เมื่อมาถึงที่หมาย หลินเป่ยเฉินกระโดดลงจากห้องโดยสารของรถม้า แต่ก่อนที่จะได้เห็นหน้าอู๋เฟิ่งกู กลับกลายเป็นเหลียวหวังซูที่เดินเข้ามาขวาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่?”
ชายชราผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มกบฏใต้ดินพูดอย่างอารมณ์เสีย “ทำไมเจ้าถึงต้องประกาศการอพยพด้วย? เจ้ารู้ไหมว่ากำลังจะทำให้จักรวรรดิของเราสูญเสียผลประโยชน์ครั้งใหญ่ เจ้า…”
เห็นได้ชัดว่าเหลียวหวังซูเดือดดาลจนควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินมีความยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เพียงออกคำสั่งคำเดียว ชาวเมืองทุกคนก็พร้อมที่จะอพยพออกจากเมืองหยุนเมิ่งโดยทันที
แล้วแผนการที่เหลียวหวังซูอุตส่าห์วางเอาไว้ดิบดีจะบรรลุผลได้อย่างไร?
เขาอยากจะใช้ชีวิตของชาวเมืองหยุนเมิ่งเป็นเส้นทางเลือดสะพานกระดูก เพื่อสร้างความดีความชอบให้แก่ตนเองในการไต่เต้าอำนาจขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่า
แต่ทุกคนกลับเชื่อฟังหลินเป่ยเฉิน ไม่มีใครสนใจปฏิบัติตามคำสั่งของเหลียวหวังซูสักคนเดียว
ถึงในกลุ่มกบฏจะมีหลายคนที่ยอมรับฟังคำสั่งของเขา แต่สมาชิกในกลุ่มที่เป็นชาวเมืองหยุนเมิ่งโดยกำเนิด ก็เริ่มขัดขืนคำสั่งอย่างเห็นได้ชัด
และนั่นทำให้เหลียวหวังซูมั่นใจว่าแผนการของตนเองคงจะต้องพังทลายลงแน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความโกรธแค้นถึงขนาดนี้
“เจ้าตัวบัดซบ เจ้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของข้า” เหลียวหวังซูระเบิดเสียงคำราม “การอพยพในครั้งนี้ เจ้าจะพาคนไปตายเป็นจำนวนมากมายมหาศาล เจ้าคิดที่จะสร้างถนนเลือดสะพานกระดูกเพื่อสร้างชื่อเสียงและความดีความชอบให้แก่ตัวเอง เจ้าคิดที่จะใช้ชีวิตของทุกคนเป็นเกราะกำบังเพื่อให้ตนเองหนีรอด”
“ไม่ทราบว่าพูดจบแล้วหรือยัง?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าพูดจบแล้วก็ไสหัวไปซะ นี่คือโอกาสสุดท้ายของท่าน ข้าจะไม่สนใจท่านอีกต่อไป ครั้งหน้าขอให้ท่านชั่งน้ำหนักคำพูดของตนเองให้ดี เพราะกระบี่สายฟ้าในมือข้า มันอาจจะฟันไปที่ลำคอของท่านได้โดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่เชื่อ ลองเข้ามาพูดแบบเมื่อสักครู่นี้ใหม่อีกรอบก็ได้”
เหลียวหวังซูระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม “ข้าทนกับเจ้ามานานมากเกินพอแล้ว อย่าลืมสิว่าบิดาของเจ้าเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดี และแทนที่เจ้าจะสร้างความดีความชอบลบล้างความผิดให้แก่บิดา เจ้ากลับขัดขวางแผนการและทำลายผลประโยชน์ของจักรวรรดิ เจ้า… ข้าขอสั่งให้เจ้าไปถอนคำสั่งอพยพเมื่อสักครู่นี้เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นแล้ว…”
เพี๊ยะ!
เสียงสะบัดฝ่ามือดังสนั่น
เหลียวหวังซูลอยกระเด็นไปไกล
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาแทบฉีกขาดออกจากกัน
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว เขาหมุนตัวแล้วเดินตรงไปที่เหมืองใต้ดิน
เขาขี้เกียจจะพูดอะไรกับเหลียวหวังซูอีกแล้ว
เด็กหนุ่มก็ได้แต่หวังว่าการตบหน้าในครั้งนี้จะทำให้เหลียวหวังซูหูตาสว่าง เลิกคบคิดสร้างแผนการกับศัตรู และหันมาทำอะไรที่เป็นการรับใช้ประเทศชาติจริงๆ บ้าง
โครม! โครม! โครม!
เหลียวหวังซูลอยกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ล้มลงต้นแล้วต้นเล่า ก่อนที่เขาจะหมุนกลิ้งไปบนพื้นดินและหยุดแน่นิ่งในที่สุด
โลหิตไหลทะลักออกปากออกจมูก
ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น
“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ อีกไม่นานต่อจากนี้ เจ้าจะต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตจากข้า ฮ่าฮ่าฮ่า… คอยดูก็แล้วกัน เจ้าเด็กบัดซบ”
เหลียวหวังซูกัดฟันกรอด พูดพึมพำกับตัวเอง
ก่อนลุกขึ้นยืนและเดินโซเซจากไป
…
ดึกสงัด
หลินเป่ยเฉินใช้พลังปราณธาตุดินของตนเองขุดศิลาบูชาที่เหลืออยู่ในเหมืองหินขึ้นมาจนหมด
หลังจ่ายค่าอัพเกรดแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์เป็นศิลาบูชาจำนวน 1,000 ก้อน แอปเก็บไฟล์ออนไลน์ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการบรรจุศิลาบูชาจากเหมืองหินแห่งนี้ได้ทั้งหมด
ในคืนเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้นำสมุนไพรวิเศษที่เทพีกระบี่ไร้นามส่งมาให้ออกมาเตรียมใช้งาน
เขาสั่งให้กงกงไปตามตัวอานมู่ซีมาพบกลางดึก
“คุณชายหลินไปหาหญ้าดาราน้อยจากดินแดนทวยเทพมาได้อย่างไรขอรับ?”
เมื่ออานมู่ซีเห็นหญ้าดาราน้อยกับตาของตนเอง เขาก็กระโดดเข้าสวมกอดเด็กหนุ่มราวกับเป็นคนรักที่พลัดพรากกันไปนาน เสียงพูดของเขาสั่นเครือด้วยความตื่นเต้น
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้อานมู่ซีเริ่มต้นการหลอมโอสถปริศนาที่รับประทานแล้วจะไม่หิวอาหารขึ้นมาทันที
“นายท่านขอรับ นายทหารจากเมืองซินจินเหล่านั้นเตรียมตัวพร้อมแล้วขอรับ”
กงกงเดินเข้ามารายงาน
นายทหารชาวซินจินหลายพันคนถูกทิ้งอยู่ที่นี่เพื่อทำงานขุดเหมืองใต้ดิน
ทั้งๆ ที่ในอดีตพวกเขาเป็นถึงยอดนายทหารหน่วยจู่โจมฝีมือดี
และด้วยความที่ทำงานขุดเหมืองมาหลายเดือน ประกอบกับได้รับพลังจากศิลาบูชาที่อยู่รอบกายตลอดเวลา ร่างกายของนายทหารเหล่านี้จึงแข็งแรงกำยำมากกว่าเดิม ระดับพลังลมปราณก็สูงส่งมากขึ้นหลายเท่า กล่าวโดยสรุปก็คือ นายทหารกลุ่มนี้มีระดับพลังแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนราวกับเป็นคนละคน
เมื่อพวกเขาได้กลับมาสวมใส่ชุดเกราะของตนเองอีกครั้ง ทุกคนก็กลายเป็นกองพันทหารที่พร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที
“ข้าน้อยคารวะนายท่าน”
หัวหน้ากลุ่มนายทหารเมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาก็ส่งเสียงร้องตะโกนดังกังวาน
แล้วนายทหารใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นก็ส่งเสียงพร้อมกันสนั่นหู
เมื่อตระกูลหนี่ล่มสลายลงไปแล้ว พวกเขาที่มีสถานะเป็นนายทหารประจำตระกูลจึงรู้สึกเคว้งคว้างชีวิตไร้ความหมาย ทุกคนทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่โลกภายนอก ดังนั้น นายทหารหน่วยรบพิเศษเหล่านี้จึงรู้สึกดีใจมากที่หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะ ‘ใช้งาน’ พวกเขาสักที…
และด้วยการถูกล้างสมองจากหวังจง อู๋เฟิ่งกู ไปจนถึงเจ้าหนูอากวง นายทหารหน่วยรบพิเศษแห่งแคว้นซินจินจึงสาบานที่จะสละชีวิตให้แก่หลินเป่ยเฉินได้โดยไม่มีข้อแม้
หัวหน้ากลุ่มนายทหารเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายฉกรรจ์คนที่บอกว่ายินดีทำงานหนักเพื่อหลินเป่ยเฉิน สุดท้ายตัวเขาเองเลยต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่นถึงสามเท่า
หลังผ่านการทำงานหนักหลายเดือนโดยไม่หยุดพัก ชายฉกรรจ์ผู้นี้ซึ่งมีนามว่าจวงปู้โจวก็สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ และด้วยความที่ทำงานหนักเพื่อหลินเป่ยเฉินมากกว่าใคร เขาจึงได้รับตำแหน่งแม่ทัพผู้บังคับบัญชากลุ่มนายทหารด้วยการแต่งตั้งของหวังจง
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างพอใจและหันไปพูดกับอู๋เฟิ่งกู “ดำเนินการตามแผนได้”
อู๋เฟิ่งกูพยักหน้ารับคำด้วยความตื่นเต้น “รับทราบขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปตบไหล่แม่ทัพจวงปู้โจวพร้อมกับพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมาก”
จวงปู้โจวพลันประสานมือคำนับและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตราบใดที่ข้าน้อยได้รับใช้นายท่าน ต่อให้ตายข้าน้อยก็ไม่เสียใจเด็ดขาด”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองมาพร้อมยิ้มแย้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าพูดจริงหรือ?”
จวงปู้โจวหัวใจกระตุกวูบ แต่ก็จำต้องก้มหน้ากัดฟัน รับคำว่า “จริงแท้แน่นอนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม “เจ้าได้รับโอกาสนั้นแน่”
หลังจากนั้น กองทัพหน่วยจู่โจมก็ลงมือเคลื่อนย้ายข้าวของและเก็บกวาดสิ่งมีค่าทุกอย่างไม่ให้หลงเหลือตกไปถึงมือพวกชาวทะเลได้แม้แต่ชิ้นเดียว
…
ก่อนรุ่งสาง อานมู่ซีวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตามหาตัวหลินเป่ยเฉิน
“คุณชายขอรับ สำเร็จแล้วขอรับ สำเร็จแล้ว ฮ่าฮ่า”
เถ้าแก่ร้านขายยาชื่อดังถือยาลูกกลอนสีขาวเม็ดหนึ่งอยู่ในมือ พูดด้วยความกระตือรือร้นว่า “ข้าน้อยหลอมโอสถปริศนาได้แล้วขอรับ ฮ่าฮ่า อานุภาพของมันใช้ได้ดีกว่าก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า ข้าน้อยลองรับประทานดูแล้ว…”
“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความดีใจ
อานมู่ซีตอบว่า “หญ้าดาราน้อยที่คุณชายให้มามันมหัศจรรย์มากเลยขอรับ ทำให้อัตราการหลอมโอสถแทบไม่มีกากยาของเสียเลย มิหนำซ้ำ ยาลูกกลอนทุกเม็ดที่หลอมออกมา ยังจัดเป็นยาคุณภาพวิเศษอีกด้วย”
หลินเป่ยเฉินรับยาลูกกลอนจากมือของอานมู่ซีมากลืนลงคอ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานร้อนวูบที่ไหลไปตามแขนตามขา
เด็กหนุ่มรู้สึกอิ่มท้องขึ้นมาทันที
กำลังวังชาในร่างกายก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ
นี่ขนาดเขายังไม่ได้โคจรพลังลมปราณเพื่อกระตุ้นการทำงานของยาลูกกลอนให้อยู่ในระดับสูงสุด หลินเป่ยเฉินก็ยังพึงพอใจกับสรรพคุณในการชูกำลังของยาลูกกลอนเม็ดนี้แล้ว
“หากท่านและลูกศิษย์ของท่านช่วยกันหลอมโอสถขึ้นมาตลอดเวลา เถ้าแก่อานคิดว่าจะสามารถหลอมมากสุดได้กี่เม็ดในระยะเวลาสามวันนี้?”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างมีความหวัง
อานมู่ซีลองยกมือคำนวณดูเล็กน้อย ก็ตอบว่า “น่าจะได้ประมาณ 1,000 เม็ดขอรับ”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า “น้อยเกินไป แล้วถ้าให้กองทัพของจวงปู้โจวช่วยหลอมด้วยอีกแรงล่ะ?”
อานมู่ซีขมวดคิ้ว ตอบว่า “ทหารพวกนั้นไม่รู้จักวิธีหลอมโอสถนะขอรับ แต่ให้ช่วยงานที่มีความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ก็น่าจะพอประหยัดเวลาได้บ้าง และถ้าหญ้าดาราน้อยยังคงมีประสิทธิภาพเช่นนี้ พวกเราก็น่าจะหลอมโอสถปริศนาออกมาได้ประมาณสามถึงสี่พันเม็ดขอรับ”
“ประมาณสี่พันเม็ด?”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ “ก็ยังไม่พออยู่ดี”
อานมู่ซีกล่าวว่า “ระหว่างที่ข้าน้อยอยู่ในเมือง ได้ข่าวจากพวกคนหนุ่มคนสาวว่าคุณชายประกาศการอพยพแล้ว ข้าน้อยขอถามได้ไหมขอรับว่า ยาปริศนาที่คุณชายให้ข้าน้อยหลอมขึ้นมานี้ คุณชายตั้งใจเอาไว้ให้บรรดาเด็กๆ และคนเฒ่าคนแก่รับประทานระหว่างเดินทางอพยพใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว”
หัวใจของอานมู่ซีเกิดความซาบซึ้งและตื้นตันขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
หลังจากที่ตระกูลหลินล่มสลาย บิดาหนีหายไปด้วยสถานะผู้ร้ายหลบหนีคดี เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ก็เติบโตขึ้นมากแล้ว หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนแปลงจากเด็กเสเพลไม่เอาไหน กลายเป็นคนที่มีคุณธรรมจรรยาอันดีงาม และสามารถแบกรับภาระใหญ่หลวงอยู่บนบ่าของตนเองได้โดยไม่เกี่ยงงอน
มิหนำซ้ำ หลินเป่ยเฉินยังไปตามหาของวิเศษอย่างหญ้าดาราน้อยมาให้เขาใช้หลอมโอสถเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองอีก เมื่อเปรียบเทียบคุณงามความดีกับเด็กหนุ่มผู้นี้แล้ว อานมู่ซีก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงเศษฝุ่นธุลีในทะเลทรายเท่านั้น
เขาสูดหายใจลึกและกล่าวว่า “คุณชายยังไม่ได้ตั้งชื่อยาปริศนาชนิดนี้เลยนะขอรับ ไม่ทราบว่าคุณชายจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดี?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาวขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาพยายามนึกทบทวนพวกชื่อเท่ๆ ที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตบนโลกมนุษย์ “เอ่อ… ในเมื่อมันเป็นยาที่หลอมขึ้นมาในจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็เรียกมันว่าโอสถเป่ยไห่เหยาหวันก็แล้วกัน”
อานมู่ซีกะพริบตาปริบๆ
โอสถเป่ยไห่เหยาหวัน?
นี่หลินเป่ยเฉินต้องการจะสาปแช่งจักรวรรดิของตนเองหรืออย่างไร?
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย