโชคได้อย่างไร?” กุยเหนียนเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจสุดขีด “แน่นอนว่ามันย่อมเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่น้ำตาเทพเจ้าเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมหาวิหารใต้สมุทร ส่วนดาวนำโชคนั้นเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกมอบหมายให้แก่ผู้ที่ถูกเลือกบนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น และมันก็มีพลังมากกว่าน้ำตาเทพเจ้าหลายเท่า”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้น ท้องไส้พลันปั่นป่วนขึ้นมาทันที
ที่ผ่านมา เขาวิตกกังวลเกินเหตุจริงๆ
ทันใดนั้น คุณชายหลินปั้นสีหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีและพูดว่า “ข้าอยากรู้จังเลยว่าดาวนำโชคมีหน้าตาเป็นอย่างไร ช่วยวาดให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
เขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่า ของขวัญที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้มอบมาให้นั้น เป็นดาวนำโชคซึ่งถือเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเลจริงหรือไม่
“หืม?”
กุยเหนียนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เหตุไฉนถึงอยากให้ข้าวาดรูป?”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงแข็งขึ้นมาด้วยความรำคาญใจ “ข้าบอกให้เจ้าวาด เจ้าก็วาดมาเถิด จะถามอะไรมากมายฮะ?”
“แต่ว่า…”
กุยเหนียนยังคงมีสีหน้าประหลาดใจ “มันเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ข้า แล้วเจ้าจะขอดู…”
พลัน ดวงตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปยังกระดองเต่าบนแผ่นหลังกุยเหนียนอีกครั้ง
สีหน้าของมนุษย์เต่าทะเลเปลี่ยนแปลงไปในทันที “มันเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์ข้า แต่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรสักหน่อย ปากกากับกระดาษอยู่ที่ใด เดี๋ยวข้าจะวาดให้เจ้าดูแบบเหมือนจริงที่สุด”
“พูดแบบนี้ค่อยน่าคุยด้วยหน่อย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างอย่างสบอารมณ์
หลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็หยิบรูปวาดของกุยเหนียนขึ้นมาดูพร้อมกับพยักหน้าด้วยความพอใจ
ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนมีฝีมือการวาดรูปที่ดีมาก
ดาวนำโชคซึ่งเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเล เป็นสิ่งเดียวกับดาวนำโชคที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้มอบเป็นของขวัญให้เขาในแอปหาคู่จริงๆ
เพียงเท่านี้ก็แน่ใจได้แล้ว
“เอาล่ะ กระดองเต่าของเจ้ายังคงปลอดภัยดี ไสหัวไปซะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัด
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างแรง
มันแอบสบถสาบานอยู่ในใจว่า ตนเองจะไม่มีทางทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาส์นมาติดต่อเจรจากับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แปลกประหลาดและน่ากลัวมากเกินไป
น่าหวาดผวาเป็นที่สุด
มนุษย์เต่าทะเลกุยเหนียนรีบวิ่งออกจากสถานศึกษากระบี่ที่สามด้วยความรวดเร็วผิดธรรมชาติ
เพราะกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะเปลี่ยนใจอยากได้กระดองเต่าบนหลังของมันอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินนั่งดูรูปวาดด้วยความพินิจพิจารณา ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็เริ่มวางแผนการต่างๆ อยู่ในใจเงียบๆ
หวังจงเดินออกไปเรียกลูกค้าคนต่อมา
จวบจนถึงเวลาอาหารค่ำนั้นเอง จึงเป็นเวลาที่ฉู่เหินกับหยางเฉินโจวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ว่ายังไง พี่ชาย”
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่น “วันนี้ข้ายุ่งที่สุดเลย ในที่สุดก็ได้พบกันสักที เชิญนั่งก่อนขอรับ เชิญนั่งก่อน เฉียนเหมย ยังไม่รีบนำน้ำชามาต้อนรับแขกอีก”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ถามว่า “พี่หยางขอรับ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ฮันกับศิษย์น้องเยว่อยู่ที่ไหน? ข้ารอคอยพวกเขาตลอดทั้งวัน แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวจากพวกเขา สหายพลัดพรากจากกันเนิ่นนาน ได้มีวาสนากลับมาพบพานกันอีกครั้ง น่าเสียดายนะขอรับที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มกินด้วยกันเลย”
“เจ้าไม่รู้หรือไรว่าพวกเราก็มีงานยุ่งเช่นกัน?”
หยางเฉินโจวตอบกลับมา ดวงตาเขียวปัด “คิดไม่ถึงเลยนะว่าขนาดพวกข้า ก็ยังต้องไปต่อแถวรอเข้าพบเจ้า…”
อดีตช่างตีเหล็กพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูง ทำสีหน้าเหมือนกำลังตกใจสุดขีด “ว่าอย่างไรนะขอรับ? พวกท่านก็ต้องไปยืนต่อแถวเหมือนกันหรือ? ใช้ไม่ได้แล้ว หวังจง เจ้ามานี่เดี๋ยวนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงให้พวกเขาไปยืนต่อแถวอยู่รั้งท้าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่หยางก็เป็นพี่ชายร่วมสาบานของข้าคนหนึ่ง? ทำไมต้องให้เขาไปยืนต่อแถวด้วย?”
หวังจงสะดุ้งโหยง ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ‘นายน้อยขอรับ ข้าเอารายชื่อให้นายน้อยดูตั้งแต่แรกแล้วนะ ตอนนั้นไม่เห็นนายน้อยว่าอะไรเลยนี่นา’
“ต้องขออภัยด้วยนะขอรับ ความผิดพลาดครั้งนี้เป็นการตัดสินใจโดยพลการจากคนรับใช้ของข้าเอง ข้าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว… ต้องขออภัยพี่หยางมากแล้ว”
เมื่อหวังจงเห็นกิริยาท่าทีของนายน้อย เขาก็ดูออกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจจะโยนความผิดทั้งหมดมาให้ตนเอง
ได้ยินคำอธิบายดังนั้น หยางเฉินโจวก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เฮ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรหวังจงก็ทำงานให้กับเจ้าเหมือนกัน… วันนี้มีคนมารอเข้าพบเจ้าเยอะมากเชียวนะ”
ฉู่เหินนั่งก้มหน้า ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา
หยางเฉินโจวเป็นคนใสซื่อเชื่อคนง่ายมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินยังคงส่งเสียงดุดันอย่างต่อเนื่อง “เจ้าสุนัขเฒ่า มาฟังเอาไว้ให้เต็มสองหู ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพี่หยางตัดสินใจไม่เอาเรื่อง ข้าคงได้หักขาเจ้าไปแล้ว… โปรดจำเอาไว้ว่า ครั้งต่อไปที่พวกเขามาขอเข้าพบข้า ไม่ว่าจะเป็นพี่หยาง อาจารย์ฉู่ หรือคนอื่นๆ ให้ระบุว่าพวกเขาเป็นแขกคนสำคัญ มีสิทธิพิเศษที่จะได้เข้าพบข้าก่อนลูกค้าคนอื่นๆ และแน่นอนว่าต้องลดค่าธรรมเนียมให้พวกเขาเป็นกรณีพิเศษด้วย”
หวังจงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน นายน้อยก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย