หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนยอดเขาสูงลูกหนึ่ง และเหลียวหน้ามองกลับไปข้างหลัง
ผู้คนที่อยู่ในเมืองยังอพยพกันไม่เสร็จสิ้น
เขาล้มเลิกความคิดที่จะยิงมังกรตัวนั้น
เพราะกระสุนปืน 98k มีราคาแพงมากเกินไป
เมื่อจับเหลียวหวังซูโยนเข้าไปอยู่ในบ้านร้างหลังหนึ่งเรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เดินตรงเข้าไปดักหน้ากองทัพชาวทะเลเพียงลำพัง
มังกรเขียวตัวนั้นยังคงบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงรังสีการฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากจวนผู้ว่าหลังใหม่อย่างชัดเจน
เขารู้ดีว่าหญิงชราหลังค่อมผู้เรียกตัวเองว่านักบวชหรงคนนั้น เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังแผนการร้ายทั้งหมดนี้ นางพยายามสร้างโอกาสให้ตนเองได้แสดงพลังออกมาและกำจัดชาวเมืองหยุนเมิ่งออกไปให้พ้นทาง…
กองทัพชาวทะเลเชื่อฟังนางเป็นอย่างดี
นี่ทำให้หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตัวตนของนักบวชหรงต้องมีสถานะสูงส่ง
แทบจะไม่ต่างไปจากเทพเจ้า
สำหรับกับหลินเป่ยเฉิน ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะรู้สึกดีมากกว่าตอนที่ได้แอบอ้างชื่อของเทพเจ้าและออกคำสั่งกับผู้คนอีกแล้ว
นักบวชหรงก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
หลินเป่ยเฉินอยากจะแสดงตัวออกไปในฐานะตัวแทนของเทพีกระบี่
แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าเขายังมีภารกิจช่วยเหลือฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงออกมาจากเงื้อมมือของพวกชาวทะเลให้ได้ หลินเป่ยเฉินไม่อยากฝากความหวังเอาไว้ที่ดาวนำโชคซึ่งเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความเป็นไปได้ที่นักบวชหรงจะไม่ยอมรับอำนาจของมันเมื่ออยู่ในมือของเขา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขึ้นมา หลินเป่ยเฉินก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองสมควรแก้ไขสถานการณ์อย่างไรดี
เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงต้องมั่นใจเสียก่อนว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ก่อนที่เขาจะนำเครื่องรางดาวนำโชคออกมาแสดงให้ทุกคนเห็น
เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ต่อให้นักบวชหรงไม่อยากยอมรับอำนาจของมันที่อยู่ในมือเขา นางก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ความจริง หลินเป่ยเฉินเคยคิดที่จะมอบเครื่องรางดาวนำโชคให้แก่องค์หญิงแห่งท้องทะเล และขอให้นางช่วยออกหน้าแก้ไขสถานการณ์ทั้งหมด
นั่นคือหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เลิกล้มความคิดนี้ไป
เพราะเขาอยากกำหนดโชคชะตาด้วยมือของตนเองมากกว่า
และบัดนี้ สิ่งที่หลินเป่ยเฉินกำลังทำอยู่ก็คือการช่วยซื้อเวลาให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งได้มีเวลาอพยพกันต่ออีกเล็กน้อย
เพียงให้พวกเขาเดินทางไปถึงภูเขาเสี่ยวซีอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว
หลินเป่ยเฉินวิ่งลงไปบนถนน
หลังจากนั้น ตัวของเขาก็กระโดดจมหายลงไปใต้ดิน ไม่ต่างจากปลาที่กระโดดลงใต้ผิวน้ำ
นี่คือการใช้ความสามารถในการดำดินของเขา
หลินเป่ยเฉินกำลังเฝ้าสังเกตสภาพแวดล้อมจากใต้ดิน
เมื่อกองทัพชาวทะเลเคลื่อนกระบวนพลมาถึง เด็กหนุ่มก็ยื่นมือขึ้นไปแตะผิวดิน และปลดปล่อยพลังปราณธาตุดินออกไปอย่างรุนแรง
คลื่นพลังเหล่านั้นพวยพุ่งขึ้นไปบนผิวดิน
หลังจากนั้น บรรดานักรบชาวทะเลที่ขี่ม้าน้ำยักษ์นำมาด้านหน้า ก็ตัวลอยกระเด็นกลับไปโดยไม่มีสัญญาณเตือน
โครม! โครม! โครม! โครม!
นักรบชาวทะเลอีกหลายนายล้มคะมำลงไปกับพื้นดินพร้อมด้วยม้าน้ำยักษ์คู่ใจ เพราะควบขี่พวกมันมาด้วยความเร็วที่มากเกินไป
เมื่อล้มลงไปกระแทกพื้นดิน พวกมันกลับรู้สึกว่าพื้นดินมีความแข็งไม่ต่างจากเหล็กกล้า เมื่อล้มลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว หลายตัวจึงกระดูกแตกหักและหมดสติไปในทันที…
บรรดานักรบที่ขี่ม้าน้ำยักษ์ตามมาด้านหลังชะลอความเร็วไม่ทัน จึงชนเข้ากับบรรดาเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ล้มลงอยู่ด้านหน้า
จากนั้นจึงตามมาด้วยความชุลมุนวุ่นวาย
ฝุ่นตลบ
ในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นผงบดบังทัศนวิสัย
ขบวนกองทัพม้าน้ำยักษ์ของนักรบชาวทะเลล้มลงกลิ้งกระเด็นตัวแล้วตัวเล่า
นอกจากพวกมันจะวิ่งชนกันเองแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญก็คืออยู่ดีๆ บนพื้นดินก็ปรากฏรากไม้งอกยาวขึ้นมาในเวลาเพียงพริบตาเดียว
นักรบชาวทะเลทั้งมึนงงสับสนไม่เข้าใจ ตั้งรับไม่ทันกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ฝุ่นผงในอากาศก็ยิ่งกระจายตัวหนาแน่นมากเท่านั้น เสียงการล้มลุกคลุกคลานของนักรบชาวทะเลยังคงดังอย่างต่อเนื่อง และม่านหมอกฝุ่นก็เริ่มคืบคลานตรงไปยังทิศทางของสะพานโครงกระดูกแล้ว…
“มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…”
“พวกเราได้โปรดระมัดระวังตัว นี่ต้องเป็นการโจมตีจากศัตรูแน่”
“หรือว่าจะเป็นค่ายอาคมของพวกมนุษย์? พวกเรารีบถอย”
“กลับไปแจ้งท่านแม่ทัพก่อนดีกว่า…”
หลายเสียงร้องตะโกนด้วยความแตกตื่น
แต่หลังจากนั้น พวกชาวทะเลก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
บรรดาชาวทะเลผู้ใช้ค่ายอาคมกว่าสิบชีวิตได้มารวมตัวกันภายใต้การคุ้มครองของกลุ่มนักรบดาวทะเลและนักรบเต่าทะเลผู้ใช้ค่ายอาคมพร้อมใจกันบริกรรมคาถาสร้างละอองน้ำขึ้นมาในอากาศกลายเป็นม่านพลังสีฟ้าใส ม่านพลังเหล่านั้นเคลื่อนที่ออกมาข้างหน้ากำจัดเศษฝุ่นละอองและม่านหมอกที่บังตา ม่านพลังวารีเหล่านี้มาพร้อมกับพลังทำลายล้างสิ่งแปลกปลอมที่แแทรกซึมอยู่ใต้พื้นดิน…
หลินเป่ยเฉินซึ่งกำลังดำดินอยู่ในขณะนี้รับรู้ได้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา จึงต้องรีบล่าถอยด้วยความเร็วไว
ไม่กี่ลมหายใจต่อจากนั้น ตรงพื้นดินซึ่งเขาเคยซ่อนตัวอยู่ก็กลับกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว
ม่านพลังน้ำแข็งเหล่านั้นจะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง
หากไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินสามารถหลบหนีออกมาได้รวดเร็วทันเวลา เขาก็คงถูกแช่แข็งและตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว
ผู้ใช้ค่ายอาคมของชาวทะเลไม่สามารถประมาทฝีมือได้เลยจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีกันเป็นกลุ่ม หลินเป่ยเฉินก็ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตรงข้ามที่มี ‘ความสามารถ’ แตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป…
เดี๋ยวก่อนนะ
หลินเป่ยเฉินนึกอะไรขึ้นมาได้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็ฝึกความสามารถมาหลายอย่างเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็โคจรพลังปราณธาตุดินอีกครั้ง
วูบ!
แล้วพื้นดินที่อยู่ใต้เท้าของบรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมชาวทะเลก็ยุบหายไปโดยไม่มีสัญญาณเตือน
ราวกับเกิดเหตุการณ์ธรณีสูบ
กลุ่มองครักษ์ที่เป็นนักรบดาวทะเลและมนุษย์เต่าทะเลตกลงไปในหลุมดินนั้น
แต่บรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว พวกมันจึงลอยตัวขึ้นไปกลางอากาศ ไม่ได้ตกลงไปในหลุมดินแต่อย่างใด
หลินเป่ยเฉินเมื่อเห็นว่าตนเองลอบโจมตีไม่สำเร็จ ก็ต้องรีบหลบหนีออกมา
หลังจากนั้น ตำแหน่งที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ก็กลายเป็นแผ่นดินน้ำแข็งไปทันที
หลินเป่ยเฉินดำดินออกมาได้เป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร จากนั้น เขาก็กระโดดขึ้นไปบนผิวดิน
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เกิดเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
นั่นเป็นเสียงการยิงกระสุนของปืนอินทรีหิมะผ่านที่เก็บเสียงปลายกระบอกปืน
รอบร่างกายของผู้ใช้ค่ายอาคมชาวทะเลในขณะนี้ เป็นม่านพลังเวทมนต์สำหรับการสร้างค่ายอาคมน้ำแข็ง พวกมันไม่มีประสิทธิภาพป้องกันการโจมตี กระสุนลำแสงจากปืนอินทรีหิมะจึงสามารถทะลวงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย และระเบิดอวัยวะบนร่างกายผู้ใช้ค่ายอาคมชาวทะเลแตกกระจายเป็นม่านหมอกเลือด!
แต่ก็ทำให้พวกมันเพียงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงแก่ความตาย
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ออกมาไม่น้อย แต่เขาก็ยังมีสติดีพอที่จะถอยหนีออกมาได้ทันเวลา
แน่นอนว่าลมหายใจต่อมา ตำแหน่งที่เขาเคยยืนอยู่ก็กลายเป็นแผ่นดินน้ำแข็งไปแล้ว
พื้นดินกลายเป็นน้ำแข็งในเวลาอันรวดเร็วน่าตกใจ
“ผู้ใช้ค่ายอาคมเหล่านี้ พอรวมตัวกันแล้วพลังก็ยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้น ไม่รู้เหมือนกันนะว่าผู้ใช้ค่ายอาคมมนุษย์ของพวกเราจะสามารถต่อกรกับพวกมันได้หรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นใจขึ้นมาชอบกล
เขาถอยหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
ได้ยินเสียงกองทัพม้าน้ำยักษ์ติดตามมาด้านหลัง
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือลงไปคว้าจับต้นหญ้าบนพื้นดิน
ทันใดนั้น รากไม้และเถาวัลย์ที่เหี่ยวแห้งเพราะอากาศหนาวก็กลับมาเขียวขจีมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในเวลาเพียงพริบตาเดียว พื้นที่รอบกายเด็กหนุ่มหลายร้อยวาก็เต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม รากไม้และเถาวัลย์เหล่านั้นลอยตัวขึ้นไปในอากาศไม่ต่างจากงูเหลือมสีเขียวสด ก่อนที่พวกมันจะพุ่งตรงเข้าไปเล่นงานบรรดานายทหารชาวทะเลที่ไล่ตามมา…
บังเกิดเสียงร้องโหยหวน
นายทหารชาวทะเลจำนวนมากถูกเถาวัลย์เหล่านั้นฉีกกระชากร่างกายขาดออกจากกัน
ครืน!
ทันใดนั้นพื้นดินสั่นสะเทือน
แล้วมนุษย์ฉลามวาฬตัวหนึ่งก็กระโดดออกมาข้างหน้า
มันกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงไปบนพื้นดินอย่างรุนแรง
พลังงานที่บริสุทธิ์ไหลเวียนออกมารอบทิศทาง
กิ่งไม้และเถาวัลย์ที่เกิดขึ้นจากพลังของหลินเป่ยเฉินพลันกระจัดกระจายหายไปด้วยคลื่นพลังงานเหล่านี้
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์อย่างไม่อยากเชื่อ
อีกฝ่ายคงเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์ชาวทะเล
ดูจากระดับพลังแล้ว มนุษย์ฉลามวาฬตัวนี้ คงมีฝีมือไม่ต่ำกว่าแม่ทัพฉลามอู๋หยาเป็นแน่แท้
บรรดาชาวทะเลที่ขึ้นมาจากโลกใต้สมุทรเหล่านี้ นับว่ามีขุมกำลังที่น่าหวาดกลัวเหลือเกิน
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดการทำสงครามครั้งแรกระหว่างจักรวรรดิเป่ยไห่กับชาวทะเลถึงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ และพวกเขาก็เกือบจะสูญเสียมณฑลเฟิงอวี่ไปเลยทีเดียว
หลินเป่ยเฉินยังคงล่าถอยอย่างต่อเนื่อง
เด็กหนุ่มใช้ทุกวิถีทางเพื่อสกัดขัดขวางผู้ติดตามให้ได้มากที่สุด
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย