บทที่ 61 กล้าลักพาตัวงั้นหรือ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือจำนวนที่มากมายขนาดไหน
เขาเก็บเข็มกลัดดาราในการแข่งขันครั้งนี้ได้เกือบทั้งหมด
ทำให้คนอื่นๆ ต้องคว้าน้ำเหลว
ทำให้หลินเป่ยเฉินยิ่งต้องทำตัวไม่ให้น่าสงสัยมากขึ้น
“จนกว่าจะจบการแข่งขัน ฉันจะทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
หลายวันที่ผ่านมา หลิงเฉินพยายามรบเร้าจะมาช่วยเขาฝึกวิชาพลังจิต แต่หลินเป่ยเฉินก็ปฏิเสธไปด้วยข้ออ้างว่าเขายังอ่านคัมภีร์ ‘พลังจิตขั้นพื้นฐาน’ ไม่จบ และถือเป็นโชคดีของเด็กหนุ่ม เพราะในยามที่เข้าตาจนทุกครั้ง อาจารย์หญิงวัยกลางคนจากสถานศึกษากระบี่หลวงก็จะปรากฏตัวและลากหลิงเฉินกลับที่พักไป เปิดโอกาสให้หลินเป่ยเฉินได้พบกับความสงบสุขอีกครั้ง
อาจารย์หญิงวัยกลางคนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าย่อมไม่ใช่อาจารย์ธรรมดา แม้แต่คนที่ได้รับความเคารพจากคนทั่วเมืองอย่างหลิงเฉิน ก็ยังไม่กล้ามีปัญหากับนาง
ติ๋ง! ติ๋ง!
เสียงหยดน้ำไหลหยดดังแผ่วเบา
หลินเป่ยเฉินเดินออกจากห้องอาบน้ำ มาถึงห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอาการเหนื่อยล้าและหิวโหย หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พาร่างที่อ่อนระโหยของตนเองมายืนตรวจสอบคะแนนที่แท่นหิน
แวบแรกที่เห็น เขาตกใจไม่ใช่เล่น
“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย? ทำไมวันนี้มีคนตกรอบเยอะจัง? ตกรอบวันเดียวสามสิบกว่าคนเลยเหรอ? เอาแล้วไง ทำไมถึงได้รีบตกรอบกันแบบนี้ล่ะเฮ้ย ฉันยังไม่ได้ตักตวงผลประโยชน์จากพวกนายเลยนะ! เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ”
หลังจากสบถคำหยาบอยู่ในใจนานสองนาน หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับความจริง
“เอาน่ะ อย่างน้อยก็เหลืออยู่อีกหกสิบกว่าคน”
เด็กหนุ่มจ้องมองที่แท่นหินต่อไป
ตรงส่วนของลำดับคะแนน หลิงเฉินยังอยู่อันดับหนึ่ง นางในขณะนี้ตามหาเข็มกลัดดาราได้แล้ว 7 ชิ้น
ส่วนเซินเฟยยังคงได้ 2 ชิ้นอยู่เท่าเดิม
หลี่เทากับเถาว่านเฉิงก็ยังมีเพียงคนละชิ้น
ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ล้วนมือเปล่า
หลินเป่ยเฉินอดหัวเราะออกมาไม่ได้
สุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าตนเอง
หลินเป่ยเฉินหัวเราะจนตัวโยน
“ฮ่าฮ่า ในที่สุด เจ้าก็รู้แล้วใช่ไหมว่ามันน่าอายขนาดไหน แม้แต่เข็มกลัดสักชิ้นเจ้าก็หาไม่เจอ ยังทำคะแนนไม่ได้สักแต้มอย่างนี้ คงไม่มีหน้ามองใครได้อีกแล้วกระมัง?”
เสียงของเถาว่านเฉิงพลันดังมาจากข้างกาย
“ใช่ ข้า…อับอายเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินยังคงยกมือปิดบังใบหน้าตัวเองอยู่
เถาว่านเฉิงหัวเราะในลำคอ ก่อนพูดว่า “คิดเสียใจตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว พรุ่งนี้เป็นการแข่งขันวันสุดท้าย เจ้าจงเตรียมใจเอาไว้ให้ดีเถิด ต่อให้เป็นอู๋เสี่ยวฟางคนที่เจ้าดูถูกดูแคลน อย่างน้อยเขาก็เข้าสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ…และข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจมากกว่านั้น คอยดูก็แล้วกัน”
ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาทางซ้ายมือ
“อย่าเสียใจไปเลย หลินเป่ยเฉิน บางทีวันพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันของเจ้าก็ได้” เสียงของหลี่เทาพลันดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของเขา “อันที่จริงแล้ว เจ้าน่าจะลองคิดถึงข้อเสนอของข้า พวกเรามาร่วมมือกันดีหรือไม่? ข้าอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าจริงๆ นะ”
หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งปิดหน้าตัวเอง อีกมือหนึ่งโบกปฏิเสธพัลวัน เป็นสัญญาณบอกหลี่เทาว่าอย่ามายุ่งกับเขาเลย
ถ้าหากหลี่เทายังรบเร้าเขาต่อ หลินเป่ยเฉินก็กลัวใจตัวเองว่าจะอดใจไม่ไหว ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้ว และถ้าเป็นอย่างนั้น เขาได้หางโผล่กันพอดี
“หึหึ ไม่เป็นไร ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” หลี่เทาพูดด้วยความเสียดาย “ถ้าเกิดเจ้าร่วมมือกับข้า เจ้าจะได้ประโยชน์มากมาย ตอนนี้แม้แต่มู่ซินเยว่ก็มีโอกาสดีที่จะได้เข้ารอบ 20 คนสุดท้ายแล้ว หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันดื้อรั้นมากเกินไป ข้าได้แต่หวังว่าเมื่อการแข่งขันจบลง เจ้าคงไม่เสียใจมากเกินไปนัก”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มจากสถานศึกษากระบี่หลวงทั้งสองคนก็เดินจากไป
หลินเป่ยเฉินยกสองมือปิดบังใบหน้าตัวเอง ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ก่อนที่มือของใครคนหนึ่งจะวางลงบนบ่าของเขา
ที่แท้ก็เป็นติงซานฉือเดินเข้ามาปลอบใจเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงสงสารสุดหัวใจว่า “ไม่เป็นไร ถึงเจ้าจะหาเข็มกลัดไม่เจอสักชิ้น แต่ก็อย่าร้องไห้ไปเลย”
หลินเป่ยเฉินพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ เขาอยากจะอธิบายสักเล็กน้อย แต่เสียงที่ออกจากลำคอ มันช่างชวนให้รู้สึกน่าอนาถมากกว่าเดิมเสียอีก “คือว่าข้า…พรืด…ข้า…ไม่นะ…ข้าไม่เป็นไรขอรับ…”
เมื่อติงซานฉือได้ยินน้ำเสียงของเขา ก็ยิ่งปวดใจมากขึ้น
อาจารย์ชรากล่าวว่า “ไม่เป็นไร อาจารย์จะไม่กดดันเจ้าอีกแล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เจ้าจะเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเพิ่งจะเข้าร่วมการสอบรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก วิชาที่ติดตัวเจ้ามาก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ‘กระบี่สามท่าขั้นพื้นฐาน’ ท่าไม้ตายก็มีเพียงกระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อย เอาเป็นว่าเรากลับไปถึงสถาบันเมื่อไหร่ อาจารย์จะเลื่อนให้เจ้าขึ้นไปเรียนชั้นปีที่ 3 เพื่อศึกษาศิลปะการต่อสู้ให้มากกว่านี้ นอกจากนั้น เจ้าจะได้ฝึกพลังจิต มันจะช่วยให้เจ้าสามารถหลอมรวมพลังทั้งภายนอกและภายในเป็นหนึ่งเดียว เจ้าจะได้กลายเป็นจอมยุทธ์ตัวจริง และเมื่อการสอบรอบสุดท้ายครั้งต่อไปมาถึง เจ้าก็จะเป็นดาวเด่นที่สว่างสดใสมากที่สุดของการแข่งขันแล้ว”
“อาจารย์ติง ท่านเป็นตัวแทนอาจารย์จากสถาบันของเรา ทำแบบนี้ไม่คิดว่าตนเองลำเอียงมากเกินไปหน่อยหรือ?”
เสียงของมู่ซินเยว่ดังขึ้น
“ถ้าจบการแข่งขันครั้งนี้เมื่อไหร่ ข้าจะเขียนจดหมายร้องเรียนกับทางสถาบัน อาจารย์ติง ข้าคิดว่าท่านลำเอียงมากเกินไป ท่านไม่สมควรเป็นอาจารย์ในสถาบันของพวกเราอีกแล้ว” จังหวะนั้น เสียงของอู๋เสี่ยวฟางก็ดังขึ้นเช่นกัน
“จะไปไหนก็ไป อย่ามาสร้างความวุ่นวายแถวนี้”
ติงซานฉือพลันตวาดออกมาทันที
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อาจารย์ชราไม่ค่อยประทับใจผลงานของศิษย์อัจฉริยะทั้งสองคนนี้เท่าไหร่เลย
“คิดแล้วเชียว ตอนนี้ท่านดูถูกพวกข้าไปเถอะ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้เสียก่อน ผลการแข่งขันออกมาเป็นอย่างไร เดี๋ยวพวกเราได้เห็นดีกันแน่ ตอนที่ข้าสามารถเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ หวังว่าอาจารย์จะกล้าพูดกับเราด้วยน้ำเสียงแบบนี้ต่อไปก็แล้วกัน”
มู่ซินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลังจากนั้น นางกับอู๋เสี่ยวฟางก็เดินจากไป
ติงซานฉือหันมาปลอบใจหลินเป่ยเฉินอยู่อีกพักใหญ่
“ไม่เป็นไรขอรับอาจารย์ติง ข้ายังไหว”
หลินเป่ยเฉินลดมือลงจากใบหน้าเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้ร้องไห้ จากนั้นจึงได้เดินโซเซกลับไปยังกระโจมที่พักของตนเอง
เด็กหนุ่มเพิ่งได้รู้วันนี้เองว่า การกลั้นหัวเราะนี่มันยากกว่าการกลั้นอุจจาระหลายเท่าตัว
ในขณะนี้ เยว่หงเซียงจัดแจงล้างผลไม้ป่าและนำมาวางไว้ที่ห้องพักชั้นนอกของกระโจมเรียบร้อยแล้ว
นี่คือความเป็นจริงที่เป็นไป
นี่คือความเข้าใจระหว่างพวกเขาโดยไม่ต้องพูดอะไร
หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาหาอาหาร อาศัยรับประทานผลไม้ป่าของเยว่หงเซียงดับความหิวโหยมาตลอดหลายวัน
เยว่หงเซียงบอกว่านางทำไปเพื่อตอบแทนที่เขาให้นางรับประทานไก่ย่างในคืนนั้น
ในเมื่อนางบอกว่าเป็นเพราะตอบแทนบุญคุณเรื่องไก่ย่าง
เขาก็ไม่ควรต้องคิดอะไรมาก จริงไหม?
เนื่องจากตั้งแต่เริ่มการแข่งขันมาจนถึงตอนนี้ มู่ซินเยว่กับอู๋เสี่ยวฟางไม่เคยมาปรากฏตัวยังกระโจมที่พักแห่งนี้เลยสักครั้ง หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงจึงต้องอยู่เพียงลำพังสองต่อสอง พวกเขาจะพูดคุยกันบ้างก็เพียงเล็กน้อย จึงทำให้มีบรรยากาศที่คุ้นเคยกันมากขึ้นทุกทีแล้ว
ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยตลอดทั้งคืน
วันต่อมา พระอาทิตย์ส่องแสงสว่าง ท้องฟ้าใสกระจ่าง
หลินเป่ยเฉินเดินทางเข้าป่าตั้งแต่เช้าตรู่
ทว่าหลังจากออกจากค่ายพักมาได้ประมาณสองลี้กว่า เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก
ปรากฏว่าอู๋เสี่ยวฟางเดินมายืนขวางทางเขาหน้าตาเฉย
“ถอยไปซะ ข้าไม่มีเวลามาเสียกับเจ้า” เมื่อเห็นหน้าเจ้าหมอนี่ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ได้โปรดอย่าทำให้ข้าเสียเวลา มิเช่นนั้น ข้าจะตัดร่างเจ้าให้เป็นชิ้นๆ เข้าใจหรือไม่?”
ถ้าไม่ติดว่าวันนี้เขาจำเป็นต้องรีบไปตามหาเข็มกลัดชิ้นที่เหลืออยู่ หลินเป่ยเฉินก็อยากจะแก้แค้นอู๋เสี่ยวฟางแบบทบต้นทบดอก เพื่อสอนบทเรียนครั้งสำคัญให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดอยู่เหมือนกัน
อู๋เสี่ยวฟางไม่ได้มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ ยังหัวเราะเยาะกลับมาอีกว่า “เจ้าคนแซ่หลิน คิดหรือว่าข้ามาที่นี่เพื่อล้อเล่นกับเจ้า? เหอเหอ เจ้ารู้ไหมว่านี่คืออะไร?”
ในมือของอู๋เสี่ยวฟางขณะนี้ ปรากฏปิ่นปักผมชิ้นหนึ่ง
ปิ่นปักผมสีดำเหมือนน้ำหมึก
ปิ่นปักผมราคาถูก ไม่มีคุณค่าให้สนใจ
แต่สีหน้าของหลินเป่ยเฉินเปลี่ยนแปลงไปทันที เพราะเขาจำได้ดีว่านี่คือปิ่นปักผมของเยว่หงเซียง
เด็กหนุ่มมองหน้าอู๋เสี่ยวฟางตาขวาง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
อีกฝ่ายยิ้มตอบด้วยความเยือกเย็น “ข้ารู้ว่าในระยะหลัง เจ้ากับน้องเยว่เริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว อิอิ หลินเป่ยเฉิน เจ้าคงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับน้องเยว่หรอกใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงตามข้ามาแต่โดยดีจะดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกจากฝักไม่พูดอะไร
เช้ง!
กระบี่สาดประกายแวววาว
“โอ๊ย นี่เจ้า…”
อู๋เสี่ยวฟางร้องเสียงหลง รู้สึกวิงเวียนศีรษะ รู้ตัวอีกทีขาของตนเองก็โดนกระบี่เสียบแทงแล้ว
คมกระบี่ยาวเจาะทะลุกล้ามเนื้อ เลือดเป็นสายไหลทะลักออกมา อู๋เสี่ยวฟางสูญเสียการทรงตัว ล้มลงไปบนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินกระโดดเข้าไปกระทืบบาทาไม่รอช้า
“กล้าลักพาตัวงั้นหรือ?”
“ให้ข้าตามเจ้าไปเนี่ยนะ?”
“ครอบครัวเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่มือปราบ คิดจะจับตัวใครก็ได้หรือไง?”
“สุนัขรับใช้อย่างเจ้า มีดีแค่เพียงเลียแข้งเลียขาเจ้านาย กับทำร้ายเพื่อนร่วมสถาบันเท่านั้นหรือ?”
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงร้องโหยหวนของอู๋เสี่ยวฟางก็เริ่มแหบแห้งแล้ว
เด็กหนุ่มร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดว่า “หยุดก่อน ได้โปรดหยุดก่อน ให้โอกาสข้าได้พูดสักนิด ข้ามีอะไรจะบอก…”