ตอนที่ 620 เจ้ากำลังสอนงานข้าอยู่หรือ?
ไป๋ชินหยุนระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า ตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าลองมาคิดดูอีกที เงินหนึ่งแสนเหรียญทองคำใช่จำนวนเล็กน้อยเสียที่ไหน ยิ่งอาศัยอยู่ในโลกใบนี้จะอย่างไรก็ต้องใช้เงินอยู่วันยังค่ำ และกว่าที่จะหลอกเอาเงินมาจากเว่ยหมิงเฉินได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าจ่ายหนี้ครบถ้วนแล้ว ถึงตอนนั้นข้าค่อยฆ่าเจ้าก็ยังไม่สาย”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “เจ้าว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น”
ไป๋ชินหยุนพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความเหยียดหยาม แล้วพูดตัดบท “แต่เมื่อพวกเจ้าไปถึงนครเจาฮุย ข้าขอเตือนไว้เลยนะว่าให้ทำตัวสงบเสงี่ยม อย่าไปมีเรื่องกับใครเด็ดขาด มิฉะนั้น แม้แต่ข้าก็ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
พูดจบ ร่างของเด็กสาวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน ตรงขึ้นไปยังทางออกของร่องลึกเหนือศีรษะของพวกเขา
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินตะโกนเรียกเสียงดัง
ไป๋ชินหยุนก้มหน้ามองลงมาและชะลอความเร็วในการลอยตัว
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและมีเลือดไหลออกมาจากปากอีกเล็กน้อย “ช่วยพาข้าขึ้นไปด้วยคนสิ บัดนี้ข้าไม่เหลือพลังใดๆ แล้ว ขนาดจะเดินก็ยังไม่มีแรงแล้วเนี่ย”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนรับใช้ของเจ้าหรืออย่างไร… ปีนกลับขึ้นมาเองซะ”
ไป๋ชินหยุนแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเป็นเชิงเหยียดหยาม ก่อนจะเริ่มลอยตัวขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินตะโกนเสียงดังเป็นคำรบที่สอง “ข้ามีเรื่องติดใจสงสัยมานานแล้ว ถ้าไม่ถือโอกาสนี้ถามออกมา ชีวิตนี้คงนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ”
ไป๋ชินหยุนพูดด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก “อยากถามอะไรก็ว่ามา”
หลินเป่ยเฉินถามว่า “ทำไมหน้าอกเจ้ามันถึงใหญ่เกินหน้าเกินตาเด็กสาวคนอื่นนัก เจ้าตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก หรือมันใหญ่เองโดยที่เจ้าไม่ได้ตั้งใจ?”
ดวงตาของเด็กสาวปีศาจเป็นประกายแวววาวด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
“หากเป็นคนอื่นมาถามคำถามเช่นนี้ มันคงได้ตายเป็นร้อยรอบพันรอบแล้ว”
ไป๋ชินหยุนก้มหน้ามองลงมาที่หลินเป่ยเฉิน แต่ทันใดนั้น นางกลับยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี “แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนถามออกมาเอง ข้าจะตอบให้ก็ได้… เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ข้าตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก เพราะว่าพลังทั้งหมดของข้านั้น ถูกปิดผนึกไว้อยู่ในนี้นั่นเอง”
พูดมาถึงตรงนี้ ไป๋ชินหยุนก็ยกมือตบหน้าอกของตนเองเด้งดึ๋งดั้ง “และเพราะมีพลังอัดแน่นอยู่ด้านในมากมายมหาศาล หน้าอกของข้าก็เลยใหญ่กว่าคนทั่วไปไงล่ะ”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่ตรงนั้น
ไป๋ชินหยุนคงไม่ได้โกหกเขาหรอกนะ
นี่คือคำตอบตามความเป็นจริงใช่หรือไม่?
“เอาล่ะ หุบปากของเจ้าเสียที เจ้าน่ารำคาญมากเกินไปแล้ว ข้าไปก่อนดีกว่า”
ไป๋ชินหยุนบ่นอะไรอีกเล็กน้อยก็ลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า
เพียงลมหายใจต่อมา ร่างของเด็กสาวก็หายลับไปจากสายตา
หลินเป่ยเฉินไอออกมาอย่างรุนแรง
ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งบนพื้นดินอย่างหมดสภาพ
เขาหอบหายใจหนักหน่วง แต่บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มดีใจและมีความสุข
“เหอเหอเหอ… แค่กแค่ก… ข้ารู้… ตั้งแต่แรกแล้วว่า… เจ้าไม่มีเจตนาฆ่าข้าอยู่แล้ว”
เด็กหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกหลายคำ จนรู้สึกเจ็บปวดในช่องท้องไปหมด “ข้ามีหน้าตาหล่อเหลาถึงขนาดนี้… เจ้าจะฆ่าข้าลงคอได้อย่างไร… หุหุ…”
ทันใดนั้น เสียงที่เย็นชากลับดังขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน
“นางอาจทำใจฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าย่อมทำใจฆ่าเจ้าได้แน่นอน”
ปรากฏบุรุษในชุดเกราะสีดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากเงามืดส่วนลึกของร่องหิน รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏบนใบหน้าในขณะที่เดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
“ข้าคงต้องขอแนะนำตนเองสักเล็กน้อย ข้าคือหนึ่งในแม่ทัพเอกของนายท่านเว่ยหมิงเฉิน มีนามว่ามือกระบี่เงามืดหยวนหลิวเฟิง”
บุรุษผู้นี้มีหน้าตาอ่อนเยาว์ แต่แววตาเจ้าเล่ห์ราวกับเป็นจิ้งจอกเฒ่า
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายบอกชัดว่าอยู่ในขั้นพลังยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบด้วยความตื่นตระหนก
เขาอ้าปากจะเปล่งเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่แทนที่จะมีเสียงออกมา ปากของหลินเป่ยเฉินกลับมีเพียงเลือดไหลทะลักออกมาเท่านั้น
หยวนหลิวเฟิงมีดวงตาเป็นประกายแวววาวขณะพูดด้วยความขบขัน “ไม่มีผู้ใดจะมาช่วยเจ้าได้อีก บัดนี้ หลิงไท่ซวีกำลังรับมืออยู่กับผู้อื่น กว่าจะมาหาเจ้าได้ก็คงอีก 30 ลมหายใจ ถึงตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว ข้าขอเวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น… ก็สามารถสังหารเจ้าได้แล้วหลายร้อยรอบ เหอเหอเหอ”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบอีกครั้ง
นี่คือห้วงเวลาวิกฤตอย่างแท้จริง
เว่ยหมิงเฉิน ไอ้หมาลอบกัด
หมอนั่นกลัวเขาจะฆ่าไม่ตายถึงกับต้องเตรียมมือสังหารสำรองเอาไว้ขนาดนี้เชียวหรือ
หลินเป่ยเฉินอดคิดไม่ได้ว่าคนที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่นอย่างเขา สุดท้ายก็ต้องมาตายอย่างน่าอนาถอยู่ในร่องลึกใต้ดินเช่นนี้จริงๆ หรือไง?
เด็กหนุ่มจ้องมองไปที่หยวนหลิวเฟิง
และสิ่งที่เขาเห็นก็คือมีคมกระบี่พุ่งวาบเข้ามาแล้ว
…
บนท้องฟ้า ห่างไกลออกไปบนเมฆขาว
บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนก้อนเมฆ เขามีอายุประมาณ 30 ปี สวมใส่ชุดเครื่องแบบบัณฑิต จมูกงองุ้มดั่งตะขอ ดวงตายาวรี ยามใช้สายตาชำเลืองมองผู้ใด จะให้ความรู้สึกเหมือนงูพิษกำลังคัดเลือกเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น มิหนำซ้ำ พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกาย ก็บอกชัดว่าระดับพลังของเขานั้นไม่ต่ำต้อย
“คุณหนูกลับมาแล้วหรือขอรับ” บัณฑิตหนุ่มก้มศีรษะทำความเคารพพร้อมกับถามว่า “ไม่ทราบคุณหนูได้ตัดหัวหลินเป่ยเฉินมาด้วยหรือไม่?”
ไป๋ชินหยุนส่ายหน้า “ไม่ได้ตัด”
“หืม?” ในดวงตาของบัณฑิตหนุ่มปรากฏความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย “คุณหนูไม่สามารถจัดการมันได้หรือขอรับ?”
ไป๋ชินหยุนตอบกลับไปเสียงเรียบ “หลินเป่ยเฉินสามารถรับการโจมตีของข้าได้ทั้งสามกระบวนท่า ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน ข้าไม่รู้จะจัดการกับเขาอย่างไรได้อีก”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
บัณฑิตหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์ “แต่หลังจากที่หลินเป่ยเฉินรับมือทั้งสามกระบวนท่าของคุณหนูแล้ว เขาคงเหลือพลังอีกไม่มากกระมัง? หากคุณหนูต้องการให้ข้าน้อยช่วยทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น…”
ดวงตาของไป๋ชินหยุนเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาในทันใด “นี่เจ้ากำลังสอนงานข้าอยู่หรือ?”
บัณฑิตหนุ่มหัวใจเต้นระทึก รีบก้มหน้าตอบว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ”
ไป๋ชินหยุนมีสีหน้าเย็นชาปานน้ำแข็งขณะพูดว่า “แล้วทำไมถึงเหลือเจ้าอยู่แต่เพียงผู้เดียว? หยวนหลิวเฟิงอยู่ที่ใด?”
“คนผู้นั้นได้รับคำสั่งให้มาทำการเก็บกวาดคนตายขอรับ… เขาบอกว่าต้องการจะตัดหัวหลินเป่ยเฉินไปส่งมอบให้แก่คุณชายเว่ยด้วยตัวเอง”
บัณฑิตหนุ่มหุบพัดจีบในมืออย่างเชื่องช้า รอยยิ้มเย้ยหยันชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ไป๋ชินหยุนถึงกับหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
นางกำลังจะหมุนตัวกลับ
แต่แล้วบัณฑิตหนุ่มก็พูดออกมาอีกครั้งหนึ่งว่า “อันที่จริง พวกข้ารู้ดีตั้งแต่แรกว่าคุณหนูคงทำใจสังหารหลินเป่ยเฉินไม่ได้ เรื่องราวนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกข้าน้อยเถิดขอรับ ต่อให้คุณหนูรีบกลับไปบัดนี้ก็คงไม่ทันการณ์แล้ว”
ดวงตาของไป๋ชินหยุนเป็นประกายดุดันด้วยความโกรธแค้นถึงขีดสุด
“เจ้าอยากตายใช่ไหม?”
นางถลึงตาจ้องมองไปที่บัณฑิตหนุ่ม