ตอนที่ 623 เดินทางถึงนครเจาฮุย
ล่วงเข้าสู่การเดินทางวันที่ 20
ยามบ่าย
อากาศขมุกขมัว
ลมหนาวที่พัดผ่านราวกับว่าได้หอบเอาแสงอาทิตย์อันอบอุ่นจากไปด้วย
ชาวเมืองหยุนเมิ่งผู้ข้ามน้ำข้ามภูเขาร่อนเร่เดินทางออกจากอาณาเขตของชาวทะเลมาพร้อมความหวังสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในที่สุด พวกเขาก็สามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของนครเจาฮุยที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว
เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการส่งข่าวคราวมาแจ้งเตือนล่วงหน้าเรียบร้อย ทางสำนักผู้ตรวจการมณฑลเฟิงอวี่จึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่จากนครเจาฮุยจำนวน 100 คน มารอต้อนรับคณะเดินทางกว่าหมื่นชีวิตอยู่ในเมืองที่ชื่อว่าฉิงกัว ซึ่งเมืองแห่งนี้อยู่ห่างจากนครเจาฮุยประมาณ 10 ลี้
หลินเป่ยเฉินทำตามคำสัญญาของตนเอง เขาโยนเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งมันคืนกลับไปให้นักบวชหรง ซึ่งรีบกระโดดเข้ามาคว้าเครื่องรางเอาไว้ด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อมีน้ำตาเทพเจ้ากลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง นักบวชหรงก็ตื้นตันใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
ตลอดเส้นทางการอพยพ หญิงชราหลังค่อมต้องทนทุกข์ทรมานด้วยอาการนอนไม่หลับ
สิ่งที่นักบวชหรงกลัวมากที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉินจะไม่รักษาสัญญา หากเขาทำลายเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้าหรือปฏิเสธไม่ยอมคืนมันกลับมา อาณาจักรใต้ทะเลก็คงเกิดเภทภัยครั้งใหญ่ โดยที่มีนางเป็นต้นเหตุเพียงคนเดียวแท้ๆ
หรือไม่อย่างนั้น เด็กหนุ่มก็อาจจะใช้อำนาจของน้ำตาเทพเจ้า สั่งให้นางทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากทำก็เป็นได้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ นักบวชหรงก็ไม่มีทางขัดคำสั่งหลินเป่ยเฉินได้เลย
แต่โชคดี สิ่งที่นางหวาดกลัวไม่ได้เกิดขึ้น
ถึงหลินเป่ยเฉินจะเป็นคนโง่เง่า แต่เขาก็เป็นคนโง่เง่าที่ซื่อสัตย์
นักบวชหรงยืนอยู่บนหัวมังกรเขียวด้วยสีหน้าแปลกประหลาดพิกล
นางจ้องมองลงไปที่พวกของหลินเป่ยเฉินบนพื้นดิน ขณะนี้ หญิงชราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่นางกลับรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีความน่าขยะแขยงอีกแล้ว และการที่แม่ทัพฉลามอู๋หยาลูกศิษย์ผู้เป็นที่รักของนางต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือหลินเป่ยเฉิน มันก็ไม่ได้นับเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย
บัดนี้ นักบวชหรงมีความต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คือเอาเครื่องรางน้ำตาเทพเจ้ากลับคืนมาให้ได้
เมื่อเอากลับคืนมาได้สำเร็จแล้ว นักบวชหรงก็ขอสาบานกับตนเอง ว่านางจะเก็บตัวอยู่ในวิหารใต้สมุทร บำเพ็ญตบะสวดภาวนาในทุกๆ วัน และไม่มีทางที่จะขึ้นบกมายังจักรวรรดิเป่ยไห่อีกแล้ว
เมื่อชาวเมืองหยุนเมิ่งนับหมื่นคนเห็นมังกรเขียวบนท้องฟ้าหมุนตัวบินหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจยิ่ง
แม้แต่กลุ่มชาวเมืองที่เคยหวาดกลัวนักบวชหรงและมังกรของนางยิ่งกว่าอะไรดี มาบัดนี้ กลุ่มคนเหล่านั้นก็ยังอดสงสารหญิงชราหลังค่อมไม่ได้
นับว่าเป็นโชคร้ายของนางอย่างยิ่งที่มามีปัญหากับคุณชายหลินของพวกเขา
ความคึกคักแจ่มใสของขบวนผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่ง ทำให้หัวหน้ากลุ่มนายทหารจากนครเจาฮุยที่มารอต้อนรับ ถึงกับต้องเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
หัวหน้ากลุ่มนายทหารมีนามว่าเสี่ยวเย่ เขาคิดเอาไว้ว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งเดินทางไกลมาเป็นระยะเวลานับสิบๆ วัน ผ่านพื้นที่ป่าเขาและแม่น้ำลำธารอันตรายมากมาย สภาพต้องย่ำแย่เกินบรรยาย เสื้อผ้าขาดวิ่น หมดเรี่ยวหมดแรง กำลังใจถดถอยและมีความเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง
เพราะสำหรับนายทหารผู้มีหน้าที่ต้อนรับขบวนผู้อพยพอย่างเสี่ยวเย่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาในการต้อนรับผู้คนที่หนีตายมาจากเมืองอื่น
ทุกครั้งที่เสี่ยวเย่พบเจอผู้อพยพเหล่านั้น ทุกคนล้วนอยู่ในสภาพย่ำแย่สิ้นหวัง ไม่มีแรงแม้แต่จะยืนหยัดต่อไปด้วยซ้ำ
และกลุ่มผู้อพยพเหล่านั้นมีไม่เกิน 100 คน
ซ้ำแต่ละคนล้วนเป็นมือกระบี่ยอดฝีมือ ขุนนางระดับสูง และพ่อค้าผู้ร่ำรวยเงินทอง
แต่บรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านั้นต้องจ่ายค่าผ่านทางระหว่างอพยพมายังนครเจาฮุยเป็นมูลค่ามากมายมหาศาล ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายทุกชนิด เมื่อสามารถเดินทางมาถึงย่านชานเมืองของนครเจาฮุยได้สำเร็จ ต่อให้เป็นคุณชายที่ถือกำเนิดเกิดจากตระกูลสูงส่ง ก็ต้องมีสภาพซอมซ่อไม่ต่างไปจากขอทานผู้หนึ่ง
บางคนถึงกับวิกลจริตมองเห็นนครเจาฮุยเป็นดินแดนหลังความตาย
แต่สำหรับชาวเมืองหยุนเมิ่งกลุ่มนี้ นอกจากมียอดฝีมือและพ่อค้าผู้ร่ำรวยจำนวนหนึ่งแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่กลับเป็นชาวบ้านธรรมดา และค่อนไปทางคนชรา สตรีกับเด็กน้อยด้วยซ้ำ แต่ทุกคนไม่ได้มีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแม้แต่น้อย พวกเขามีความสดชื่นแจ่มใส ราวกับว่าเพิ่งเสร็จสิ้นจากการท่องเที่ยวก็ไม่ปาน
นอกจากไม่เหนื่อยล้าหมดแรง ชาวเมืองนับหมื่นคนเหล่านี้ยังสามารถส่งเสียงหัวเราะได้อย่างคึกคัก ไม่เหมือนคนที่ต้องหนีตายมาจากถิ่นฐานบ้านเกิดเลยแม้แต่น้อย
“แม่ทัพเสี่ยวคงเป็นคนที่ทางการส่งมารอรับพวกเราแล้วกระมัง?”
ฉู่เหินเดินเข้าไปสอบถามข้อมูลจากเสี่ยวเย่ด้วยท่าทีแสดงความเป็นมิตร
เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายชายชราผู้นี้อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ เสี่ยวเย่ก็ไม่กล้าพูดจาเล่นลิ้นให้เสียเวลา
ชายหนุ่มหัวหน้าหน่วยทหารพยักหน้า ตอบรับว่า “ท่านคงเป็นอาจารย์ฉู่เหินแล้ว ความจริงนั้น ข้าไม่ใช่แม่ทัพอันใดหรอก แต่ข้าได้รับคำสั่งให้มานำตัวพวกท่านไปสู่ประตูเจ็ดทางกำแพงฝั่งตะวันตกของนครเจาฮุย ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่จากทางการคอยดูแลพวกท่านอีกทอดหนึ่ง”
หลิวฉีไห่ยิ้มแย้ม เดินเข้ามาสอบถามว่า “ไม่ทราบท่านขุนพลเสี่ยวพอจะรู้ขั้นตอนการรับผู้อพยพของนครเจาฮุยบ้างหรือไม่?”
เสี่ยวเย่หันกลับมามองหน้าหลิวฉีไห่ด้วยความไม่อยากเชื่อ
ยอดปรมาจารย์อีกคนหนึ่งงั้นหรือ?
ข่าวลือที่เขาได้รับมาก็คือคณะผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งต่างก็เป็นชาวบ้านธรรมดานี่นา
เหตุไฉนจึงได้มียอดฝีมืออยู่มากมายถึงเพียงนี้?
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ตึงเครียดในเมืองหลวงและระดับพลังที่สูงส่งของหัวหน้ากลุ่มผู้อพยพเหล่านี้ เสี่ยวเย่ก็กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมมากกว่าเดิม “ขั้นตอนแรกจะเป็นการบันทึกประวัติผู้อพยพขอรับ เมื่อยืนยันตัวตนได้เรียบร้อยแล้ว ก็จะเป็นการคัดแยกกลุ่มคนตามอายุ เพศและสภาพร่างกาย สำหรับผู้ที่เป็นมือกระบี่มีวิทยายุทธ์ติดตัว ก็จะถูกส่งตัวไปรับใช้กองทัพ ใครที่มีร่างกายแข็งแรง ก็จะถูกส่งตัวไปฝึกฝนวิชาการต่อสู้เพื่อลงสู่สนามรบต่อไป ทางด้านผู้เฒ่า สตรีและกลุ่มเด็กน้อย แม้ไม่ต้องออกสู่สนามรบ แต่ก็จะถูกคัดเลือกไปใช้แรงงานตามความเหมาะสม นครเจาฮุยกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทุกคนต่างก็ต้องทำงานเพื่อช่วยเหลือกันและกัน และสำหรับผู้ที่ไม่ทำงานนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับประทานอาหารเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างอาจารย์ทั้งสองท่านกับหัวหน้านายทหาร เด็กหนุ่มก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ฟังดูเหมือนการใช้ชีวิตอยู่ในนครเจาฮุยจะไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิดแล้วจริงๆ
ความเสียหายจากการทำสงครามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคงมีอยู่ไม่ใช่น้อย
ในฐานะโอตาคุที่มาจากโลกอื่น เด็กหนุ่มย่อมไม่เห็นความสำคัญของการจัดลำดับทรัพยากรบุคคลในยามสงคราม แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูให้ดี หลินเป่ยเฉินก็พอจะมองออกว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งแสดงความแข็งแกร่งออกไปมากเท่าไหร่ ชีวิตของเขาก็ยิ่งมีความวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ การแสร้งแกล้งทำตัวเป็นผู้อ่อนแอต่อไป ก็คงเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
เพราะสงครามที่กำลังรบพุ่งกันอยู่ในขณะนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย
สิ่งสำคัญสูงสุดขณะนี้ของหลินเป่ยเฉินก็คือ เขาต้องรีบหาสถานที่ทางตอนเหนือของนครเจาฮุยลงหลักปักฐานให้ได้สักแห่งหนึ่ง และรีบสร้างสถานศึกษากระบี่ที่สามขึ้นมาใหม่โดยเร็วที่สุด เมื่อสามารถรับศิษย์และทำภารกิจจากแอปพลิเคชัน Keep สำเร็จแล้ว หลินเป่ยเฉินก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่ในขอบเขตพลังยอดปรมาจารย์ตอนปลายเสียที
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม ขบวนผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งก็ติดตามกองทหารของเสี่ยวเย่ ไปถึงประตูเจ็ด ณ กำแพงเมืองฝั่งตะวันตกในที่สุด
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเจอกำแพงเมืองที่สูงใหญ่ที่สุดในชีวิต
เด็กหนุ่มพยายามคิดหาถ้อยคำอธิบายถึงความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองนครเจาฮุย แต่สุดท้าย ความตกตะลึงทั้งหมดนั้น ก็เปลี่ยนแปลงออกมาเป็นถ้อยคำได้สองพยางค์ว่า…
ใหญ่โคตร!
กำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินขณะนี้ มีความยิ่งใหญ่อลังการมากกว่ากำแพงเมืองทุกๆ แห่งที่เขาเคยดูในสารคดีและรายการทีวีมาก่อนหน้านี้ทั้งชีวิต
กำแพงเมืองมีสีดำสนิท ความสูงของมันต้องแหงนหน้ามองคอตั้งบ่า ให้ความรู้สึกเหมือนกับมีมังกรขนาดใหญ่ยักษ์มานอนขวางทางอยู่ข้างหน้า เพียงชำเลืองมองแค่แวบเดียว ผู้คนก็จะต้องรู้สึกตกตะลึงและมหัศจรรย์ใจไปกับความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองแห่งนี้
มันช่างใหญ่โตเหลือเกิน
แถมยังสูงมากอีกด้วย
กำแพงเมืองฝั่งตะวันตกมีความกว้างใหญ่และยาวไกลเสียจนมองเห็นได้ไม่ครบถ้วน
นครเจาฮุยมีประตูเมืองอยู่ 14 บาน ใช้สำหรับการสื่อสารและเดินทางเข้าออก
บนกำแพงเมืองยืนไว้ด้วยนายทหารจำนวนมาก สายตาของนายทหารกลุ่มนี้ที่จ้องมองมา ทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนมีกล้องวงจรปิดคอยจับภาพตนเองอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น
“ทุกคนจงอยู่ในความสงบ”
“เจ้าคนบ้านนอก เหตุไฉนจึงได้ส่งเสียงโวยวายน่ารำคาญถึงเพียงนี้?”
ฉับพลันนั้น เสียงของใครบางคนคำรามออกมาจากด้านหลังประตูเมือง
เสียงนั้นบอกชัดถึงความเป็นคนท้องถิ่น และผู้เป็นเจ้าของเสียงก็ยังตะโกนต่อไปด้วยความดุดันว่า “นับเป็นบรรดาผู้คนที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง พวกเจ้าจงฟังข้าให้ดี ต่อจากนี้จะเป็นการลงประวัติเพื่อรับป้ายประจำตัว พวกเราจะทำการคัดแยกผู้คนตามลำดับฝีมือ หากจับได้ว่าพวกเจ้าปลอมแปลงประวัติแล้วล่ะก็ โทษทัณฑ์ที่จะได้รับก็คือการประหารชีวิตสถานเดียว และใครที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง… ก็จะต้องถูกประหารชีวิตด้วยเช่นกัน!”