ตอนที่ 613 เจ้าคิดว่าเทพีกระบี่ของตนเองสูงส่งมากนักหรือไง?
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็ไม่สนใจพวกเขาหรอก” ไป๋ชินหยุนพูด น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง “ได้โปรดเชื่อฟังคำพูดของข้าสักหน่อยไม่ได้หรือไง ข้าไม่มีเวลาว่างมากมายนักนะ ข้าก็เหมือนพวกเทพเจ้านั่นแหละ มีความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็จากแรงศรัทธาของสาวก หากการพูดคุยกับเจ้าในครั้งนี้ล่วงรู้ไปถึงหูผู้อื่น ภาพลักษณ์ของข้าก็คงเสียหายยับเยินแล้ว”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัยใจ “แต่เจ้าจะรวมร่างใหม่ทั้งที เอาร่างที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?”
“แล้วร่างนี้มันไม่ดีตรงไหน?”
ไป๋ชินหยุนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดอีกพักใหญ่ ก่อนพูดว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตลอด มนุษย์สามารถเลื่อนขั้นเป็นเทพเจ้าได้หรือไม่?”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอ อธิบายด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “เจ้าเคยเห็นปลาในมหาสมุทรบินบนท้องฟ้าได้ไหมเล่า เพียงแค่คิดมันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว… ลืมเรื่องนี้เสีย พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ที่ถามออกมาเช่นนี้ หรือเจ้าคิดจะเลื่อนขั้นตนเองเป็นเทพเจ้า?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว ตอบรับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าก็แค่อยากรู้ว่าระบบการคัดเลือกเทพเจ้าเป็นอย่างไร สมมุติถ้านี่เป็นนิยายออนไลน์นะ คนเขียนก็ต้องปูข้อมูลพื้นฐานให้คนอ่านรู้สิว่าต้องทำอย่างไรบ้าง พระเอกถึงขึ้นไปอยู่บนดินแดนเทพได้ตามเป้าหมาย”
“ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดออกมาเลยสักนิด”
ไป๋ชินหยุนถอนหายใจออกมายาวแรง “คนอ่านที่ไหน? ปูพื้นฐานอะไร? เมื่อไหร่เจ้าถึงจะเลิกพูดเรื่องไร้สาระสักที เอาล่ะ ถึงข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีสถานะไม่ต่างไปจากเทพเจ้า และข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าเจ้า เจ้าสมควรหวาดกลัวข้าสิถึงจะถูกต้อง เข้าใจไหม? แต่นี่นอกจากเจ้าจะไม่หวาดกลัวแล้ว ยังถามคำถามไม่รู้จบอีกด้วย ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน”
“อ๋อ… งั้นข้ากลัวเจ้าก็ได้” หลินเป่ยเฉินทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างประชดประชัน หลังจากนั้นก็กลับมามีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิมและถามคำถามต่อไป “จริงด้วยสิ เรื่องที่ท่านนักพรตใหญ่หลงเยว่ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง และกลายเป็นคนทำความสะอาดวิหารหลวง มันเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยหรือไม่?”
“นางนักบวชเฒ่านั่นน่ะหรือ…”
ไป๋ชินหยุนส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความโกรธแค้น “ระหว่างการปฏิรูปวิหารหลวง มันพยายามขัดขวางข้าตลอดเวลา ฮึ ที่ไม่ฆ่ามันก็เพราะว่าข้าเห็นแก่หน้าเจ้ามากพอแล้ว”
“ขอบคุณเจ้ามากที่ยังไว้หน้าข้าบ้าง” หลินเป่ยเฉินอดพูดเหน็บแนมออกมาไม่ได้
“เรื่องนั้นยังจะต้องให้พูดกันอีกหรือ”
ไป๋ชินหยุนกลับมาอธิบายเรื่องราวต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าอยู่ในหัวใจของข้าเสมอ รอให้การปฏิรูปวิหารหลวงเสร็จสิ้นก่อนเถอะ ข้าจะจัดลำดับชั้นมนุษย์ใหม่ทั้งหมด เริ่มด้วยมนุษย์ระดับมดปลวกธรรมดา สูงขึ้นมาก็เป็นมนุษย์ระดับมดปลวกที่แข็งแรง ต่อจากนั้นก็เป็นมดปลวกที่มีคุณภาพให้ข้าได้เล่นสนุกด้วย… พูดง่ายๆ ก็คือพวกมนุษย์จะต้องกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า”
สุดท้ายแล้ว เด็กสาวก็หรี่ตามองปีกกระบี่ที่อยู่บนแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งกำลังโบกสะบัดไปมาด้วยความภาคภูมิใจ “แต่ถ้าเจ้ามีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับข้า ก็นับเป็นที่น่าเสียดายนัก เพราะหมายความว่าเจ้าต้องตายก่อนเวลาอันควร”
หลินเป่ยเฉินพลันพูดอะไรไม่ออก
ให้ตายสิ
ต่อให้พูดกันมายืดยาว ท้ายที่สุด เขาก็ยังเป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่งในสายตาของไป๋ชินหยุนอยู่ดี
ให้เกียรติกันหน่อยไม่ได้หรือไง?
“แต่ถ้าเจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในดินแดนทวยเทพ แล้วปีศาจอย่างพวกเจ้ามาจากที่ไหน…” หลินเป่ยเฉินตัดสินใจอดทนข่มกลั้นความโกรธแค้นและสอบถามต่อไปด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรน่ารำคาญมากไปกว่ามนุษย์ขี้สงสัยอย่างเจ้าอีกแล้ว”
ไป๋ชินหยุนทำปากขมุบขมิบไม่สบอารมณ์ “เจ้าคิดว่านอกจากโลกของพวกเจ้า ก็จะมีแต่ดินแดนทวยเทพหรืออย่างไร? ข้าจะบอกให้นะ ในโลกนี้ยังมีดินแดนที่แข็งแกร่งมากกว่าดินแดนทวยเทพอยู่อีกมากมาย และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในดินแดนเหล่านั้น ต่างก็มีความแปลกประหลาดพิสดารเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการได้…”
“แต่ในดินแดนที่แปลกประหลาดเหล่านั้น มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุด มันถูกปกครองด้วยท่านราชาแห่งความตายเป็นเวลาช้านาน พวกข้าก็มาจากดินแดนแห่งนี้นี่แหละ และมนุษย์ที่ต่ำต้อยยิ่งกว่ามดปลวกอย่างพวกเจ้า แค่พวกเราโบกมือสะบัดหนึ่งที ชีวิตของพวกเจ้าก็คงต้องดับดิ้นสิ้นไปแล้ว…”
พูดมาถึงตรงนี้ ไป๋ชินหยุนก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา แถมยังดูโล่งใจอย่างประหลาดอีกด้วย
นางมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ถอนหายใจยาวแรง แล้วกล่าวว่า “แต่ช่างมันเถิด ความรู้สึกเหล่านั้นเจ้าคงไม่เข้าใจหรอก สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาเพื่อถูกฆ่าตั้งแต่แรกอย่างพวกเจ้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร ข้ามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตของตนเอง เพื่อสร้างสาวกของตนเอง เพื่อรับพลังที่มาจากแรงศรัทธาของเหล่าสาวก แต่จนกว่าที่ข้าจะทำได้สำเร็จ เจ้าจะอยู่เฉยๆ ไม่มาขัดขวางข้าไม่ได้หรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจเลยว่าเด็กสาวพูดอะไรออกมา
เพราะเขากำลังตั้งสมาธิอยู่กับระบบดินแดนเทพเจ้าอันหลากหลายเหล่านั้น “หมายความว่าพวกปีศาจก็สามารถรับพลังจากสาวก เหมือนกับที่พวกเทพเจ้ารับพลังศักดิ์สิทธิ์จากผู้ศรัทธาได้ใช่ไหม?”
ไป๋ชินหยุนพยักหน้า “ถูกต้อง ไม่งั้นข้าจะลงมาที่ดินแดนอันต่ำต้อยของพวกเจ้าทำไมกัน?
“หมายความว่าโลกของพวกข้าเป็นสถานที่สร้างสาวกของพวกเจ้าตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วสินะ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
ไป๋ชินหยุนตอบว่า “มิผิด สำหรับปีศาจที่อยากสร้างสาวกของตนเองให้ได้เยอะๆ โลกของพวกเจ้าก็เปรียบเสมือนโรงทานที่มีอาหารให้กินได้ไม่รู้หมดและไม่จำกัดจำนวนนั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับอย่างปวดหัว
ฟังดูแล้ว…
พวกปีศาจอย่างไป๋ชินหยุนก็เหมือนสัมภเวสีที่ชอบมาขอส่วนบุญผู้คนเหมือนกันแฮะ
อุตส่าห์ทะลุมิติมาอยู่ในโลกอื่นทั้งที
นี่เขายังต้องมาเผชิญเรื่องภูตผีปีศาจอีกหรือ?
ทำไมพวกเทพเจ้าถึงไม่จัดการอะไรบ้างเลยนะ
“แล้วเพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องร่วมมือกับเว่ยหมิงเฉิน?”
หลินเป่ยเฉินถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจดังเดิม “เท่าที่ข้ารู้ เขาไม่หล่อเหลาเท่าข้าสักหน่อย”
ไป๋ชินหยุนฉีกยิ้มเย้ยหยัน “เว่ยหมิงเฉินมีอำนาจ มีกำลังคน มีความแข็งแกร่งและมีความทะเยอทะยาน ส่วนแผนการของข้าก็คือการเข้ามาแทนที่เทพีกระบี่ในโลกของพวกเจ้า ดังนั้น การร่วมมือกับเขาจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด มิฉะนั้นแล้ว หากข้าเดินตามรอยเท้าบรรพบุรุษเหมือนที่แล้วมา สุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องถูกเทพเจ้าของพวกเจ้าฆ่าตายอยู่ดี… หุหุ นับว่าข้าเป็นปีศาจที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ”
“มีอำนาจ มีกำลังคน มีความแข็งแกร่ง…”
หลินเป่ยเฉินพูดน้ำเสียงเย็นชา “แต่ข้าก็มีทุกอย่างตามที่เจ้าว่ามาเช่นกันนะ ข้ามีอำนาจและมีกำลังคนที่สามารถเอาชนะชาวทะเลได้เกือบหมื่นคน และข้าก็แข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเว่ยหมิงเฉินแน่นอน อย่างน้อยก็หล่อเหลามากกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า เจ้าไม่คิดเปลี่ยนใจหันมาร่วมมือกับข้าบ้างหรือ?”
“เจ้าต้องการคำตอบจริงสิ?”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอ “เจ้ามันเป็นบุคคลสมองเสื่อม ใครร่วมมือกับเจ้าก็คงโง่เต็มทน เฮ้อ”
หลินเป่ยเฉินใบหน้ากระตุก พูดอะไรไม่ออก
คำหยาบคายจำนวนมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจ
แต่สิ่งที่ไป๋ชินหยุนพูดออกมาก็คือความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้
“เจ้าอาจจะบอกว่าตัวเองมีอำนาจและมีกำลังคนก็จริง แต่เจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน เจ้าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในความเงียบสงบ หากข้าคิดร่วมมือกับเจ้าตั้งแต่แรก ป่านนี้ก็คงถูกเทพีกระบี่สังหารตายไปนานแล้ว”
ไป๋ชินหยุนกล่าวเสริมออกมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินอ้าปากพะงาบๆ
นี่ไป๋ชินหยุนประเมินเขาเอาไว้ต่ำต้อยถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
แต่สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องยอมรับว่าไป๋ชินหยุนคิดถูกแล้ว
นางมีเหตุผลที่จะไม่ร่วมมือกับเขา
“แล้วทำไมเจ้าต้องเลือกโจมตีเทพีกระบี่ด้วย เลือกเล่นงานเทพเจ้าองค์อื่นไม่ได้หรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยายามโน้มน้าวใจ “ได้ยินว่าจักรวรรดิจี้กวงนับถือเทพวิหคมากเลยนะ ถ้าเจ้าเปลี่ยนเป้าหมายไปโค่นล้มเทพวิหค ฮี่ฮี่ ระหว่างพวกเราก็ไม่ต้องเป็นศัตรูกันอีกแล้ว”
ไป๋ชินหยุนมองหน้าเด็กหนุ่มเหมือนกำลังมองตัวโง่งมตัวหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินรู้ดีเช่นกันว่าคำพูดของเขามันฟังดูไร้สาระมาก
ไป๋ชินหยุนย่อมเลือกเล่นงานเทพเจ้าที่มีโอกาสถูกโค่นลงมาจากบัลลังก์ได้ง่ายดายมากที่สุด และนางต้องหลีกเลี่ยงเทพเจ้าผู้มีความแข็งแกร่งมากเกินกว่าจะไปตอแยด้วย
“เจ้าคิดว่าเทพีกระบี่ของตนเองสูงส่งมากนักหรือไง?”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะเยาะ
“เรื่องนั้น…”
หลินเป่ยเฉินพูดตะกุกตะกัก อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อลองคิดๆ ดูแล้ว เขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร