ตอนที่ 605 ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ
สีหน้าของนักบวชหรงแข็งค้างไปทันที
กุยเหนียนเองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
ไม่น่าเลยจริงๆ
มนุษย์เต่าทะเลแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันหลุดปากบอกข้อมูลสำคัญนั้นให้หลินเป่ยเฉินรับทราบ
กุยเหนียนย่อมคิดไม่ถึงว่าเครื่องรางดาวนำโชคและเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจะถูกนำมาใช้ต่อรองกันเช่นนี้
เพราะไม่เคยมีใครทำสิ่งนี้มาก่อน
“มัวยืนเฉยอยู่ทำไมอีก?”
หลินเป่ยเฉินยกเครื่องรางดาวนำโชคในมือให้นักบวชหรงเห็นอย่างถนัดตาและพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “หรือว่าเจ้าคิดที่จะปฏิเสธอำนาจเครื่องรางเทพเจ้า?”
นักบวชหรงปวดหัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน…
นางเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัวหลินเป่ยเฉินขึ้นมาโดยแท้จริง
ไม่มีใครสามารถคาดเดาความคิดของเด็กคนนี้ได้ทั้งนั้น
“ข้าจะนับถึงสาม”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงคุกคาม “ถ้านับถึงสามแล้วเจ้ายังไม่ยอมส่งน้ำตาเทพเจ้าออกมา เท่ากับคิดปฏิเสธอำนาจของเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่านักบวชหรงผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรใต้ทะเล ได้เสื่อมศรัทธาในตัวของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลแล้วใช่หรือไม่?”
บนพื้นดินด้านล่างในขณะนี้
กองทัพชาวทะเลพากันเงยหน้ามองขึ้นมาที่นักบวชหรง
นักบวชหรงย่อมเข้าใจว่าสายตาเหล่านั้นหมายถึงอะไร
การปฏิเสธอำนาจเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ เท่ากับคิดก่อกบฏต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป อย่าว่าแต่ตำแหน่งนักบวชของนางจะถูกปลด แม้แต่ชีวิตก็คงไม่มีทางเหลือรอด
หญิงชราหลังค่อมหันกลับมามองเต่าทะเลกุยเหนียน
สายตาของนางเต็มไปด้วยความดุดันราวกับต้องการจะถลกเนื้อเถือหนังที่ปรึกษาเต่าทะเลทั้งเป็น
กุยเหนียนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดรอดออกมา
“ย่อมได้ ไม่มีปัญหา”
นักบวชหรงนำเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าสีฟ้าครามออกมา และใช้พลังลมปราณควบคุมมันให้ลอยออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
หลินเป่ยเฉินมองเครื่องรางรูปทรงหยดน้ำตาด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ
น้ำตาเทพเจ้ามีรูปลักษณ์เป็นอัญมณีที่ไม่มีใครเหมือน
แต่เพื่อป้องกันให้แน่ใจว่าเครื่องรางที่เขาได้รับมานี้ไม่ใช่ของปลอม หลินเป่ยเฉินจึงเตรียมแผนสำรองเอาไว้ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มพูดเน้นย้ำทีละคำ “สิ่งที่ข้าต้องการคือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า ซึ่งมีอำนาจสามารถสั่งการกองทัพชาวทะเลได้ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังว่าเจ้าคงไม่คิดนำของปลอมแปลงมาให้ข้า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว นักบวชหรงคงรู้ดีว่าการแอบอ้างเทพเจ้านั้น มีโทษทัณฑ์หนักหนาสาหัสเช่นไร”
“เจ้ามนุษย์ผู้ยโสโอหัง”
นักบวชหรงระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง “ข้าเป็นถึงผู้มีตำแหน่งสูงส่งในมหาวิหารสมุทร จะลดตัวลงไปทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปหาอัญมณีสีฟ้าครามรูปทรงหยดน้ำตา
แล้วเครื่องรางชิ้นนั้นก็หล่นลงมาอยู่บนฝ่ามือของเขา
น้ำตาเทพเจ้ามีขนาดเท่ากับกำปั้นมือเด็กทารก แต่กลับมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด
หลินเป่ยเฉินจึงมั่นใจว่ามันเป็นของจริง
เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์รูปทรงหยดน้ำตาสะท้อนประกายกับแสงตะวันวิบวาว
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ดังออกมาจากเครื่องรางชิ้นนี้ และถ้าลองตั้งใจฟังให้ดี เสียงร้องไห้นั้นก็ดังมาพร้อมกับเสียงคลื่นทะเลซัดสาดใกล้ๆ อีกด้วย
ด้านในเครื่องรางมีพลังแปลกประหลาดหมุนเวียน
หลินเป่ยเฉินถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เอาล่ะ คำสั่งแรกที่ข้าจะมอบต่อพวกเจ้าก็คือ…”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมามองนักบวชหรงและคนอื่นๆ
นักบวชหรงพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าเป็นมนุษย์ ต่อให้มีน้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือ ก็ไม่สามารถออกคำสั่งได้ตามอำเภอใจ ยิ่งคิดจะมาออกคำบัญชาพวกเรา นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป…”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและถามว่า “ไม่ทราบนักบวชหรงมีความคิดเห็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”
หญิงชราหลังค่อมแค่นหัวเราะในลำคอ “นับว่าเจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดในเรื่องโง่เง่าสมคำเล่าลือ โอกาสหนีรอดของพวกเจ้าได้หลุดลอยออกไปแล้ว แทนที่เจ้าจะใช้สิทธิ์ที่ได้รับจากเครื่องรางดาวนำโชค ออกคำสั่งอพยพทุกคนไปจากเมืองหยุนเมิ่งอย่างปลอดภัย แต่เจ้ากลับเอามันมาใช้เรียกร้องขอครอบครองน้ำตาเทพเจ้าเสียอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า”
สองประโยคหลังสุด น้ำเสียงของนักบวชหรงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เจ้าบอกว่าที่ปรึกษากุยเหนียนเป็นผู้ให้ข้อมูลใช่หรือไม่” หญิงชราหัวเราะในลำคอต่อไป “ทว่ามันก็เป็นเพียงลูกเต่าโสโครกตัวหนึ่ง จะไปรู้ข้อมูลระดับสูงได้อย่างไร”
กุยเหนียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเลิกคิ้วขึ้นสูงและหันขวับไปมองหน้านักบวชหรงทันที…
แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะคาดเดาเหตุการณ์นี้ได้นานแล้ว จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แน่ใจหรือ? เพราะในวันนั้นที่ปรึกษากุยเหนียนได้บอกข้าว่า หากเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เช่นน้ำตาเทพเจ้าเกิดการสูญหายหรือถูกทำลายขึ้นมา ภูเขาไฟปีศาจใต้ทะเลลึก ก็จะระเบิดต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3,650 วันเชียวนะ ไม่ทราบว่านั่นคือความจริงหรือไม่?”
นักบวชหรงคลี่ยิ้มเย็นชา “มันจะเป็นจริงได้อย่างไร? น้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมือเจ้า จึงเท่ากับว่าไม่ใช่การสูญหาย ไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวข้าก็ต้องหาทางเอากลับคืนมาได้อยู่ดี ส่วนเรื่องการทำลายนั้น เจ้าจะลองดูก็ได้ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามนุษย์ผู้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะว่ากระบี่ในมือข้าจะสามารถทำลายเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดกระบี่สายฟ้ามาถือในมือ
สีหน้าของนักบวชหรงพลันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“เหอเหอเหอ กระบี่สายฟ้านับเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ว่ากันว่านี่เป็นอาวุธที่เทพีกระบี่ประทานมาด้วยตนเอง จึงสามารถตัดและทำลายสิ่งของได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้”
หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งถือกระบี่สายฟ้าอีก มือหนึ่งถือเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้า
เด็กหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก สีหน้าซุกซน พูดน้ำเสียงตื่นเต้น “กระบี่ที่สามารถทำลายได้ทุกอย่างกับเครื่องรางที่ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้ อิอิ ไม่รู้นะว่าอย่างไหนจะมีความแข็งแกร่งมากกว่ากัน?”
นักบวชหรงตัวสั่นเทาแล้ว
หลินเป่ยเฉินส่งมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่หญิงชรา ก่อนพูดว่า “นักบวชหรงก็คงอยากรู้คำตอบเหมือนกันแล้วกระมัง? งั้นพวกเราสวมจิตวิญญาณอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เซอร์ไอแซก นิวตัน มาดามคูรี เทพีอาธีน่า เทพเจ้าอะพอลโลและพระบิดาแห่งพันธุ์ข้าวลูกผสมหยวนหลงผิง มาค้นหาความจริงกันดีกว่า…”
แล้วหลินเป่ยเฉินก็ทำท่าจะใช้กระบี่ในมือฟันลงไปที่เครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าจริงๆ
“หยุดก่อน”
นักบวชหรงส่งเสียงร้องออกมา “นี่เจ้า… เสียสติไปแล้วหรือ?”
“หามิได้”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ความจริงนั้น ข้าเป็นเพียงบุคคลสมองเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ”
นักบวชหรงพูดอะไรไม่ออก
นางยิ่งมีความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
เพราะในที่สุด หญิงชราก็สามารถยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้ได้แล้วว่า หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อมจริงๆ…