‘ลดราคาหน่อยได้ไหมขอรับ?’
หลินเป่ยเฉินลองถามดูเผื่อจะโชคดี
‘ได้’
ผู้ดูแลร้านตอบ
เฮ้ย?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตเมื่อเห็นข้อความนั้น
ดูสิ ผู้ดูแลร้านก็ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย
‘ลดได้เท่าไหร่ขอรับ?’
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความร่าเริง
‘หนึ่งเหรียญ’
ถ้อยคำสองพยางค์นั้นคือคำตอบ
หลินเป่ยเฉินแทบน้ำตาไหลแล้ว
นี่เรียกว่าลดราคาแล้วหรือ?
‘ลดมากกว่านี้ได้ไหมขอรับ?’
หลินเป่ยเฉินพยายามเจรจาอีกครั้ง
‘ไม่ได้’
ผู้ดูแลร้านยังคงตอบด้วยถ้อยคำห้วนสั้น
หลินเป่ยเฉินได้แต่ถอนหายใจ
และใช้ศิลาบูชาจ่ายแทนเงินสด
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มเริ่มเกิดความสงสัยในร้านเพื่อนพ้องพี่น้องโจรขึ้นมาแล้ว
วิเคราะห์ดูจากข้อมูลก่อนหน้านี้ เทพีกระบี่เป็นสุดยอดเทพเจ้าบนดินแดนทวยเทพ มีความแข็งแกร่งไร้เทียมทานชนะสงครามมาแล้วทุกสารทิศ แต่กลับยังต้องพึ่งพารากสมุนไพรจากร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้ในการเสริมสร้างพลังของตนเอง
เขาสมควรตีสนิทร้านเพื่อนพ้องพี่น้องโจรดีหรือไม่?
หลังจากคิดทบทวนดูอยู่หลายรอบ หลินเป่ยเฉินก็พิมพ์ถามออกไป
‘พี่ชาย ข้าน้อยขอแอดวีแชทได้ไหมขอรับ?’
‘?’
ผู้ดูแลร้านส่งเครื่องหมายคำถามตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินอธิบายว่า ‘เอ่อ การส่งข้อความผ่านทางแอปซื้อขายนี้ไม่ค่อยเสถียรสักเท่าไหร่ การติดต่อครั้งต่อไป มันคงสะดวกกว่ามากถ้าเราสื่อสารกันผ่านทางวีแชท จะได้ไม่ต้องรบกวนพื้นที่ข้อความของทางร้านด้วยขอรับ…’
ผู้ดูแลนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่
จากนั้นจึงตอบมาว่า
‘ไม่ได้’
หลินเป่ยเฉินอยากจะร้องไห้แล้วจริงๆ
ทำไมถึงได้เย็นชาขนาดนี้
นี่เขาเป็นถึงลูกค้าประจำเลยนะ
ถนอมน้ำใจกันสักหน่อยไม่ได้หรือไง?
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกไป เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะมีความน่าเกรงขามยิ่งกว่าเทพีกระบี่ก็เป็นได้
เขาไม่ควรมีเรื่องกับใครส่งเดช
‘เอาล่ะ สรุปราคาว่ากันตามนั้นนะขอรับ ได้โปรดส่งสินค้าให้ตรงเวลาด้วย’
หลินเป่ยเฉินส่งข้อความกลับไป
‘รับทราบ’
ผู้ดูแลร้านส่งข้อความกลับมา
เมื่อตกลงราคากันได้เรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็กดเลือกรากชงโหลวที่เหลืออยู่ทั้งสองต้นนั้นลงรถเข็นของตนเอง
แผนการที่เขาวางไว้ชัดเจนมาก
ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเด็กหนุ่มเกลียดการใช้สมองมากที่สุด
แต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องใช้สมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ
และเขาก็นึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
‘ลองสอบถามไปที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้ดูสักหน่อยดีไหมวะ’
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจและเปิดเข้าไปในแอปเจิ้นอ้ายหว่าง
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
หลายข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอไม่หยุดยั้ง
‘นี่เจ้าส่งคนมาลอบโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ?’
‘ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเพียงคนเดียวตลอดชีวิตอันยาวนานของข้า ที่สามารถทำให้ข้ากระวนกระวายได้ถึงขนาดนี้’
‘แต่น่าเสียดายที่เทพีของเจ้าอ่อนแอมากเกินไป การลอบโจมตีจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า มิหนำซ้ำ ยังถูกข้าตอบโต้กลับไปจนต้องหลบหนีอย่างกระอักเลือด…’
‘ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่านางวิ่งหนีได้รวดเร็วมากเกินไป และข้าก็ขี้เกียจจะไล่ตามไป ป่านนี้เทพีสุดที่รักของเจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว…’
‘น่าสนใจมากจริงๆ ข้าไม่เคยพบเด็กหนุ่มคนไหนน่าสนใจเหมือนเจ้ามาก่อน’
‘ข้าแทบจะรอให้เจ้าขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพไม่ไหวแล้ว’
‘ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้ามากกว่าเดิม… ฮ่าฮ่า รีบเติบโตเร็วๆ นะ เด็กหนุ่มของข้า ได้โปรดอย่าทำให้ข้ารอคอยนานเกินไป’
‘อยู่ที่นี่ข้าเหงาเหลือเกิน รีบขึ้นมาเล่นกับข้าเสียดีๆ อิอิ’
ข้อความแล้วข้อความเล่าเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์
เหมือนคนโรคจิตที่ชอบคุยคนเดียวชัดๆ
เมื่อหลินเป่ยเฉินอ่านข้อความทั้งหมดจบลง ก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
โชคดีที่สมองของธิดาอู๋ไห่จือตี้ไม่ปกติ กระบวนการความคิดมีปัญหาตั้งแต่ต้นจนจบ นางถึงไม่มีความคิดที่จะแก้แค้นเขาอย่างที่หวาดกลัว
ในทางกลับกัน ธิดาอู๋ไห่จือตี้ยังคิดที่จะช่วยเหลือเขา ให้ขึ้นไปอยู่บนดินแดนทวยเทพได้เร็วๆ เสียอีก
เอ่อ…
หลินเป่ยเฉินเริ่มเกิดความรู้สึกผูกพันกับธิดาอู๋ไห่จือตี้ผู้นี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็เป็นด้วยฐานะผู้น่าสงสารจากอาการสมองเสื่อม
หลังจากนำข้อมูลทุกอย่างมาปะติดปะต่อกันแล้ว หลินเป่ยเฉินก็สามารถแน่ใจได้หลายเรื่องราว ดังเช่น…
อย่างแรก เทพีกระบี่หิมะไร้นามและเทพีกระบี่ได้แอบลอบโจมตีธิดาอู๋ไห่จือตี้จนเกิดการต่อสู้กันในที่สุด
อย่างที่สอง ธิดาอู๋ไห่จือตี้มีสถานะเป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
อย่างที่สาม เทพีกระบี่หิมะไร้นามพูดว่ามันเป็นการต่อสู้สุดแสนยิ่งใหญ่อลังการ ผืนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย แต่ในความเป็นจริง พวกนางเป็นฝ่ายเข้าไปลอบโจมตีและยังล้มเหลวอีกต่างหาก สุดท้ายถูกโจมตีกลับมาต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนพร้อมกับอาการบาดเจ็บ… ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าธิดาอู๋ไห่จือตี้ไม่คิดไล่ตามให้เสียเวลา เทพีกระบี่หิมะไร้นามก็คงไม่มีทางรอดชีวิตมาพูดคุยกับเขาได้อีก
นับว่าพึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ
เทพีกระบี่หิมะไร้นามยังคงพูดจาเชื่อถือไม่ได้อย่างไร ก็ยังคงเชื่อถือไม่ได้อยู่อย่างนั้น
จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้าไปนั้นเอง สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับสเตตัสใหม่ของธิดาอู๋ไห่จือตี้
นางโพสต์รูปภาพรูปหนึ่ง
แต่ก็ยังคงเป็นรูปทางด้านหลังอยู่เช่นเดิม
และมันก็ยังคงเป็นรูปภาพที่ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่า ตัวจริงของธิดาอู๋ไห่จือตี้ต้องมีความสวยงามอย่างหาตัวจับยาก เส้นผมสีเขียวเหมือนสาหร่ายทะเลตวัดรัดพันตามร่างกายของนางราวกับเป็นมังกรเขียวตัวน้อยๆ
ไม่รู้ว่าธิดาอู๋ไห่จือตี้เป็นโรคแพ้เสื้อผ้าหรืออย่างไร นางถึงได้นิยมเปลือยกายเช่นนี้ แต่เส้นผมที่ยาวสลวยของนางก็ปกปิดส่วนสำคัญของร่างกายได้มิดชิด และยิ่งทำให้รูปภาพด้านหลังนี้ดูงดงามมีเสน่ห์มากกว่าเดิม
เมื่อจ้องมองรูปภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหน้าแดงและลำคอแห้งผากขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ธิดาอู๋ไห่จือตี้แตกต่างจากเทพีกระบี่หิมะไร้นามคนละขั้ว ในขณะที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามมีลักษณะเหมือนพวกสาวๆ สายแบ๊ว ทางด้านธิดาอู๋ไห่จือตี้กลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ทำให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนใจได้มากกว่า
นับเป็นสองบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของตนเองได้ เขาจึงกดขยายรูปภาพ เพื่อสำรวจดูเรือนร่างของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลินเป่ยเฉินพบว่าบนไหล่ซ้ายของธิดาอู๋ไห่จือตี้มีรอยแผลจากคมกระบี่ค่อนข้างฝังลึก
แม้ไม่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล แต่มันก็เป็นบาดแผลที่มองเห็นได้ชัดเจน
ใต้รูปภาพนี้เป็นแคปชั่นที่นางเขียนเอาไว้ว่า
‘หุหุ แม่เทพธิดาคลั่งรักของเจ้าหมาบ้าน้อยถึงกับกล้ามาลอบโจมตีข้าแล้ว ซ้ำยังทิ้งรอยแผลเป็นรอยนี้เอาไว้อีก…’
‘สำหรับกับเทพธิดายุคใหม่ ผู้ต่อสู้ด้วยมือซ้ายและใช้มือขวาเรียกความศรัทธา รอยแผลเป็นจากการต่อสู้เช่นนี้ ถือเป็นเหรียญตราแห่งเกียรติยศที่ดีที่สุด!’
‘เมื่อในชีวิตนี้ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกาย ท่านก็ต้องปรับตัวกับความโดดเดี่ยวให้ได้!’
หลินเป่ยเฉินอ่านข้อความเหล่านั้นจบลงในความเงียบ
เทพธิดาองค์นี้… มีพฤติกรรมเหมือนตอนที่เขาเพิ่งได้โทรศัพท์ใหม่ๆ เหมือนกันแฮะ
นางเรียกตนเองว่าเป็นเทพธิดาในยุคใหม่อย่างนั้นหรือ?
อย่าบอกนะว่าบนดินแดนทวยเทพ ก็มีการแข่งขันระหว่างเทพเจ้าเช่นกัน?
ฟังดูน่าตลกสิ้นดี
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีธิดาอู๋ไห่จือตี้อาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิดก็ได้
นั่นทำให้ความหวาดระแวงต่อเครื่องรางดาวนำโชคที่นางมอบให้มาเริ่มลดน้อยลง
หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ล้มเลิกความคิดที่จะส่งข้อความไปทักทายธิดาอู๋ไห่จือตี้ และเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
บัดนี้เป็นเวลาเย็นย่ำค่ำแล้ว
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินกำลังเตรียมอาหารค่ำ
หลินเป่ยเฉินกำลังลงมือรับประทานอาหาร ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาขอเข้าพบ
“อ้าว เถ้าแก่อานนี่เองนึกว่าใคร ฮ่าฮ่าฮ่า เข้ามาสิขอรับ เชิญนั่งลงก่อน”
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคืออานมู่ซี เถ้าแก่ร้านขายยาชื่อดัง ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายแวววาวและโบกไม้โบกมือเชื้อเชิญด้วยความกระตือรือร้น
คิดถึงไก่ไก่ก็มา
เขากำลังวางแผนว่ารับประทานอาหารเสร็จจะเดินทางไปหาเถ้าแก่ร้านขายยาผู้นี้อยู่พอดี
“คุณชายหลินขอรับ ขออภัยที่ข้าน้อยมาขัดจังหวะการรับประทานอาหาร”
อานมู่ซีพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แต่เมื่อกลางวันมีคนมารอเข้าพบท่านมากเกินไป ข้าไม่อยากจะรบกวนผู้อื่น จึงได้แต่รอคอยจนถึงเวลานี้เท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
“ท่านมาที่นี่เพราะอยากได้สูตรยาโอสถหกสวรรค์ใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มถาม
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย