อานมู่ซีเดินทางกลับไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินก็ได้รับการนวดจากสองสาวรับใช้จนรู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้วเช่นกัน
เขาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นหมาป่าน้ำแข็งนอนอยู่ที่มุมสนามหญ้าด้วยลักษณะท่าทางซังกะตาย ดวงตาของมันเหม่อลอยราวกับเป็นนกน้อยที่อยู่ในกรงทอง สองตาของมันจ้องไปที่ด้านนอกประตูรั้วด้วยความปรารถนาอิสรเสรี
และเหมือนมันจะรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังมองอยู่ ทันใดนั้น หมาป่าน้ำแข็งก็หันมาสบตามองหลินเป่ยเฉินคล้ายต้องการจะพูดว่า…
“ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับ
“แต่โลกภายนอกมันเปลี่ยนไปแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินพูดออกไปโดยไม่สนใจว่าเจ้าหมาป่าจะฟังรู้เรื่องหรือไม่ “บัดนี้ข้างนอกมีแต่พวกชาวทะเล ถิ่นที่อยู่เดิมของเจ้าก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ถ้าเจ้ากลับไปตอนนี้ ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
บัดนี้ หมาป่าน้ำแข็งกับหลินเป่ยเฉินกำลังจ้องมองกัน
แล้วในที่สุด เจ้าหมาป่าน้ำแข็งก็ค่อยๆ ลดศีรษะของมันลงวางบนสองขาหน้าและไม่มองเขาอีกเลย
แต่หลินเป่ยเฉินสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความเหยียดหยามและการดูถูกดูแคลนจากสีหน้าของมัน
หลังคลอดลูกออกมาแล้ว หมาป่าน้ำแข็งตัวนี้ก็ไม่สนใจลูกของมันเลยสักนิด บางทีคงเป็นเพราะมันกินดีอยู่ดีมากเกินไป รูปร่างจึงอ้วนท้วมสมบูรณ์ ขนยาวสลวยเป็นประกายสะท้อนแสงจันทราแสงตะวัน ยามจ้องมองชวนให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความสวยงามและมีสง่าราศี
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ
“ถ้าเจ้าอยากไปจริงๆ แล้วละก็…” เขาเดินออกไปที่สนามหญ้าและเงยหน้ามองท้องฟ้า “เมื่อพวกเราอพยพออกไปนอกอาณาเขตชาวทะเลแล้ว ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน”
หมาป่าน้ำแข็งส่งเสียงครวญครางอย่างเกียจคร้าน ดวงตาของมันยังคงจ้องมองไปที่นอกประตูรั้วต่อไป
แต่เหมือนมันจะรับทราบคำพูดของหลินเป่ยเฉินแล้ว
เด็กหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเดิม
เขาโยนเนื้อปลาตากแห้งเสี้ยวหนึ่งให้มันและพูดว่า “ข้ามีของอร่อยมาให้เจ้ากิน…”
หมาป่าน้ำแข็งไม่เงยหน้ามองมาที่เขาด้วยซ้ำ มันใช้ขาหน้าตะครุบเนื้อปลาตากแห้งและก้มหัวรับประทานอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนี้ สองสาวรับใช้ก็นำตัวเสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานออกมาจากด้านในบ้านพัก
หลินเป่ยเฉินให้พวกมันรับประทานเศษปลาตากแห้งเช่นกัน หลังจากนั้น เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ จึงโยนเนื้อปลาตากแห้งส่วนหนึ่งไปที่เบื้องหน้าหมาป่าน้ำแข็งและกล่าว “พวกเจ้าเป็นแม่ลูกกัน สร้างความผูกพันกันหน่อยสิ…”
ลูกหมาป่าทั้งสองตัวเอียงหน้ามองหมาป่าน้ำแข็งด้วยความสงสัย
พวกมันรู้สึกได้ถึงพลังลมปราณที่คล้ายคลึงกัน
แต่มารดาของพวกมันมีระดับพลังต่ำต้อยเกินไป
หลังลังเลอยู่เล็กน้อย ลูกหมาทั้งสองตัวกลับทำท่าจะวิ่งมาหาหลินเป่ยเฉินดังเดิม
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อฟัง ข้าจะหักขาพวกเจ้าทิ้งเสีย”
“โฮ่ง!”
หมาป่าน้อยทั้งสองตัวส่งเสียงเห่าออกมาพร้อมกัน พวกมันสะดุดล้มหน้าคะมำกับพื้นดิน เพราะหยุดวิ่งอย่างกะทันหันมากเกินไป เมื่อลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง เจ้าลูกหมาทั้งสองตัวนั้นก็วิ่งกลับไปหาหมาป่าน้ำแข็งผู้ให้กำเนิดโดยไม่คิดขัดขืนอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความพอใจ
ไม่มีอะไรดีงามมากไปกว่าเด็กน้อยที่เชื่อฟังผู้ใหญ่
เขานำตัวเฉียนเหมยกับเฉียนเจินออกไปเดินเล่นนอกตำหนักไม้ไผ่
บัดนี้เป็นเวลาเย็นย่ำค่ำแล้ว
แต่ในลานประลองยุทธ์ของสถานศึกษากระบี่ที่สามยังคงมีผู้คนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น
ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาวหรือชายฉกรรจ์ต่างก็มาฝึกการต่อสู้ที่นี่
แม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังมีคนมาฝึกฝน
การรุกรานของชาวทะเลทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องพบกับความสูญเสียใหญ่หลวง
แต่มันก็ทำให้ชาวเมืองเกิดความสามัคคีมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่กองทัพส่งคนมาคัดเลือกนายทหารหน้าใหม่ไปเมื่อหลายเดือนก่อน ขณะนี้ ยังคงมีเด็กหนุ่มเด็กสาวมากกว่า 900 คนอาศัยอยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง
ถึงพวกเขาไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ก็ทำงานหนักอย่างเพียงพอ
การที่ทางจักรวรรดิเป่ยไห่ให้ความสำคัญกับการศึกษาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คุณภาพโดยรวมของเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
พวกเขาเป็นลูกศิษย์จากสถานศึกษาต่างๆ ที่อยู่ในตัวเมือง และขณะนี้ทุกค่ำคืน พวกเขาจะต้องมารวมตัวกันเพื่อฝึกซ้อมการต่อสู้ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม
ทุกคนต่างก็หวังจะพัฒนาฝีมือให้เร็วที่สุด ต่อให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็คงมากพอที่จะสามารถปกป้องครอบครัวของตนเองได้
ด้วยแรงขับเคลื่อนเช่นนี้เอง เด็กหนุ่มเด็กสาวจึงพัฒนาฝีมือได้เร็วมาก
ถึงพวกเขาไม่ใช่อัจฉริยะ ถึงไม่เคยได้รับการติดต่อจากสถาบันกระบี่ชื่อดัง ถึงพวกเขาจะถูกอาจารย์ของตนเองมองข้ามครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงพวกเขาจะต้องร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกกับความผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน…
แต่บัดนี้ ทุกคนล้วนมีสมาธิมุ่งมั่น
ตราบใดที่ยังไม่ตาย พวกเขาจะต้องพัฒนาฝีมือของตนเองให้แข็งแกร่งมากกว่านี้
พานเว่ยหมินกับหลิวฉีไห่รับหน้าที่เป็นอาจารย์คุมการฝึกซ้อม
ทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาคือสิ่งที่ชาวเมืองต้องการอย่างเร่งด่วน
ตัวอย่างเช่น…
มีการขนย้ายศิลาบูชาออกมาจากเหมืองใต้ดินในภูเขาเสี่ยวซีไม่เคยขาด
ศิลาเหล่านั้นเป็นชาวเมืองช่วยกันซื้อหาด้วยความเต็มใจ
ด้วยว่าปัจจุบันนี้ เหรียญทองคำไม่สามารถใช้เป็นเงินตราซื้อหาสินค้าในเมืองหยุนเมิ่งได้อีกต่อไป แม้แต่ขนมปังสักก้อนก็ซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับกับหลินเป่ยเฉิน เหรียญทองคำเหล่านี้ยังคงมีคุณค่าอยู่เช่นเดิม
เพราะเขาสามารถเอาไปซื้อของออนไลน์ได้นั่นเอง
เรื่องการรวบรวมเงินทอง เขาปล่อยให้เป็นหน้าที่หวังจงคอยจัดการ
ไม่มีใครสามารถเรียกเก็บเงินจากผู้อื่นได้ดีมากไปกว่าหวังจงอีกแล้ว
“คุณชายหลิน…”
“ศิษย์พี่หลิน”
“คารวะศิษย์พี่”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินเดินผ่านมา บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ส่งเสียงเรียกดังเกรียวกราว
สายตาที่พวกเขาจ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูน
ในขณะที่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์จำนวนมากมายเลือกเดินทางออกจากเมืองหยุนเมิ่งเพื่อไปมีชีวิตที่ดีกว่าในเมืองอื่น การดำรงอยู่ของหลินเป่ยเฉิน ณ ปัจจุบัน จึงทำให้อดีตเด็กหนุ่มจอมเสเพลกลายเป็นวีรบุรุษประจำใจของทุกคนไปโดยปริยาย
หลินเป่ยเฉินทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความปลอดภัย
หลินเป่ยเฉินทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความมั่นใจว่า…
หลินเป่ยเฉินผู้นี้จะไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาไปไหนเด็ดขาด
แต่เมื่อเห็นสายตาเคารพเทิดทูนของเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้แล้ว หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างไรชอบกล
เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนและพูดว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะมาประกาศให้รับทราบโดยทั่วกัน”
เพื่อให้สมกับความเคารพเทิดทูนที่ทุกคนมีให้เขา หลินเป่ยเฉินจึงพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่เคร่งขรึมของตนเองเอาไว้ “ข้าต้องการจะพาพวกเจ้าออกไปจากที่นี่ ออกไปจากดินแดนที่ถูกทำลายล้างโดยสมบูรณ์ ข้าจะพาทุกคนไปอาศัยอยู่ในที่ที่ไม่มีชาวทะเลอีกต่อไป… ไม่ทราบว่าพวกเจ้ายินดีไปกับข้าหรือไม่?”
เกิดความเงียบงันตามมายาวนาน
“ไปขอรับ”
“พวกเราจะติดตามศิษย์พี่หลินไปสุดหล้าฟ้าเขียว”
“ข้าน้อยยอมตายดีกว่าอยู่เป็นทาสพวกชาวทะเล”
บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวในลานประลองยุทธ์ยังคงจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเทิดทูนไม่เปลี่ยนแปลง
ในทางกลับกัน กลายเป็นคณะอาจารย์อย่างพานเว่ยหมินและหลิวฉีไห่ที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปโดยทันที
การอพยพผู้คนออกจากเมืองหยุนเมิ่งไปอยู่ในดินแดนที่ปกครองโดยจักรวรรดิเป่ยไห่ถือเป็นเรื่องที่ดี
แต่ก็จำเป็นต้องวางแผนการอย่างรอบคอบรัดกุมไม่ใช่หรือ?
หลินเป่ยเฉินทอดสายตามองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวพร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปแจ้งเรื่องนี้ต่อบิดามารดาของตนเอง ให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพครั้งใหญ่ ในอีกสามวันหลังจากนี้ พวกเราจะออกเดินทางไปพร้อมกัน”
ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
หากเป็นคนอื่นบอกเรื่องราวเหล่านี้ออกมา หลายคนคงเกิดคำถามอยู่ในใจ
แต่เมื่อคนที่พูดเรื่องนี้คือหลินเป่ยเฉิน
แม้แต่หลิวฉีไห่กับคณะอาจารย์คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าคัดค้าน
“ไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าให้กับทุกคนด้วยความมุ่งมั่น
ขบวนเด็กหนุ่มเด็กสาวส่งเสียงโห่ร้องและแยกย้ายกลับที่พักของตนเอง
หลิวฉีไห่และคณะอาจารย์เดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินพร้อมกับยิ้มฝืดฝืน
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?”
หลิวฉีไห่เป็นคนถามออกมา
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ ตอบว่า “อย่างน้อยก็ดีกว่ารอความตายอยู่ที่นี่ต่อไปขอรับ”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็กล่าวเสริมว่า “นี่คือคำสั่งจากเทพีกระบี่น่ะ”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดประโยคนี้ ความสงสัยในใจก็สลายหายไปทันที
“กราบเรียนอาจารย์ทุกท่าน ขอให้พวกท่านเตรียมตัวเดินทางให้รวดเร็วที่สุด การดูแลขบวนผู้คนระหว่างอพยพต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของพวกท่านแล้ว” หลินเป่ยเฉินว่า “ส่วนข้านั้นจะไปเจรจากับพวกชาวทะเลเอง”
เหล่าคณะอาจารย์แยกย้ายกันไปเตรียมตัวตามคำสั่ง
แม้ว่าเส้นทางการอพยพจะยากลำบากและอันตราย มันอาจจะเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อและหยดน้ำตา แต่เมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องกังวลถึงผลที่จะตามมาอีก
“ไปเตรียมรถม้า”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง “ข้าจะขึ้นไปที่ภูเขาเสี่ยวซี”
บรรดานายทหารที่เป็นคนงานเหมืองบนภูเขา ก็ควรต้องได้รับการปลดปล่อยออกมาเช่นกัน
กงกงเตรียมรถม้าอย่างรวดเร็วและนำตัวหลินเป่ยเฉินเดินทางขึ้นไปยังภูเขาเสี่ยวซี
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย