ในเวลาเดียวกันนั้นบนท้องฟ้า
“นับเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง”
ในดวงตาของนักบวชหรงแสดงความชื่นชมออกมาโดยไม่รู้ตัว
“แต่โชคร้ายที่เมื่อไม่มีประโยชน์กับข้า ข้าก็มีแต่ต้องฆ่าเขาเท่านั้น”
นางถอนหายใจออกมา
“ท่านนักบวชขอรับ ในเมื่อท่านเองก็ชื่นชมหลินเป่ยเฉิน เหตุไฉนถึงไม่ลองเกลี้ยกล่อมเขาดูเล่า?”
ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียนส่งเสียงพูดขึ้นมาจากด้านหลัง “ต่อให้เด็กคนนี้จะเป็นบุคคลเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ปราศจากยางอาย และไม่มีศีลธรรมในบางครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าจุดอ่อนของเขา ก็คือความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อชาวเมืองหยุนเมิ่งมากเกินไป ถ้าเราสามารถใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ เขาก็ต้องอยู่ในกำมือของท่านนักบวชอย่างแน่นอน”
“เจ้าคิดผิดแล้ว บุคคลเดียวที่จะสามารถเกลี้ยกล่อมเด็กคนนี้ได้ ย่อมไม่ใช่ข้าเด็ดขาด”
นักบวชหรงส่ายศีรษะและตอบเสียงเบาราวกระซิบ “ข้าไม่มีวันทำสิ่งใดที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด เด็กหนุ่มอัจฉริยะอย่างหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่จะปีกกล้าขาแข็งไปมากกว่านี้ เราต้องรีบกำจัดเขาทิ้งไปให้เร็วที่สุดเสียดีกว่า ห้ามเปิดโอกาสให้เขาได้เติบโตขึ้นมาเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้ว หากเรารับตัวเขามาดูแลและมอบโอกาสให้เขาได้เติบโตมากกว่านี้ ไม่ช้าก็เร็ว อาณาจักรใต้ทะเลของพวกเรา ก็คงถึงคราวอวสานเป็นแน่แท้”
ที่ปรึกษาเต่าทะเลกุยเหนียนไม่ตอบรับคำใด
มันคิดไม่ถึงเลยว่านักบวชหรงจะประเมินหลินเป่ยเฉินไว้สูงส่งถึงขนาดนั้น
“ถ้าอย่างนั้น เหตุไฉนท่านนักบวชไม่ถือโอกาสนี้ฆ่าเขาทิ้งเลยล่ะขอรับ?”
มนุษย์เต่าทะเลถามออกมาอีกครั้ง
บัดนี้ พวกมันกำลังยืนอยู่บนแผ่นหลังมังกรเขียว สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลินเป่ยเฉินกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการเดินขบวนทัพชาวทะเล
หลินเป่ยเฉินแทบไม่มีเวลามาระวังการโจมตีจากฟากฟ้าด้วยซ้ำ
หากออกคำสั่งให้มังกรเขียวโจมตี รับรองว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางหนีรอดอีกแล้ว
มุมปากของนักบวชหรงบิดตัวเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ต่างจากรอยยิ้มของแมวที่กำลังไล่จับหนูด้วยความสนุกสนาน
สำหรับในสายตาของนาง หลินเป่ยเฉินมีค่าไม่ต่างจากปลาน้อยที่กำลังดิ้นรนออกจากบ่อน้ำตื้นเขิน ต่อให้เขาทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งการเดินขบวนของกองทัพชาวทะเล แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว กองทัพของชาวทะเลรุกคืบเข้าใกล้ภูเขาเสี่ยวซีทีละเล็กทีละน้อย ความพยายามของหลินเป่ยเฉินอย่างไรเสียก็มีจุดจบไม่แตกต่างไปจากเดิม ความทุ่มเทของเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป
กองทัพชาวทะเลก็สามารถปิดล้อมภูเขาเสี่ยวซีได้ทุกทิศทุกทาง
บรรดาผู้ใช้ค่ายอาคมของชาวทะเลปรากฏตัวขึ้นมาสร้างม่านพลังปิดล้อมรอบด้าน
อสูรกายจากใต้ทะเลลึกที่มีความสูงยิ่งกว่ากำแพงเมืองรับหน้าที่อารักขาเส้นทางทุกสายที่มีอยู่รอบภูเขาเสี่ยวซีด้วยความดุร้าย
เมื่อมองลงมาจากด้านบน ก็จะเห็นกองทัพชาวทะเลแบ่งแยกออกเป็นชั้นๆ คมกระบี่และกรงเล็บของพวกมันสะท้อนประกายแวววาว ดูสวยงามและน่าตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
นักบวชหรงยืนอยู่บนหัวมังกรเขียว ควบคุมสัตว์เลี้ยงคู่ใจให้บินมาอยู่เหนือภูเขาเสี่ยวซี
“ช่างเป็นมนุษย์ที่น่าสงสารยิ่ง”
นางพูดออกมา เสียงพูดของนักบวชหรงก้องกังวานไปทั่วหุบเขาราวกับเสียงคลื่นสึนามิซัดถล่ม
หญิงชราหลังค่อมกล่าวต่อไปว่า “พวกเจ้าควรถวายตัวเป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแต่โดยดี แต่พวกเจ้ากลับปฏิเสธและคิดต่อสู้ ซ้ำยังพยายามหลบหนีออกจากเมืองหยุนเมิ่ง ความผิดของพวกเจ้าในครั้งนี้… ใหญ่หลวงนัก!”
เสียงพูดของนักบวชหรงดังกระหึ่มเหนือภูเขาเสี่ยวซี ก้อนเมฆบนท้องฟ้าสลายหายไป ไม่ต่างจากการปรากฏตัวของเทพเจ้า ซึ่งกำลังจะลงมาจากสวรรค์เพื่อพิพากษาคนบาป
“พวกเจ้าโจมตีนักรบชาวทะเล…”
“พวกเจ้าช่วยเหลือและสนับสนุนการก่อกบฏ”
“นั่นคือสิ่งที่ขัดต่อความปรารถนาของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล”
“เทพเจ้าแห่งท้องทะเลมักเมตตาสาวกของตนเองเสมอ แต่สำหรับผู้ที่เป็นศัตรูแล้ว เทพเจ้าแห่งท้องทะเลไม่เคยมีความเมตตาให้แม้แต่นิดเดียว”
“พวกเราอุตส่าห์ยอมรับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเช่นมนุษย์อย่างพวกเจ้า พวกเราพยายามหยิบยื่นโอกาสให้พวกเจ้าได้หันมานับถือศาสนาที่สูงส่งมากขึ้น แต่พวกเจ้ากลับปฏิเสธ…”
“ในกลุ่มของพวกเจ้านั้น มีคนบาปอยู่ผู้หนึ่งนามว่าหลินเป่ยเฉิน เขาเป็นผู้นำกลุ่มกบฏซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชาวเมืองจะต้องพบเจอกับความตายด้วยกันทั้งหมดในวันนี้…”
…
ด้านล่าง
บนภูเขาเสี่ยวซี
ในที่สุด ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็มารวมตัวกันได้สำเร็จแล้ว
พวกเขายืนอยู่บนเนินเขาในความเงียบ จ้องมองกองทัพของชาวทะเลที่เคลื่อนขบวนใกล้เข้ามาเป็นระลอกคลื่น
ชาวทะเลมีกำลังพลหลายพันตัว
ส่วนใหญ่สวมใส่ชุดเกราะ มีอาวุธเป็นกระบี่ หอกแหลมและกระบองช่อหนามดูน่าหวาดกลัว
พวกมันแผ่รังสีอำมหิตออกจากร่างกายจนแทบจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เสียงกังวานที่ดังลงมาจากฟากฟ้า ไม่ต่างจากเสียงพิพากษาจากเทพเจ้า
สุดท้าย วันนี้ก็มาถึงแล้ว
แน่นอนว่าทุกคนยังมองเห็นหลินเป่ยเฉินพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งกองทัพชาวทะเล
พวกเขาเฝ้ามองด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งเด็กหนุ่มหลบหนีกลับมารวมตัวกับทุกคนได้อย่างปลอดภัย
ชาวทะเลเหล่านั้นเคลื่อนกระบวนพลมาหยุดอยู่บริเวณตีนเขา
“นี่คือโอกาสสุดท้ายสำหรับพวกเจ้า…”
เสียงของนักบวชหรงแห่งมหาวิหารใต้สมุทรดังกังวานไปทั่วแผ่นฟ้า ไม่ต่างจากเสียงสายลมยามเกิดพายุโหมกระหน่ำ “ใครก็ตามที่ยินยอมเปลี่ยนศาสนาหันมานับถือเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ขอให้ถอดเสื้อผ้าของพวกเจ้าออกให้หมด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้ซุกซ่อนอาวุธใดๆ เอาไว้ หลังจากนั้น ก็จงเดินลงมาจากภูเขาและเข้าไปอยู่ในกรงขังด้วยความสมัครใจ… เพียงเท่านี้ พวกเจ้าก็จะได้รับการไถ่บาปแล้ว”
บรรยากาศร้อนระอุขึ้นมาทันที
เหมือนมีใครสักคนจุดไฟในอากาศ
แต่ไม่มีชาวเมืองหยุนเมิ่งคนไหนเลยที่จะแตกแถวเดินลงไปจากภูเขาตามคำเรียกร้องของนักบวชหรง
แม้แต่เจาโจวหยานและบรรดาพ่อค้ามหาเศรษฐีชื่อดัง ซึ่งแต่ละคนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด ก็ยังยืนอยู่บนเนินเขาด้วยความมั่นคง
เดิมทีพวกเขาวางแผนกำลังจะอพยพออกจากเมืองหยุนเมิ่งอยู่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันวางแผนเสร็จเรียบร้อยดี สถานการณ์ก็ดำเนินมาถึงจุดนี้เสียแล้ว
“นายท่านเจ้าคะ”
“นายน้อย…”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินอุ้มเสี่ยวเอ้อร์กับเสี่ยวซานเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินพร้อมกับหวังจง อากวงและเซียวปิง
จากนั้นจึงเป็นพวกของหยางเฉินโจว สมาชิกกลุ่มกบฏ อู๋เฟิ่งกู อานมู่ซี และคนอื่นๆ ที่เคยเห็นหน้าเห็นตากันเป็นอย่างดี
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเป็นเสมือนกระดูกสันหลังสำหรับทุกคน
เด็กหนุ่มเป็นความหวังสุดท้าย เป็นตัวแทนแห่งความอยู่รอด หากพวกเขาจะรอดไปจากที่นี่ได้ในวันนี้ ก็ต้องเป็นเพราะหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินโยนร่างของเหลียวหวังซูลงไปบนพื้นดิน จากนั้นจึงหันมามองหน้าอานมู่ซีด้วยความประหลาดใจ “เถ้าแก่อาน ท่านมาทำอะไรที่นี่? ทำไมถึงไม่ไปหลอมโอสถเพื่อเตรียมไว้ให้ผู้คนใช้งานอีก”
อานมู่ซีถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้ว…
เขาอยากจะพูดกลับไปว่าในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เกิดทุกคนตายกันหมดขึ้นมา แล้วยังจะมีใครสามารถรับประทานโอสถต้าชิงได้อีก?
อานมู่ซีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดออกจากปากของเขา นักหลอมโอสถชื่อดังก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย
เพราะอานมู่ซีเข้าใจความหมายในคำพูดของหลินเป่ยเฉินแล้ว
ที่เด็กหนุ่มต้องการให้เขากลับไปหลอมโอสถ
นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินมีวิธีแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้านี้แล้วนั่นเอง
“เข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
อานมู่ซีหมุนตัวเดินตรงกลับไปยังทิศทางของเหมืองใต้ดิน
“พวกท่านกลัวหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ชี้มือไปยังกองทัพชาวทะเลที่รวมตัวอยู่บริเวณตีนเขา ก่อนจะผายมือขึ้นไปยังมังกรยักษ์ที่บินอยู่บนท้องฟ้า “ตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่ผ่านมา ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าความหวาดกลัวที่แท้จริงมันเป็นเช่นไร ชาวทะเลพวกนี้ฆ่าเพื่อนสนิทมิตรสหายและบุคคลที่เรารักไปจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันทำลายพื้นที่หากินและบ้านเรือนของพวกเรา อีกทั้งยังนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานไม่รู้จบอีกด้วย ใช่หรือไม่?”
ฝูงชนเงียบกริบ
ทุกสายตาจ้องมองมาที่ใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มยังคงยิ้มแย้มอย่างสบายใจ
จากนั้น ชาวเมืองก็พร้อมใจส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
“พวกเราอย่าไปกลัวมัน”
“อย่างเลวที่สุดก็แค่ตายเท่านั้น”
“พวกเราต้องออกไปสู้”
“พวกเราต้องสู้”
เสียงฝูงชนโหร้องคำรามดังกังวานไปทั่วทั้งหุบเขา
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย