บทที่ 63 บุคคลที่คาดไม่ถึง
เทพธิดายอดอัจฉริยะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ราวกับเป็นนักท่องเที่ยวมาเดินป่าพักผ่อนหย่อนใจ หลินเป่ยเฉินดูไม่ออกเลยว่าขณะนี้นางอยู่ในตัวตนไหนกันแน่
อู๋เสี่ยวฟางแอบสบถอยู่ในใจว่า “เฮอะ ช่างเหมาะสมกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุ ข้าอุตส่าห์ไปเชิญตัวมาด้วยความสุภาพอ่อนน้อมแท้ๆ แต่หลิงเฉินกลับทุบตีข้าเหมือนหมูเหมือนหมาเสียได้…”
ในขณะเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินที่ลอยตุ๊บป่องอยู่เหนือผิวน้ำ ก็ถึงกับตกตะลึงไม่น้อย
“แม่เจ้าโว้ย ยัยนี่มาจริงๆ เหรอวะเนี่ย ทั้งที่ฉันมันไม่เอาไหนเลยสักอย่าง ทำไมถึงได้หลงรักฉันจริงจังขนาดนี้นะ? หน้าตาฉันมันหล่อขนาดนั้นเลยหรือไง”
วินาทีต่อมา หลิงเฉินก็เดินมาถึงริมทะเลสาบ
นางชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินที่ลอยวนเวียนไปมาบนผิวน้ำเพียงหางตา หลังจากนั้นก็พลิ้วกายไปถึงก้อนหินริมน้ำด้วยความรวดเร็ว ยังไม่ทันพูดอะไร ฝ่ามือที่ขาวผ่องของเด็กสาวก็ยกขึ้นกระแทกใส่เด็กหนุ่มผู้กำลังนั่งตกปลาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
เถาว่านเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า คิดไว้อยู่แล้วเชียว”
ม่านพลังสายหนึ่งแผ่มาจากหน้าอกของเขา ในขณะที่เถาว่านเฉิงระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
เขาถูกหลิงเฉินเทพธิดาประจําสถานศึกษากระบี่หลวงกดขี่มาเนิ่นนาน เถาว่านเฉิงคิดหาหนทางชำระแค้นตลอดเวลา และวันนี้ก็เป็นวันที่เขาวางแผนมาเป็นอย่างดี ทุกอย่างล้วนถูกคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยหมดแล้ว
“ดัชนีสะบั้นฟ้า!”
เถาว่านเฉิงสะบัดนิ้วชี้จิ้มใส่ฝ่ามือของหลิงเฉิน
หลินเป่ยเฉินรู้พิษสงของนิ้วมือเด็กหนุ่มคนนี้ดี
มันเป็นกระบวนท่าเดียวกับที่เถาว่านเฉิงเคยใช้จู่โจมเขาตอนที่พบหน้ากันครั้งแรก เห็นเป็นเพียงนิ้วมือธรรมดาอย่างนี้ แต่กลับแฝงพลังทำลายล้างเอาไว้จำนวนมาก ติงซานฉือที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับต้องเข้ามาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้หลินเป่ยเฉินด้วยความเป็นกังวล แต่สิ่งที่อาจารย์ชราไม่รู้เลยก็คือ ลูกศิษย์ของตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลยเพราะมีพลังจากการฝึกวิชากระบี่เร้นกายคอยคุ้มครองอยู่แล้ว
เปรี้ยง!
นิ้วชี้และฝ่ามือปะทะกัน
เสียงระเบิดดังสนั่นปานฟ้าผ่า
มวลพลังลมปราณแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
ผิวน้ำสาดกระเซ็นสูงขึ้นไปในอากาศ
เม็ดทรายตลบฟุ้ง
บัดนี้ ปรากฏลำแสงสีสันแวววาววูบวาบในอากาศ
นี่คือสีของพลังปราณ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นศิษย์อัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวง ระดับพลังปราณที่อยู่ในร่างกายของพวกเขา ล้วนมาถึงขอบเขตปรมาจารย์แล้ว
เมื่อเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ สสารลึกลับในร่างกายก็จะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นสีสันเช่นนี้
“อะเฮื้อ…”
เสียงครางในลำคอดังออกมาจากใครคนหนึ่ง
เถาว่านเฉิงมีใบหน้าบิดเบี้ยวตอนที่ตัวเซถลาถอยหลังไป
นิ้วมือข้างขวาของเขาทั้งห้านิ้วบิดเบี้ยวหักงอผิดรูป
เถาว่านเฉิงพ่ายแพ้แล้ว
เขาพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว
เด็กหนุ่มโคจรพลังปราณและลอยตัวไปยืนอยู่บนผิวน้ำ ปลายเท้าของเขาแตะลงไปบนผิวทะเลสาบ เกิดเป็นระลอกคลื่นแตกกระจาย หลังจากนั้น ร่างของเด็กหนุ่มก็พุ่งทะยานไปอีกฝั่งหนึ่งเหมือนลูกธนูที่พุ่งหลุดออกจากแหล่ง
เถาว่านเฉิงคำรามว่า “หลิงเฉิน ถ้าเจ้ายังไม่หยุดมือตอนนี้ หวานใจของเจ้าได้ทรมานแน่”
หลิงเฉินสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฮอะ คนที่มีดีแค่หน้าตาอย่างเจ้านี่ ถึงกับยอมทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ปล่อยให้เขาได้รับความทรมานเสียบ้างก็ดี”
หลินเป่ยเฉินที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในน้ำถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“เอาแล้วไง ยัยนี่มาในตัวตนเจ้าหญิงจอมเผด็จการจริงๆ ด้วย”
ระหว่างที่พูดโต้ตอบกับเถาว่านเฉิง เทพธิดาอัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวงก็พลันกระโดดตามติดไปถึงริมน้ำอีกฝั่งหนึ่ง และลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่อง
มวลอากาศปั่นป่วน
พลังลมปราณจากฝ่ามือของเด็กสาว ทำให้อากาศในรัศมีหนึ่งจั้งเต็มไปด้วยแรงกดดันหนาแน่น
บังเกิดลำแสงสีเงินเป็นประกายเรืองรองออกมาจากฝ่ามือของนาง นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าเด็กสาวกำลังจะระเบิดพลังปราณออกจากร่างกาย
“ลองคิดดูให้ดี เจ้าอยากให้หลินเป่ยเฉินตกรอบหรือไง?”
เถาว่านเฉิงได้รับบาดเจ็บที่มือข้างหนึ่ง จึงอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ บัดนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากล่าถอยแต่เพียงอย่างเดียว
ทว่าถึงจะพูดออกไปเช่นนั้น หากแต่การโจมตีของหลิงเฉินกลับถาโถมเข้ามาต่อเนื่องเหมือนเกลียวคลื่นกระทบชายฝั่ง เถาว่านเฉิงได้แต่ถอยร่นไปเรื่อยๆ ด้วยความตื่นกลัว และตอนนี้ ฝ่ามือของเด็กสาวก็กำลังจะกระแทกเข้าใส่เขาแล้ว…
ในวินาทีนั้นเอง
“ดัชนีสะบั้นฟ้า!”
นิ้วมือเรียวยาวขาวผ่อง ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทิ่มแทงใส่ใจกลางฝ่ามือของหลิงเฉิน
เปรี้ยง!
นิ้วมือกับฝ่ามือปะทะกัน
เสียงระเบิดดังกังวานปานฟ้าผ่า
หลิงเฉินลอยกระเด็นถอยหลัง เท้าของนางสัมผัสลงบนผิวน้ำ ก่อนที่ร่างอรชรจะหมุนตัวตีลังกามายืนอยู่บนโขดหินริมฝั่งได้อย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นนางฟ้าที่เพิ่งบินลงมาจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
ทางด้านเจ้าของนิ้วมือเรียวยาว เขาเองก็เซถอยหลังไปหลายก้าวเช่นกันกว่าจะตั้งหลักได้ ก่อนจะกล่าวชื่นชมออกมาว่า “สมแล้วที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพธิดาอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง! ฝีมือระดับนี้ สามารถออกไปต่อสู้ในยุทธภพได้สบาย เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
“เจ้าเองหรือ?” ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยงามของหลิงเฉินชัดเจนแจ่มแจ้ง “ที่แท้เจ้ากับเถาว่านเฉิงก็ร่วมมือกันมาตลอด?”
เด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดมีใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายผอมบาง ลักษณะรักสันโดษ
เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเซินเฟย เด็กหนุ่มลึกลับที่ไม่สุงสิงกับใคร และไม่เคยร่วมมือกับใครเลย
เซินเฟยเพียงตัวคนเดียวก็สามารถเก็บเข็มกลัดได้แล้วถึง 2 ชิ้น ในการแข่งขันขณะนี้ ทำให้รั้งตำแหน่งอันดับสองรองจากหลิงเฉินเท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญก็คือ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เคยเปิดเผยฝีมือที่แท้จริงมาก่อน
สำหรับอันดับในรายชื่อก่อนการแข่งขัน เซินเฟยไม่มีชื่ออยู่ใน 50 อันดับแรกด้วยซ้ำ
ไม่คิดเลยว่าเมื่อเขาปรากฏตัวออกมาในขณะนี้ กลับสามารถรับฝ่ามือของหลิงเฉินได้อย่างไม่มีปัญหา
เซินเฟยกับเถาว่านเฉิงต่างก็ใช้วิชาดัชนีสะบั้นฟ้าด้วยกันทั้งคู่ แต่การใช้งานของเถาว่านเฉิงผู้เป็นอัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวงกลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลิงเฉินในกระบวนท่าเดียว ส่วนเซินเฟยสามารถทำให้หลิงเฉินต้องกลับไปยืนตั้งหลักบนโขดหินได้อย่างน่าประทับใจ
เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วว่าระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ ใครแข็งแกร่งมากกว่ากัน
บัดนี้ เซินเฟยเปิดเผยฝีมือที่แท้จริงของตัวเองออกมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าสังเกตการณ์จากในน้ำ ถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงจนสำลักน้ำไปหลายอึก
“ฉิบหายแล้ว ไอ้เราก็อุตส่าห์วางแผนทำตัวเนียนๆ กะจะเฉิดฉายก่อนแข่งจบสักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหมอนี่มันจะมีแผนเดียวกับเรา ว่าแต่ทำไมมันถึงได้ร่วมมือกับเถาว่านเฉิงมาหาเรื่องหลิงเฉินเอาวันสุดท้ายแบบนี้นะ”
“ฝ่ามือพันบุปผาของเจ้าสมควรได้รับการคารวะจริงๆ” เซินเฟยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ตอนที่หลินถิงชาน เทพอัจฉริยะยังอยู่ในสถานศึกษากระบี่หลวง เขาได้คิดค้นวิชาการต่อสู้ระดับ 5 ดาวขึ้นมาด้วยตัวเอง เกิดข่าวลือว่าไม่มีผู้ใดสามารถฝึกวิชานี้ได้สำเร็จมาก่อน ไม่คิดเลยว่านอกจากเจ้าจะฝึกได้แล้ว ยังสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้ข้าชื่นชมเจ้ามากขึ้นกว่าเดิมอีก”
“รู้เยอะเหมือนกันนี่”
หลิงเฉินยืนอยู่บนโขดหิน งดงามเหมือนรูปปั้นแกะสลัก รัศมีน่าเกรงขามเปล่งประกายออกมาจากรอบกายของนางขณะกล่าวว่า “ตอนที่เถาว่านเฉิง เทพแห่งขยะไร้ค่ากล้าวางแผนเล่นงานข้า เขาคงได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสินะ ต้องยอมรับว่าข้าเองก็แปลกใจไม่น้อย ที่พบว่าตัวแทนจากสำนักกระบี่ไฟอย่างเจ้ามีปัญญาฝึกวิชาได้ถึงระดับนี้”
สำนักกระบี่ไฟเป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ที่เข้าร่วมการสอบรอบสุดท้าย
เซินเฟยเป็นตัวแทนเพียงคนเดียวของสำนัก
“ถูกต้อง สำหรับศิษย์จากสถานศึกษากระบี่หลวงอย่างพวกเจ้า คนจากสำนักยุทธ์อิสระคงไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนเลยสินะ” เซินเฟยแสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนพูดเย้ยหยันต่อว่า “แต่การแข่งขันครั้งนี้ เกรงว่าเจ้าคงต้องตกรอบเสียแล้ว”
“จริงหรือ” หลิงเฉินหัวเราะในลำคอ “แต่การตกรอบของข้า มันจะทำให้เจ้าจะได้รับประโยชน์อันใดกัน?”
เซินเฟยตอบว่า “สิ่งที่ข้าจะได้รับก็คือความสะใจ เจ้าผู้เป็นยอดหญิงอัจฉริยะประจำเมือง ต้องตกรอบไปอย่างน่าขายหน้า และมันก็จะเป็นการตบหน้ากระทรวงศึกษาที่มองข้ามพวกเรา คนจากกลุ่มสำนักยุทธ์อิสระมาตลอดอีกด้วย”
“เฮอะ แล้วไงล่ะ? นี่เจ้ายังไม่สำนึกผิด และคิดว่าตนเองเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องอยู่อีกหรือไง?” หลิงเฉินคลี่ยิ้มเย็นชา แล้วพูดว่า “เอาเถอะ อย่างน้อยข้าก็ชื่นชมในความกล้าหาญและความดื้อรั้นของเจ้า ในเมื่อเจ้าอยากจะพิสูจน์ฝีมือตัวเองมากนัก ก็จงเข้ามา ข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้ต่อสู้”
เซินเฟยหัวเราะด้วยความชอบใจ “อย่างนั้นยิ่งดี”
เขายื่นมือออกมาข้างตัวและกล่าวว่า “ขอกระบี่ของข้าด้วย”
เถาว่านเฉิงพลันยื่นส่งกระบี่ที่อยู่ในฝักสีดำให้ทันที